สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 414
บทที่414 ฆ่าฉับพลันแบบเกินความคาดหมาย!
เต๋อกุลายืนอยู่ที่เดิม สายตาเขาถลึงตาใส่เฉินเป่ยเขม็ง ในใจเกิดอาการปั่นป่วนอย่างมาก
ราชาหลงที่สมควรตายคนนี้ คาดไม่ถึงแม้แต่ความลับของชนเผ่าเลือดแบบนี้ยังรู้หมด
เต๋อกุลารู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วทั้งตัว ราวกับตกลงหลุมน้ำแข็ง เขาอดไม่ได้ผุดความคิดที่ติดต่อกันขึ้นไม่ขาดสายแม้แต่เรื่องนี้เฉินเป่ยยังรู้ อย่างนั้นชนเผ่าเลือดอยู่ต่อหน้าเขา ยังมีความลับอะไรกันอีก
แทบจะ…ไม่มีความลับสักนิดเดียวมั้ง?
ในสายตาที่เต๋อกุลามองทางเฉินเป่ยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เพราะคิดให้ละเอียดแล้ว ร่างกายของเขาหวาดผวาจึงสั่นเทาอย่างรุนแรง ในใจยากจะสงบลง
“สรุปนาย ยังรู้อะไรอีก!” สายตาที่เต๋อกุลามองทางเฉินเป่ยเต็มไปด้วยความตกใจซับซ้อนที่สุด
“สิ่งที่ฉันสมควรรู้ ย่อมรู้ทั้งหมด” แววตาเฉินเป่ยนิ่งเฉยกว่าเหตุ ทันใดนั้นบรรยากาศเงียบงัน สงบจนผิดปกติเกินไป
“นายอยากทำอะไรกับชนเผ่าเลือดกันแน่?” เต๋อกุลากลืนน้ำลายแล้ว เขามองทางเฉินเป่ย ในใจผุดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างหนึ่งขึ้น
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเข้ามาครั้งนี้ เดิมทีคงไม่รู้ว่าราชาหลงอยู่ที่หัวเซี่ย ยิ่งจะไม่รู้ว่าราชาหลงเข้าใจชนเผ่าเลือดอย่างถ่องแท้เช่นนี้ด้วย
ตัวเต๋อกุลาอดไม่ไหวผุดความคิดมากมายขึ้นไม่ขาดสาย เริ่มเดาจุดมุ่งหมายของราชาหลงขึ้นมา ราชาหลงเข้าใจชนเผ่าเลือดขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่ คงไม่ได้คิดดีอะไร
“แกคิดว่าแกมีสิทธิ์ถามคำถามนี้กับฉันเหรอ?” มุมปากเฉินเป่ยยกเส้นรัศมีวงกลมที่หนาวเหน็บเหยียดหยามขึ้น จ้องมองเต๋อกุลาอย่างเมินเฉย
เต๋อกุลาร่างกายสั่นเทา คำพูดและท่าทีของเฉินเป่ยในเวลานี้เสมือนเป็นฝ่ามือหนึ่ง ตบลงบนหน้าของเต๋อกุลาอย่างโหดเหี้ยม เป็นการตอบโต้อันทรงพลังที่สุดต่อเต๋อกุลาผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เคยอยู่สูงเหนือมวลชน
หน้าเต๋อกุลาแดงเถือกขึ้นมา “ฉันสามารถตายได้ แต่นายห้ามลงมือกับตระกูลของฉันเป็นอันขาด!” เต๋อกุลากัดฟันแน่น เขาพ่นออกมาจากร่องฟันอย่างชัดถ้อยชัดคำ เขารู้ดีมาก ถ้าราชาหลงลงมือ ลูกน้องของเขากองทหารหลงที่เพียงแค่คนได้ยินต่างก็ขวัญหนีดีฝ่อกลุ่มนั้น จะต้องได้รับคำชี้แนะของราชาหลง จากนั้นทุ่มกำลังเต็มที่ ถึงแม้ปราสาทเต๋อกุลาจะมีความสามารถมหาศาล แต่ยามเผชิญหน้ากับกองทหารหลงที่ขึ้นชื่อในต่างประเทศ เดิมทีไม่มีโอกาสชนะใดๆ
ในปราสาทเต๋อกุลามีท่านผู้อาวุโสในแต่ละยุคที่ผ่านมามากมายออกนั่งบัญชาการด้วยตนเอง แต่ถึงแม้เผชิญหน้ากับกองทหารหลง ท่านผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่สามารถพลิกสถานการณ์จากร้ายกลายมาเป็นดีได้
กองทหารหลง…นั่นเป็นกองทหารอันดับหนึ่งลูกน้องของราชาหลง ราชาหลงนำทัพพวกเขา ไม่รู้พิชิตเขตต้องห้ามที่อันตรายมามากเท่าไร
แม้แต่โลกชั่วร้ายในอดีตยังโดนเฉินเป่ยนำทัพกองทหารหลงก่อกวนจนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
กองทหารว่าจ้างกลุ่มนั้น ถึงแม้คนเหล่านั้นมีจำนวนเกินกว่ากองทหารเหนือชั้นเป็นร้อยเท่า ทว่ายังไม่กล้าหาเรื่องเอาง่ายๆ ปฏิบัติอย่างเกรงใจแบบหาที่เปรียบไม่ได้
แน่นอนว่ากองทหารหลงเป็นอิทธิพลพิเศษที่สุดกลุ่มหนึ่งบนโลก ต่อให้ราชาหลงเลือกปลดเกษียณ แต่กองทหารหลงก็ไม่มีทางแยกย้าย ยังคงดำรงอยู่ พยายามรักษาลำดับที่ต่างประเทศเอาไว้ ทำให้อิทธิพลที่กำลังก่อหวอดทำการร้ายมากมายหวาดกลัวแล้ว
เต๋อกุลาย่อมไม่กังวลว่าราชาหลงจะไปทำอะไรปราสาทเต๋อกุลาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เขากังวลคือถ้าราชาหลงลงมือ กระตุ้นให้กองทหารหลงลงมือด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ปราสาทเต๋อกุลาจะหลบหายนะได้อย่างโชคดี แต่คงอาการสาหัสเป็นแน่
กองทหารหลงเป็นการมีตัวตนอิทธิพลที่ตนเองชนเผ่าเลือด ปราสาทเต๋อกุลา จะผิดใจไม่ได้โดยเด็ดขาด
ขณะที่เผชิญหน้ากับข้อเรียกร้องของเต๋อกุลา สีหน้าที่สงบของเฉินเป่ยปรากฏแววเยาะเย้ยที่เย็นยะเยือกขึ้น “แกเป็นคนแรกที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ ในสถานการณ์แบบนี้ คาดไม่ถึงยังกล้าเสนอเงื่อนไข”
จากนั้นเสียงของเฉินเป่ยเย็นชาฉับพลัน ดวงตาสาดส่องแสงเย็นหนาวเหน็บออกมา เอ่ยปากบอกอย่างเมินเฉย “ถ้าชนเผ่าเลือดยังกล้าปรากฏตัวที่ต่างประเทศอีก ฉันจะฆ่าให้เรียบ! ไม่เหลือสักคน!”
“ปราสาทเต๋อกุลาไม่มีความจำเป็นต้องดำรงอยู่อีกต่อไป” เสียงของเฉินเป่ยยิ่งหนาวเย็นชัดเจน ราวกับลอยมาจากนรก ทำให้เต๋อกุลาขนลุกขนพอง
ดวงตาเต๋อกุลาเผยความหมดหวัง เวลานี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งสงครามไร้ศัตรูที่เหนือกว่าทั้งต่างประเทศ ยังเป็นผู้ชายแต่งเข้าบ้านผู้หญิงกระจอกๆ ของตระกูลหลีที่ไหนกัน
และเวลานี้ ราชาหลงเอ่ยปากมาเช่นนี้ เกือบจะคาดโทษสังหารยกครัวให้ชนเผ่าเลือดเรียบร้อยแล้ว
ทันใดนั้น เต๋อกุลาร่างกายสั่นเทา แววตาเผยความดุร้าย เขาจ้องเฉินเป่ยอย่างเย็นชา แววตาเผยความบ้าคลั่งอันดุร้าย ทั่วทั้งตัวมีกลิ่นอายสยองขวัญปีนขึ้นมาอย่างคลุ้มคลั่ง
ดวงตาของเต๋อกุลาเปลี่ยนไปแดงก่ำ เต็มไปด้วยแสงแห่งความเกลียดชังและดุดันไร้ขีดจำกัด เขาเอ่ยปากบอกอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ราชาหลง ทีแรกฉันไม่ยอมให้เป็นแบบนี้ แต่นี่คือนายบีบฉันเอง”
เต๋อกุลาตะโกนขึ้นฉับพลัน สีหน้าดุเดือดโกรธเคือง ราวกับปีศาจร้ายในนรกโผล่ขึ้นมาบนโลก
เฉินเป่ยยืนอยู่ที่เดิม ยักคิ้ว กลิ่นอายที่อยู่บนตัวเต๋อกุลานั้น ทำให้เขาเกิดความคิดที่ไม่สบายใจและความรู้สึกอันตรายถึงชีวิตนิดๆ ขึ้นมาแล้ว
เต๋อกุลาแสดงท่าทีสู้สุดชีวิตออกมาอย่างแจ่มแจ้ง
แวบหนึ่ง เต๋อกุลาสีหน้าเปลี่ยนไป เผยสีหน้าที่ปวดร้าวออกมา ตามมาด้วยดวงตาของเขาถูกสีแดงเลือดเข้าแทนที่
หลังจากเขาอ้าปาก เขี้ยวที่อยู่ในปากยาวออกมาอย่างรวดเร็วแบบที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เขี้ยวทั้งสี่ซี่ ดูขึ้นมาน่าสยดสยองมาก แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันกับลักษณะของปีศาจร้ายพวกนั้น
มองเห็นท่าทางแบบนี้ของเต๋อกุลา เฉินเป่ยถึงตอบสนองกลับมาแล้ว บนหน้ามีการเย้ยหยันแวบผ่าน พูดอย่างเรียบเฉย “ทำไม ไม่คิดจะปิดซ่อนสถานะของตัวเองแล้วเหรอ? ในที่สุดก็ยอมรับแล้วสินะ…พวกแกเป็นพวกไร้ความเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ป่าเถื่อนแล้วรึไง?”
เผชิญหน้ากับการเหยียดหยามเบาๆ ของเฉินเป่ย สีหน้าเขียวปัดของเต๋อกุลายิ่งเย็นยะเยือกขึ้น ประกายแรงอาฆาตแค้นอย่างเข้มข้น
“ย่าห์!” เต๋อกุลาร้องตะโกนทันใด กลับส่งเสียงคำรามดุจกับสัตว์ป่าดุร้ายที่ไม่เหมือนคนออกมาทีหนึ่ง
“ตึง!” เต๋อกุลาก้าวเท้าออกมา พื้นดังกระหึ่มสั่นสะเทือน รอยร้าวรูปใยแมงมุมกระจายรอบด้านอย่างบ้าระห่ำ
และภาพเงาของเต๋อกุลาก็หายลับไปจากที่เดิมทันใด ทั้งร่างกลายเป็นภาพวืด พุ่งไปทางเฉินเป่ยอย่างรวดเร็ว
“วึ่บ! ฮู้!” รูปร่างเฉินเป่ยสั่นไหว ชั่วขณะที่การจู่โจมดุเดือดของเต๋อกุลาพุ่งเข้ามา ทว่าเจอกับความว่างเปล่าทันที
และวินาทีต่อมา รอให้เต๋อกุลาเงยหน้าขึ้น กลับเห็นเฉินเป่ยปรากฏตัวอยู่ที่ไม่ไกลนักอย่างประหลาด มองทางเขาด้วยดวงตาล้ำลึก
แววตาคู่นั้น ตอนที่สายตาของเต๋อกุลาปะทะกันกับเฉินเป่ย เต๋อกุลามองเห็นแววตาคู่นั้น ในใจสั่นอย่างไม่รู้ตัว
“ถึงแม้จะเผาไหม้พลังชีวิตไปแล้ว แกคิดว่าตัวเองยังครอบครองความสามารถที่จะฆ่าฉันอยู่งั้นเหรอ?” เฉินเป่ยหัวเราะอย่างดูถูก “พูดอีกอย่าง ต่อให้เพิ่มชีวิตนี้ของแกขึ้นมา แกจะทนได้อีกสักเท่าไรกัน?”
คำพูดนี้ของเฉินเป่ยออกไป ทำให้สีหน้าของเต๋อกุลายิ่งดูแย่ขึ้น ความจริงเฉินเป่ยช่างเข้าใจชนเผ่าเลือดดีเหลือเกิน พวกที่ยอมพลีชีพตนเองฝืนเพิ่มความสามารถชั่วคราวแบบเต๋อกุลานี้ เท่ากับกำลังฆ่าตัวตาย
ทุกเรื่องล้วนต้องมีการชดใช้…ดังนั้นพลังการต่อสู้ของเต๋อกุลาถึงเพิ่มขึ้นได้อย่างสยองขวัญขนาดนี้ในชั่วพริบตาเดียว เป็นเพราะสละชีวิตแลกมาโดยแท้ รอพลังชีวิตของเต๋อกุลาใช้จนหมด ย่อมเดินมาถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตแล้ว
สำหรับเฉินเป่ยนั้น เต๋อกุลาทำแบบนี้ไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรแตกต่างกับการฆ่าตัวตาย
ส่วนสีหน้าของเต๋อกุลายิ่งอัปลักษณ์ดูแย่สุดๆ หน้าที่เขียวปัดเกือบใกล้จะบิดเบี้ยว ไม่มีความหล่อเหลาสง่างามแบบก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง มีแต่จะทำให้คนขนพองสยองขวัญ ใจสั่นไม่เลิก
“อ๊าก!” เต๋อกุลาคำรามไม่หยุด มือทั้งคู่กลายเป็นกรงเล็บแหลมคมยกสะบัดไม่ขาดสาย เล็บกลายเป็นกรงเล็บดำมืดแหลมคม แม้กระทั่งยังโค้งงออยู่บ้าง เต๋อกุลาในเวลานี้ ใครจะสามารถเชื่อมโยงเขาที่เป็นสัตว์ดุร้ายในร่างคนผู้นี้กับผู้ดีสง่าผ่าเผยได้กัน
“ชิ้งๆๆ!” จากนั้นเต๋อกุลาก็ดึงพลังชีวิตออกมาใช้ไม่หยุด ความสามารถของเต๋อกุลายิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกือบจะใกล้ถึงระดับสูงที่ยากจะจินตนาการ
ขณะเดียวกัน ถึงแม้เฉินเป่ยจะกุมแสงดำไว้ในมือ กลับถูกเต๋อกุลาเข้าโจมตีอย่างดุเดือดไม่เลิกจนค่อยๆ ตกสู่เบี้ยล่าง…กรงเล็บของเต๋อกุลาปะทะเข้ากับแสงดำแต่ละครั้ง ประกายไฟกระเด็น ราวกับนำอาวุธเกรียงไกรแหลมคมที่สุดมาปะทะกัน
“ทำยังไงดี ตอนนี้เขาอันตรายมาก!” หลีชิงเยียนที่อยู่ในห้องพักโรงแรมจ้องมองฉากนี้อยู่ ร้อนใจที่สุด เหมือนมดที่โดนน้ำร้อนลวก ร้อนรนจนหมุนวนรอบ
หลังหลีชิงเยียนมองเห็นทักษะเมื่อสักครู่ของเฉินเป่ย จึงมั่นใจอย่างดิบดีว่านั่นคือผู้ลึกลับคนนั้นที่ช่วยเหลือตนเองก่อนหน้านี้ หลังเห็นผู้ลึกลับคนนั้นตกเป็นเบี้ยล่าง จมสู่อันตราย หลีชิงเยียนย่อมกังวลใจอย่างยิ่ง
“ประธานหลีคะ ทุกอย่างยังไม่ทันรู้แน่ คุณสงบใจไว้ก่อนค่ะ” ซูเหลยรีบพูดขึ้น
“ซูเหลย เธอมีวิธีมาก เธอมีวิธีอะไรบ้างไหม?” หลีชิงเยียนหันหน้าทันใด มองไปทางซูเหลย
ซูเหลยตะลึง จากนั้นหันหน้ามองทางนอกหน้าต่าง หลีชิงเยียนพูดอย่างไม่หยุดต่อไปอีก “ไม่ว่าเขาจะใช่ผู้ลึกลับท่านนั้นรึเปล่า เขาช่วยพวกเราเอาไว้ พวกเราจะดูเขาตกอยู่ในอันตรายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้!”
ฟังคำพูดที่ร้อนใจของหลีชิงเยียน มุมปากฉีกรอยยิ้มขมขื่นสุดจำใจขึ้น หล่อนย่อมไม่สามารถบอกหลีชิงเยียนได้ว่าผู้ลึกลับท่านนั้นที่หลีชิงเยียนเห็นว่าตกอยู่ในอันตราย คือการมีตัวตนที่กระทืบเท้านิดหน่อยก็สามารถทำให้หัวเซี่ยสั่นสะเทือนได้ในปัจจุบันนี้
ถ้าเป็นแบบที่หลีชิงเยียนว่าจริง แม้แต่เขายังอยู่ในอันตรายแล้ว งั้นชนเผ่าเลือดคนนี้คงไม่มีใครสามารถจัดการได้ พูดว่าทั้งโลกหล้าไร้ศัตรูโดยสิ้นเชิงยังไม่เกินไปเลย
ซูเหลยจ้องเฉินเป่ยตาไม่กะพริบ หล่อนย่อมไม่เชื่อว่าเฉินเป่ยที่กำลังเผชิญสถานการณ์กับชนเผ่าเลือดคนนั้นจะสู้ไม่ได้ หล่อนแค่ไม่เข้าใจและมึนงงอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าที่เฉินเป่ยทำแบบนี้ สรุปแล้วอยากทำอะไรกันแน่?
และในเวลานี้ ทันใดนั้นสีหน้าซูเหลยเปลี่ยนไป อึ้งค้างไปทั้งตัวแล้ว
หล่อนจ้องบนสนามหญ้าด้านนอกโรงแรม หายใจเร่งถี่ขึ้นมา ในใจยากจะสงบ
ซูเหลยเบิกดวงตาโต ผ่านไปสักพักหนึ่ง หล่อนถึงตอบสนองเข้ามา ตะโกนบอก “ประธานหลีคะ คุณดูนั่น!”
พอซูเหลยเรียก หลีชิงเยียนถึงมีปฏิกิริยากลับมา ถือโอกาสมองไปตามทางที่ซูเหลยชี้ ชั่วขณะนั้นพลันมองเห็นที่นอกโรงแรม สถานการณ์บนสนามหญ้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“ปึง!”
กรงเล็บทั้งคู่ของเต๋อกุลาโจมตีลงบนมีดหลงหยาของเฉินเป่ยทันใด ประกายไฟกระจาย มีหลงหยาสั่นสะเทือนวึ่งๆ
พลังที่น่ากลัวระเบิดออก เฉินเป่ยกุมมีดหลงหยาไว้ในมือ ทั้งตัวถอยหลังไปหลายก้าวอย่างควบคุมไม่อยู่ ถึงจะทรงตัวนิ่งได้
เฉินเป่ยสูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง เขามองทางเต๋อกุลา ในใจตกตะลึงเล็กน้อย ในแววตาเผยความเคร่งขรึมออกมา พลังสยองขวัญเมื่อสักครู่นั้น คาดไม่ถึงทำให้เขาพลิกกลิ้งแบบควบคุมลมปราณและเลือดไม่ไหว
กำลังของเต๋อกุลา คาดไม่ถึงจะแอบมีพลังที่ตามไม่ทัน ทำให้ดวงตาเฉินเป่ยเผยความแน่วแน่ดุเดือด
“ราชาหลง ถ้านายไม่มีความอดทนแล้ว งั้นก็รอความตายเถอะ!” เต๋อกุลาเงยหน้าตะโกนขึ้น สายตาที่มองทางเฉินเป่ยเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บที่โหดร้าย
ในเวลานี้ เฉินเป่ยหัวเราะฉับพลัน เขามองเต๋อกุลาอยู่ หัวเราะอย่างถากถางมาก
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นไม่เล่นเป็นเพื่อนแกแล้ว เข้ามารับความตายซะ” เฉินเป่ยเอ่ยปากนิ่งๆ น้ำเสียงก้าวร้าว ทำให้เต๋อกุลาสีหน้าแข็งทื่อทันที