สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 419
เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่419 สกัดกั้นอย่างบ้าคลั่ง!
“ดื่มลงไป เธอก็รู้เองแหละ” เฉินเป่ยถือผ้าไว้ขี้ริ้ว ลุกขึ้นมาแล้วพูดไป
ซูเหลยมองเฉินเป่ยอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง เลือกที่จะเชื่อเฉินเป่ย จากนั้นเปิดชั้นออก คลำหาอยู่สักหน่อย หยิบยาสีเลือดออกมาขวดหนึ่ง
ซูเหลยกวาดตามอง ยาที่มีสีแดงเลือดอยู่ในขวดยาใส พูดให้ถูกต้องนี่ไม่เหมือนเป็นยา แต่กลับเหมือนเลือดสดหลอดหนึ่ง
ซูเหลยสงสัยอยู่สักครู่ ท้ายที่สุดยังเปิดฝาขวดยาออกแล้วดื่มอึกเดียวหมด
หลังดื่มลงไป ชั่วขณะนั้นสีหน้าของซูเหลยเปลี่ยนไป บีบหลอดแก้วใสทีเดียวแตก มองทางเฉินเป่ยอย่างเย็นชา สอบถามด้วยเสียงหนาวเหน็บ “สรุปที่นายให้ฉันดื่มเป็นของอะไรกัน นี่ไม่ใช่ยา นี่คือเลือด!”
“ถูกต้อง นี่คือเลือด” เสียงของเฉินเป่ยลอยเข้าในหูของซูเหลยแล้ว ทำให้ซูเหลยสีหน้าเปลี่ยน เห็นเพียงเฉินเป่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าสงบ นั่งอยู่บนโซฟาที่ด้านข้าง พิจารณาดูซูเหลยอยู่ ทันใดนั้นขยับเข้ามาแล้วเอามือทั้งคู่คลำไปบนตัวของซูเหลย
“นายทำอะไร?” แวบเดียวดวงตาซูเหลยปรากฏความหมายตื่นตัวขึ้นฉับพลัน มือทั้งคู่ราวกับสายฟ้าแลบ คาดไม่ถึงคว้ากรงเล็บของเฉินเป่ยเอาไว้ ถามอย่างเย็นชา
“ช่วยเธอดูแผล เธอว่าไงล่ะ?” มุมปากของเฉินเป่ยวาดเส้นรัศมีวงกลมที่มีเลศนัยขึ้นแล้ว “ถ้าฉันมีแผนอะไรกับเธอจริง เมื่อกี้คงไม่เอายาถอนพิษให้เธอหรอก แต่เป็นยาหลอนประสาทแทน”
ซูเหลยทำเสียงฮึดฮัด ในเสียงเพิ่มความหมายที่เสียดสีหลายระดับ “ที่นายให้ฉันดื่มเป็นเลือดชัดๆ พูดออกมาจากปากนายว่าเป็นยาไปได้ตั้งแต่เมื่อไร?”
ซูเหลยมั่นใจมาก เมื่อสักครู่เฉินเป่ยให้หล่อนดื่มเป็นเลือดแน่นอน ไม่อาจเป็นยาอะไรได้
“งั้นเธอรู้ไหม นี่คือเลือดอะไร?” เฉินเป่ยไม่ได้เงยหน้า เพียงแค่หัวเราะเยาะออกมา
ซูเหลยสีหน้าฝืดค้าง รอหล่อนได้สติกลับมา เฉินเป่ยก็ดึงเสื้อผ้าของหล่อนออกแล้ว
บนท้องน้อยของซูเหลยมีบาดแผลที่ยาวเท่านิ้วชี้รอยหนึ่ง ถูกกรงเล็บของเต๋อกุลากรีดออก ตามมาด้วยตอนที่เคลื่อนย้าย นับวันซูเหลยยิ่งสูญเสียเลือดสดมาก ทำให้สีหน้าของหล่อนยิ่งซีดเซียว
และตอนที่เฉินเป่ยมองเห็นบาดแผล ทันใดนั้นดวงตามีความหมายหนักหน่วงนิดๆ แวบผ่าน เดิมทีซูเหลยไม่รู้ ว่าบนบาดแผลที่เปื้อนเลือดสดของหล่อน เวลานี้ขอบโดยรอบปริออก แอบมีสีดำขึ้น เห็นได้ชัดว่าบาดแผลกำลังทรุดลง
“ฉันรู้” เฉินเป่ยเอ่ยปากนิ่งๆ มือของเขาลูบไล้ไปบนท้องน้อยของซูเหลยเบาๆ บาดแผลนั้นของซูเหลยดูขึ้นมาแล้วดูน่าสยดสยอง แต่ท้องน้อยของหล่อนเกลี้ยงเกลามาก ซูเหลยในฐานะทีมรบพิเศษ ออกกำลังกายประจำ ทำให้บนตัวของหล่อนไม่มีเนื้อส่วนเกินสักส่วนยืนออกมาสักนิดเดียว กล้ามเนื้อและผิวหนังที่ละเอียดเนียนนุ่ม แม้กระทั่งทำให้เฉินเป่ยติดใจจนวางมือไม่ลงอยู่บ้าง
ตอนแรก หลังจากเสื้อผ้าของซูเหลยถูกเฉินเป่ยดึงออก ถึงแม้แก้มจะแดง แต่พอเห็นเฉินเป่ยสังเกตบาดแผลด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง จึงได้เพียงกลืนความไม่พอใจที่ออกมาถึงขอบปากกลับลงไป แต่ตอนหลังนับวันซูเหลยยิ่งรู้สึกว่าไม่ปกติแล้ว กรงเล็บนั้นของเฉินเป่ยทำให้ซูเหลยรู้สึกไม่ดีทั้งร่างกาย ขนลุกขึ้นมาแล้ว แก้มประกายสีแดงระเรื่อแบบน่าดึงดูดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“พอได้รึยัง?” ถึงสุดท้ายซูเหลยทนไม่ไหว ใบหน้าที่แดงเถือกเร่าร้อนดุจไฟลุกไหม้ขึ้นมา หล่อนมองทางเฉินเป่ยอย่างอับอายและหงุดหงิด ภายในสายตาเต็มไปด้วยแรงอาฆาตหนาวเหน็บ
เฉินเป่ยถึงได้หดมือกลับมา พูดนิ่งๆ “เมื่อกี้เลือดที่ฉันเอาให้เธอคือยาที่รักษาพิษ”
“นายหมายความว่าอะไรกันแน่?” ซูเหลยมองทางเฉินเป่ย
เฉินเป่ยบอกว่า “เธอโดนพิษของชนเผ่าเลือดเข้าแล้ว ถ้าช้าไปอีกไม่กี่ชั่วโมง เธอยังจะไม่มีแรงเดินมาที่ห้องของฉัน แม้กระทั่งเตียงยังลงมาไม่ได้ด้วย”
เฉินเป่ยมองซูเหลยอยู่ ในแววตาเป็นความเรียบนิ่ง
ซูเหลยได้ยินเฉินเป่ยพูดมาขนาดนี้ ชั่วขณะหนึ่งร่างกายเย็นลง หนังศีรษะชา นี่พอคิดอย่างละเอียดแล้วช่างน่าสยองเหลือเกิน
แต่ซูเหลยยังคงมีท่าทีแบบกึ่งเชื่อกึ่งสงสัยอยู่ มองเฉินเป่ยด้วยความสงสัย “ชนเผ่าเลือดคนนั้นมีพิษ? ฉันไม่เชื่อ”
ซูเหลยเคยปะทะกันกับชนเผ่าเลือด ดังนั้นสำหรับชนเผ่าเลือดแล้วยังมีความเข้าใจอย่างแน่นอนเช่นกัน ตอนนั้นที่หล่อนได้รับบาดเจ็บหนักจากชนเผ่าเลือดเป็นครั้งแรก ก็ไม่ได้เกิดเหตุการณ์โดนพิษขึ้น
“เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่เธอ ความสามารถของชนเผ่าเลือดบรรลุถึงระดับคงที่ เล็บแหลมของพวกเขาจะเกิดสารคัดหลั่งอย่างหนึ่ง สารคัดหลั่งแบบนี้เป็นพิษร้ายแรงต่อคนธรรมดา ศพของชนเผ่าเลือดคนนั้นยังอยู่ที่ด้านนอกโรงแรม ถ้าเธอไม่เชื่อ ไปดูตอนนี้ ยังพิสูจน์ได้สักหน่อยก่อนที่ตำรวจจะเข้ามา ว่าที่ฉันพูดเป็นเรื่องหลอกรึเปล่า” เฉินเป่ยตอบกลับนิ่งๆ
ซูเหลยพูดไม่ออก แต่หล่อนยังถามต่อแบบไม่ยอมรับ “เลือดหลอดนั้นรักษาพิษที่ฉันโดนเข้าได้จริงเหรอ?”
“นั่นคือยาแก้พิษที่ฉันปรับแต่งออกมาจากพิษของชนเผ่าเลือด ได้แน่นอน ดื่มมันเข้าไปอีก พรุ่งนี้ก็ฟื้นตัวเป็นปกติได้” เฉินเป่ยพลิกข้อมือ นำยาสีม่วงหลอดหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ
ซูเหลยจ้องมองเฉินเป่ย สีหน้าซับซ้อนอย่างมาก หล่อนละอายใจมาก หล่อนในฐานะอดีตสมาชิกทีมรบพิเศษ ตอนที่เผชิญหน้ากับชนเผ่าเลือด ถึงเข้าใจความอ่อนแอของตนเอง และตอนนี้หลังโดนพิษเข้า ยังต้องให้เฉินเป่ยมาช่วยแก้พิษ หากไม่มีเฉินเป่ย เดาว่าหล่อนกับคนเกือบจะตายคงไม่มีอะไรแตกต่างกัน
ก่อนหน้านี้ตนเองทุ่มเททุกวิถีทางตรวจสอบเฉินเป่ย แต่หลังจากได้รับรู้สถานะที่แท้จริงของเฉินเป่ย ซูเหลยรู้สึกถึงความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างลึกซึ้ง
ผู้ชายตรงหน้าคนนี้ สถานะของเขาเป็นการมีตัวตนที่ตนเองต้องเคารพเลื่อมใส และมีเพียงเขาถึงสามารถปรับแต่งยาแก้พิษที่ถอนพิษประหลาดนี้ออกมาได้
“ขอบคุณนะ” ความร้อนบนหน้าซูเหลยลดลงบ้างแล้ว ในใจของหล่อนเวลานี้ละอายใจอย่างยิ่ง
และตอนที่ซูเหลยรับยาสีม่วงนี้มากวาดสายตามอง ชั่วขณะนั้นตะลึงมองทางเฉินเป่ย
“นี่ ทำไมนายถึงมีได้ด้วย?” ยาสีม่วงที่อยู่ในมือ แพร่ประกายแวววาวสีม่วงออกมา แสงรุ่งโรจน์ที่น่าดึงดูดมีเสน่ห์กระเพื่อม เต็มไปด้วยเสน่ห์ลึกลับที่ทำให้คนเกือบจะโดนผีสิงได้
สีม่วง แสดงถึงความสูงศักดิ์ ลึกลับ แต่ถึงอย่างไรซูเหลยก็นึกไม่ถึงว่ายาวิเศษขวดนั้นที่ทำให้หล่อนสั่นสะเทือนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ คาดไม่ถึงปรากฏอยู่ในมือของเฉินเป่ยด้วย
ซูเหลยตื่นตกใจ สำหรับยาสีม่วงที่เฉินเป่ยหยิบออกมากะทันหัน สามารถพูดได้ว่าหล่อนไม่มีการคาดการณ์ใดๆ เลยสักนิด
ทั้งตัวซูเหลยอึ้งค้างไปหมด เฉินเป่ยสามารถนำยาสีม่วงขวดหนึ่งออกมาได้ง่ายดาย เฉินเป่ยกับเจ้านายลึกลับของหล่อนคนนั้น สรุปมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่
“ยาขวดหนึ่งเท่านั้นเอง มีอะไรน่าตกอกตกใจกัน” เฉินเป่ยเอ่ยปากนิ่งๆ ทำท่าทางไม่สนใจไยดี
แต่เขาไม่ได้บอกซูเหลยว่ายาขวดนี้ บวกกับราคาของสองหลอดที่ใช้ไปบนตัวซูเหลยในครั้งก่อน เป็นราคาที่ซูเหลยไม่มีทางจินตนาการได้ นั่นคือจำนวนมหาศาล
ในอดีตที่ต่างประเทศบริษัทยาชีวภาพยิ่งใหญ่สิบอันดับ เพื่อให้ได้ยาขวดเดียวแค่นี้ ตอนแรกใกล้จะตีกันขึ้นมา จากจุดนี้สามารถเห็นได้ถึงความสำคัญของยาสองขวดนี้ได้
และตอนนี้เฉินเป่ยแทบจะไม่ได้ลังเลแต่อย่างไร นำยาขวดนี้มาใช้บนตัวของซูเหลย ฟื้นฟูบาดแผล
ถ้าชิงเหนียนอยู่ที่นี่ จะต้องตกตะลึงพรึงเพริดแน่ มีความเป็นไปได้มากว่าคงตีอกชกตัว ต่อว่าเฉินเป่ยยกใหญ่ว่านี่กำลังทำเสียของตามอำเภอใจ
ซูเหลยไม่รู้ราคาที่แท้จริงของยาขวดนี้ แต่หล่อนรู้ว่ายาขวดนี้มีผลช่วยเหลือได้ดีมากสำหรับการรักษาบาดแผล
นี่คือยาที่วิเศษสุดที่ซูเหลยเคยเจอในการรักษาบาดแผล ครั้งแรกหลังจากที่ชิงเหนียนให้หล่อนใช้ วันต่อมาฟื้นขึ้นมาก็มีพลังเต็มเปี่ยม ทำให้หล่อนเองยังตกตะลึงเลย
และยาที่ชิงเหนียนหวงแหนอาลัยอาวรณ์ขนาดนั้น เฉินเป่ยกลับควักออกมาอีกขวด ซูเหลยมองทางเฉินเป่ย พูดว่า “ฉันรู้จักคนคนหนึ่ง เขาเคยให้ยาแบบนี้กับฉัน นายกับเขาเกี่ยวข้องอะไรกัน?”
“ฉันไม่รู้ว่าคนที่เธอพูดถึงนั้นคือใคร” เฉินเป่ยตอบไปอย่างเรียบเฉย
หลังเฉินเป่ยพูดจบ ก็เป่าปากออกทีหนึ่ง ค่อยๆ หมุนตัว หยิบแปรงขึ้น เตรียมทาผนังกำแพง
“นาย ทำไมต้องช่วยฉันขนาดนี้? หรือว่านายไม่แค้นที่ก่อนหน้านี้ฉันอยากค้นหาสถานะของนายออกมาเหรอ?” ซูเหลยกุมยาสีม่วงไว้แน่น หลังจากลุกขึ้น สายตาที่มองทางเฉินเป่ยเต็มไปด้วยความซับซ้อน
มือที่เฉินเป่ยถือแปรงไว้หยุดชะงัก ในดวงตาของเขามีความสงบล้ำลึกแวบผ่าน น้ำเสียงเรียบเฉย “เห็นแก่ที่เธอพยายามสุดแรงเพื่อชิงเยียน แต่ไหนแต่ไรฉันไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ไม่คิดจะตามเอาเรื่อง……วันนี้เจอกับชนเผ่าเลือดเข้า ไกลเกินกว่าที่ตอนนี้เธอจะสัมผัสได้ นอกเสียจากเธอดูดซึมพลังของยาขวดนี้ไปจนถึงที่สุด”
“ตอนนี้ก็ดึกแล้ว เธอยังไม่กลับไปอีก ชิงเยียนที่ขี้หึงอย่างนั้น เชื่อได้เลยต้องคิดว่าพวกเราสองคนทำเรื่องอะไรที่ให้คนรู้ไม่ได้แน่”
เสียงของเฉินเป่ยลอยเข้าในหูซูเหลย ซูเหลยกุมขวดยานั้นไว้แน่น คำพูดแต่ละประโยคของเฉินเป่ยล้วนประทับตราลึกในสมองของหล่อน
ลมหายใจของหล่อนยากจะสงบลงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนเองเป็นราชาหลง ปกติเป็นเฉินเป่ยที่ลักษณะเอ้อระเหยลอยชายแบบนั้นยังดีเสียกว่า แต่ตอนนี้ในน้ำเสียงที่เฉินเป่ยพูดจากับช่วงปกติ ช่างเป็นคนละคนอย่างอย่างสิ้นเชิง
“ขอบคุณ”
ซูเหลยเอ่ยปาก พูดขอบคุณเสียงเบาด้วยน้ำเสียงที่ซับซ้อน จากนั้นถือยาขวดนี้ไว้ เดินออกจากห้องพักไป
หลังกลับมาถึงด้านในห้อง ซูเหลยนั่งลงบนโซฟา จ้องยาสีม่วงขวดนั้นอยู่ ในขวดแก้ว น้ำที่บริสุทธิ์แวววาวสีม่วงที่ราวกับอัญมณี เหมือนแฝงด้วยเสน่ห์อันไร้ขีดจำกัด ซูเหลยถือมันไว้อยู่ในมือ มีความละโมบบางอย่างที่ควบคุมไม่อยู่ มีความบุ่มบ่ามที่ยากจะควบคุม อยากจะรีบดื่มมันให้หมดจนใจแทบขาด
ซูเหลยสังเกตอยู่นานมาก เห็นว่ายาขวดนี้กับขวดนั้นในครั้งก่อน ภายนอกเกือบจะไม่มีตรงไหนที่ต่างกัน ถึงค่อยๆ วางใจลงมาบ้าง ปิดฝ่าขวดออก กลิ่นหอมที่ประหลาดลอยคลุ้งออกมาจากในขวดยา แทรกเข้าในจมูกของซูเหลยแล้ว ชั่วขณะนั้นดวงตาของซูเหลยเผยแสงที่หลงใหลออกมา แต่เกือบจะในชั่วขณะหนึ่งก็ฟื้นสติกลับดังเดิม
พอซูเหลยตัดสินใจเด็ดขาด ก็กรอกยาสีม่วงเข้าในปากเลยทีเดียว
รสหวานอ่อนๆ ระเบิดออกในปากของซูเหลย ครั้งก่อนเพราะสาเหตุที่ชิงเหนียนอยู่ด้วย จึงไม่มีใจลิ้มลอง ครั้งนี้ซูเหลยถึงชิมรสชาติของยาอย่างละเอียด
รสชาติอ่อนๆ ราวกับความหอมของผลไม้ ทำให้ซูเหลยเกือบจะหลงใหลเข้าไป
ทันใดนั้นสีหน้าซูเหลยเปลี่ยนไป ความอบอุ่นไหลไปที่บาดแผลของซูเหลยอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแค่นี้ ราวกับมีไฟกองหนึ่งลุกไหม้อย่างร้อนแรงจากในท้องน้อยของซูเหลย กระแสความร้อนที่ดึงเอาพลังยิ่งใหญ่มหาศาลละลายออกจากทุกส่วนภายในของซูเหลย จิตสำนึกของซูเหลยเลอะเลือนขึ้นมาฉับพลัน ทั้งตัววิงเวียนอยากนอน ดวงตามืดมัว ค่อยๆ สูญเสียความรู้สึกตัว…….
ซูเหลยที่สลบอยู่คงไม่รู้ว่ายาขวดที่สองที่หล่อนได้รับไปกำลังสำแดงฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่แบบที่หล่อนเองยังจินตนาการไม่ถึง เวลานี้ อาการบาดเจ็บภายในใดๆ ที่ทิ้งไว้ตอนฝึกฝนสารพัดที่สะสมในร่างกายมาหลายปีของหล่อนกำลังถูกซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว และสมรรถภาพร่างกายของหล่อนมีการพัฒนาขึ้นอีกครั้งแล้ว
………
ในห้องหนึ่ง เฉินเป่ยที่กำลังทำงานสุดกำลัง หยุดงานที่ทำให้มือลงทันใดนั้น มองทางห้องของซูเหลยและหลีชิงเยียน มุมปากเฉินเป่ยยกรอยยิ้มที่ลึกลับขึ้น
เขาย่อมจะไม่ให้ซูเหลยรู้ถึงความสามารถของซูเหลยต่อไปนี้จะมีเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน เป็นเพราะยาขวดนี้ แหล่งที่มาจากของต้องห้ามนั้น…สิ่งนั้นที่มีเพียงตัวตนอยู่ในตำนาน ของต้องห้ามที่ในเวลานี้อิทธิพลต่างประเทศนับไม่ถ้วนตามหาอย่างคลุ้มคลั่ง…ถ้าให้ขุนศึกชั้นยอดพวกนั้นที่ต่างประเทศ บริษัทมหาอำนาจรู้ว่าเฉินเป่ยนำของหายากมาใช้รักษาบาดแผลบนตัวซูเหลยแล้ว พวกเขาคงเป็นบ้าอย่างแน่นอน
นี่แม่งช่างพังพินาศเหลือเกิน เดิมทีคือทำเสียของตามอำเภอใจ