สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 456
บทที่456 ถอนตัวออกเอง!
ซู่!
พอคำพูดนี้ของเฉินเป่ยออกมา ชั่วขณะนั้นต่างเงียบสงบลงมากันหมด ผู้ตัดสินที่อยู่โดยรอบผู้ตัดสินกานเหล่านั้น ขนตั้งชันไปทั้งตัวชั่วขณะหนึ่ง ขนลุกขนพองไปทั่วตัวขึ้นมาแล้ว
ชั่วขณะนั้นสีหน้าที่ผู้ตัดสินเหล่านั้นมองทางเฉินเป่ยเปลี่ยนไปมาก สายตาเพิ่มความตื่นตกใจแล้ว
ทันใดนั้นบรรยากาศเงียบงัน ผู้ตัดสินที่ยืนอยู่ด้านข้างผู้ตัดสินกานเหล่านั้นรู้สึกได้อย่างกะทันหัน อุณหภูมิโดยรอบของอากาศลดลงอย่างรวดเร็วทันใด
ในอากาศเหมือนมีแรงอาฆาตที่หนาวเย็นปกคลุมเต็มไปทั่วไม่หยุด……ร่างกายของผู้ตัดสินเหล่านั้นกำลังสั่นเทาเบาๆ ในใจของพวกเขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก
ผู้ตัดสินกานจ้องเฉินเป่ยอย่างเย็นชา เมื่อสักครู่คำพูดประโยคนั้นของเฉินเป่ยลอยเข้าในหูของแต่ละคนอย่างชัดเจน นี่เกือบจะทำให้ผู้ตัดสินกานสูญเสียศักดิ์ศรีไป
ในฐานะบุคคลรุ่นใหญ่ของวงการพนันเพชรพลอย และรับหน้าที่ผู้ตัดสินของสุดยอดดาบสามเล่มมานานหลายปีขนาดนี้ ผู้ตัดสินกานสะสมชื่อเสียงและเกียรติยศในวงการพนันเพชรพลอยมาไม่น้อย
ในสายตาของผู้คนมากมาย ผู้ตัดสินกานแทบจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่มีเอกลักษณ์ ถ้าไม่อย่างนั้นทางสุดยอดดาบสามเล่มคงไม่เชิญผู้ตัดสินกานหลายครั้งขนาดนั้น นี่ชัดเจนว่าเป็นการยอมรับต่อเขาแบบหนึ่ง
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ตัดสินที่ลึกลับอีกท่านหนึ่งมาซักถามสงสัยผู้ตัดสินกานกลางงาน ยิ่งใช้คำพูดที่กำเริบเสิบสานมาโจมตี ว่าผู้ตัดสินกานนากำลังสบประมาทเหยียดหยามหยกพวกนี้
ในสายตาของผู้คนมากมาย เฉินเป่ยไม่ใช่กำลังท้าทายผู้ตัดสินกานอยู่เหรอ การท้าทายผู้ทรงอิทธิพล ดังนั้นถึงเกิดความวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้
ซู่!
ทั้งตัวผู้ตัดสินกานท่าทางเปลี่ยนไป สีหน้าอึมครึมดูย่ำแย่มาก หน้าผากมีเส้นเลือดกระตุกอยู่ไม่เลิก
การเหยียดหยามที่โจ่งแจ้งแบบไม่ปกปิดใดๆ ของเฉินเป่ยนี้ ทำให้เขายอมได้อย่างไรกันเล่า?
สายตาแต่ละคู่ตกอยู่บนตัวของผู้ตัดสินกาน ผู้ตัดสินกานหัวเราะเยาะทีหนึ่ง ในสายตามีแรงอาฆาตที่เหน็บหนาว จ้องมองเฉินเป่ย จากนั้นค่อยๆ พูดว่า “ฉันไม่เข้าใจ หรือว่านายเข้าใจ?”
เฉินเป่ยก้มหน้า มองไฟของดวงอาทิตย์ที่อยู่ในฝ่ามือแวบหนึ่ง ทันใดนั้นเป่าลมหายใจทีหนึ่งแล้ว หินแตกสีเขียวละเอียดกองหนึ่งถูกเป่าจนสะอาดเกลี้ยง
พวกนี้ล้วนเป็นเมล็ดหยกระดับต่ำก่อนหน้านี้ที่ภายหลังแตกละเอียดกลายมาเป็นเศษหิน ในฝ่ามือของเฉินเป่ยเวลานี้เหลือเพียงไฟของดวงอาทิตย์เล็กๆ พวกนี้ กองอยู่ในฝ่ามือของเฉินเป่ย แสงสีทองเรืองรองจ้าตาระยิบระยับ
นิ้วมือของเฉินเป่ยถูเม็ดทรายสีทองพวกนี้ไปมา ถ้าไม่ใช่แสงรุ่งโรจน์ที่จ้าตาดุจแสงแดด ทรายสีทองพวกนี้คงถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นทรายทั่วไปได้ง่ายมาก
“นายเข้าใจเหรอ ทำไมเริ่มแรกนายถึงดูไม่ออกว่านี่คือไฟของดวงอาทิตย์? หรือพูดว่าเริ่มแรกนายมีเจตนาอย่างอื่น เลยไม่คิดจะพูดออกมา จงใจให้บางคนตกรอบไป?” เฉินเป่ยเอ่ยปากอย่างอารมณ์สงบ ชั่วขณะนั้นทำให้มุมปากของผู้ตัดสินกานหดอย่างแรง
และก่อนหน้านี้ผู้ตัดสินที่สนับสนุนผู้ตัดสินกานขมวดคิ้วกันชั่วขณะหนึ่ง พลางตะโกนเสียงดุ “หุบปาก นี่นายกำลังพูดจาไร้สาระ!”
“ฉันพูดจาไร้สาระ?” เฉินเป่ยกวาดตามองผู้ตัดสินเหล่านั้นแวบหนึ่ง “พวกนายก็เหมือนกัน ล้วนเป็นผู้ตัดสินที่สมาคมการพนันเพชรพลอยเชิญมา ฉันมีเหตุผลที่จะสงสัยพวกนายกับผู้ตัดสินกานร่วมมือกัน จงใจวางแผนพุ่งเป้าโจมตีบางคนด้วยกัน!”
พรึบ!
คำพูดประโยคนี้ของเฉินเป่ย ชั่วพริบตาเดียวก็ผิดใจผู้ตัดสินมากมายแล้ว ผู้ตัดสินเหล่านั้นต่างลุกขึ้นมาอย่างแค้นเคือง เริ่มตำหนิเฉินเป่ย
เฉินเป่ยฟังคำตำหนิของคนเหล่านี้อยู่ สีหน้าไม่ได้สั่นไหวแต่อย่างใด เหมือนกับว่าไม่ได้ยินอย่างนั้น ก้มหน้าเล่นไฟของดวงอาทิตย์เล็กๆ นั้นต่อไป
ในเวลานี้เอง ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นมาฉับพลัน “ฉันมีชีวิตมาจนอายุปูนนี้ ยังไม่เคยได้ยินไฟของดวงอาทิตย์อะไรมาก่อนเลย”
ทุกคนมองไปตามเสียง เห็นว่าผู้ตัดสินกานก้าวเท้าออกมา เดินมาตรงหน้าของเฉินเป่ย มองเฉินเป่ย พูดว่า “ไฟของดวงอาทิตย์ แต่ไหนแต่ไรฉันไม่เคยได้ยิน”
“ใช่ ฉันก็ไม่เคยได้ยินหยกประเภทนี้เหมือนกัน”
“ของเล่นนี้กลัวว่าเคยมีแต่เกิดขึ้นในนิยายมั้ง จะมีตัวตนจริงได้ยังไงกัน?”
เวลานี้ไม่เพียงแต่ที่นั่งผู้ตัดสินเกิดความวุ่นวาย ทั้งโถงประชุมต่างค่อยถกเถียงร้อนแรงขึ้นมา สีหน้าของคนดูมากมายแปลกประหลาดที่สุด เพราะไฟของดวงอาทิตย์คำนี้ช่างดูเพ้อฝันเหลือเกิน นี่เดิมทีทำให้พวกเขายากจะเชื่อ
“นายไม่เคยได้ยินเหรอ นั่นแสดงว่าพวกนายมีความรู้เท่าหางอึ่ง มีสิทธิ์อะไรที่มีความรู้งูๆ ปลาๆ อย่างพวกนาย ถึงจะตัดสินมันว่ามีตัวตนจริงหรือไม่?” เฉินเป่ยตอบกลับนิ่งๆ
และในขณะเดียวกันตอนที่เฉินเป่ยกับผู้ตัดสินพวกนี้โต้เถียงไม่เลิก ในห้องทำงานหัวหน้าสมาคมที่โซนพนันระดับสูง ภาพเงาคนคนหนึ่งพุ่งเข้าไปในห้องทำงานอย่างรีบร้อน ร้อนใจตะโกนบอก “หัวหน้าสมาคมครับ ไม่ดีแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
“ไม่ต้องพูดหรอก ฉันรู้หมดแล้ว”
ลูกน้องคนนั้นยังไม่ได้พูดอะไร มองเห็นหัวหน้าสมาคมดวงตาทั้งคู่จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ขยับ โบกๆ มือด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดดูแย่
“ออกไปเถอะ” หัวหน้าสมาคมท่านนั้นเอ่ยปากบอก
ส่วนตอนที่ลูกน้องคนนั้นพึ่งออกไป หัวหน้าสมาคมแผ่ลงบนเก้าอี้ มองทุกอย่างตรงหน้าแบบหมดเรี่ยวแรง ขาทั้งคู่กำลังสั่นเทารุนแรง
“จบแล้ว ซวยแล้ว ครั้งนี้จบเห่จริงๆ” หัวหน้าสมาคมพึมพำกับตนเอง เขามองเฉินเป่ย บนหน้าเค้นรอยยิ้มที่ดูแย่กว่าร้องไห้นิดๆ ออกมา “แม่งเอ๊ย ฉันก็รู้ อยากมาเป็นผู้ตัดสินบ้าบออะไร ไม่มีเรื่องดีเด็ดขาด จางเป่าเฉิงเข้าร่วมสุดยอดดาบสามเล่มก็แล้วไป ยังมาถูกพุ่งเป้าโจมตี ตอนนี้มาก่อเรื่องนี้อีก งานของฉัน เดิมทีคงรักษาไว้ไม่อยู่!”
เขาจ้องวงจรปิดในขณะนี้อยู่ ถอนหายใจทีหนึ่งแบบหมดหวัง เขารู้ดีมาก ชื่อของตนเองหลังจากสุดยอดดาบสามเล่มในครั้งนี้ จะต้องโดนตรวจสอบพักงานแน่
ความวุ่นวายในครั้งนี้ใหญ่โตถึงที่สุด ตอนนี้เขาไม่กล้าออกหน้าไปแก้ไข พอตนเองออกหน้า มีความเป็นไปได้มาก ว่าเรื่องราวจะกลับวุ่นเยอะขึ้น
“นี่ เป็นไฟของดวงอาทิตย์จริงเหรอ?” เขาพูดกับตนเอง แววตาจ้องในวงจรปิดขณะนี้แนบแน่น ดวงอาทิตย์เล็กที่จ้าตาดวงนั้นในฝ่ามือเฉินเป่ย ถึงแม้จะเป็นเขา ก็ไม่เคยได้ยินไฟของดวงอาทิตย์หยกประเภทนี้มาก่อน
แต่เขาเกือบจะไม่ไปสงสัยว่านี่คือไฟของดวงอาทิตย์จริงหรือไม่
เพราะนี่คือตำนานผู้ไม่แพ้ท่านหนึ่งพูดถึงสถานะของหยกก้อนนี้ออกมา
“ไฟของดวงอาทิตย์ นี่เป็นไปได้ยังไง!” ในเวลานี้ ร่างกายอวี้เฉิงวั่งสั่นขึ้นฉับพลัน เขาจ้องเฉินเป่ยไม่ขยับ ในใจเกิดความตกใจล้นหลาม
เพียงชั่วเวลานั้น ในสมองของอวี้เฉิงวั่ง ส่วนลึกความทรงจำของเขามีความทรงจำนิดๆ นึกได้กะทันหัน และทำให้ในแววตาของอวี้เฉิงวั่งลดเหลือเพียงความตกใจไร้จุดสิ้นสุดและความไม่อยากเชื่อ
อวี้เฉิงวั่งตะโกนเสียงดังกะทันหัน ชั่วขณะนั้นดึงดูดความสนใจของผู้ตัดสินมากมายตรงโต๊ะกรรมการ ในใจผู้ตัดสินกานเต้นแบบน่าประหลาด และแน่นทันใด
ผู้ตัดสินกานรีบหันหน้า มองทางอวี้เฉิงวั่ง
อวี้เฉิงวั่งจ้องเฉินเป่ยตาไม่กะพริบ สีหน้าของเฉินเป่ยสบายอกสบายใจ ทว่ากลับเพิ่มความลึกลับที่พูดไม่ถูกมาด้วย
นี่ทำให้อวี้เฉิงวั่งรู้สึกว่าตนเองดูเฉินเป่ยไม่ออกเลยสักนิด บนตัวของเฉินเป่ยราวกับมีหมอกหนาชั้นหนึ่ง
“คุณรู้มั้ยว่าตัวเองกำลังพูดอะไร?” ผู้ตัดสินกานกวาดตามองอวี้เฉิงวั่งแบบเย็นชาแวบหนึ่ง ในน้ำเสียงมีการข่มขู่
อวี้เฉิงวั่งร่างกายสั่น แต่ในตอนนี้ ดวงตาของอวี้เฉิงวั่งเผยความแน่วแน่อย่างยิ่งออกมา จ้องมองไฟของดวงอาทิตย์เล็กๆ นั้นในฝ่ามือเฉินเป่ยไม่ขยับ เอ่ยปากบอกทันที “แน่นอน ไฟของดวงอาทิตย์มีตัวตนอยู่จริง!”
อวี้เฉิงวั่งไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหน ถึงแม้ว่าผู้ตัดสินกานจะกดดันเขา คาดไม่ถึงว่าเขากลับเพิกเฉยไป
เฉินเป่ยยกมุมปากขึ้นนิดหน่อย พยักหน้าด้วยความพอใจ เหมือนพฤติกรรมของอวี้เฉิงวั่งทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขา
“หุบปาก นายรู้มั้ยว่าตัวเองพูดอะไรกัน!”
“บนโลกนี้ไม่เคยมีไฟของดวงอาทิตย์หยกประเภทนี้ นี่นายกำลังพูดไร้สาระ!”
“อวี้เฉิงวั่ง คุณเป็นผู้นำของตระกูลอวี้ แต่ละคำพูดได้รับการตรวจตราของทุกคน ตอนนี้คุณพูดจาเหลวไหล ต้องชดใช้ต่อคำพูดด้วย!” ผู้ตัดสินแต่ละท่านเห็นกล้องต่างย้ายไปทางอวี้เฉิงวั่ง ชั่วขณะนั้นสับสนแล้ว พวกเขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดนี่เป็นไฟของดวงอาทิตย์ในตำนานจริง อย่างนั้นมูลค่าของมัน เดิมทีไม่มีทางจินตนาการได้
ผู้ตัดสินเหล่านั้นที่ก่อนหน้าเริ่มแรกยังมีท่าทีที่สงสัยสูงมาก แต่ตอนที่อวี้เฉิงวั่งเอ่ยปากยืนยัน พวกเขาตอบสนองเข้ามาในแวบหนึ่ง แม้แต่อวี้เฉิงวั่งยังยอมรับเลย มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่านี่คือไฟของดวงอาทิตย์ ถึงแม้พวกเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไม่ได้สำคัญแล้ว
ในใจผู้ตัดสินแต่ละคนประหม่าขึ้นมา ส่วนอวี้เฉิงวั่งเพิกเฉยต่อคำเตือนของพวกเขาไปตรงๆ จ้องมองไฟของดวงอาทิตย์ในมือของเฉินเป่ยแววตาไม่กะพริบ ในใจยากจะสงบ
“นึกไม่ถึงว่ามันมีตัวตนอยู่จริง!” ผ่านไปตั้งนาน อวี้เฉิงวั่งถึงพ่นคำพูดประโยคหนึ่งออกมา
คำพูดประโยคนี้ ทำให้ผู้คนมากมายยิ่งเพิ่มความฮือฮาขึ้นมา
“อวี้เฉิงวั่งในฐานะผู้นำของตระกูลอวี้ มีสิทธิ์และอำนาจที่มั่นคง พวกนายกลัวจนไม่ให้เขาเอ่ยปากกันขนาดนี้ หรือว่ากลัวเขาจะพูดอะไรที่พวกนายไม่อยากให้คนอื่นได้ยินออกมาเหรอ?” เฉินเป่ยกวาดสายตามองผู้ตัดสินที่เหลือแวบหนึ่ง
ผู้ตัดสินเหล่านั้นสีหน้าดูไม่ดี สายตาของแต่ละคนมองทางเฉินเป่ย มีความหมายอาฆาตที่หนาวเย็น และในเวลานี้เอง ในที่สุดผู้ตัดสินกานเอ่ยปากส่งเสียง “งั้นก็ให้เขาพูด”
คำพูดของผู้ตัดสินกานมีอิทธิพลอย่างมาก พอเขาพูดแบบนี้ ชั่วขณะนั้นทำให้ผู้ตัดสินเหล่านั้นได้แต่หุบปากอย่างเชื่อฟัง กล้าโมโหทว่าไม่กล้าพูดอะไร แต่ละคนจ้องมองอวี้เฉิงวั่งและเฉินเป่ยอย่างโมโห
อวี้เฉิงวั่งมองเฉินเป่ยด้วยสีหน้าซับซ้อน สายตาหยุดตรงไฟของดวงอาทิตย์หลายวินาที ถึงเอ่ยปากบอก “ผมคิดว่านี่เป็นเพียงตำนานเรื่องเล่า ดังนั้นเกือบจะลืมเลือนมันหมดแล้ว คาดไม่ถึงจะมีตัวตนอยู่จริง……”
“ไฟของดวงอาทิตย์หายากเหลือเกิน แม้แต่ในประวัติศาสตร์ของหัวเซี่ยก็มีแค่เห็นแวบๆ ภายใต้สถานการณ์ที่บังเอิญขั้นสุดถึงปรากฏขึ้น ในหนังสือประวัติศาสตร์มีเพียงภาพวาดจำนวนน้อย แต่พวกนั้นถูกคนรุ่นหลังมองเห็นเป็นเพียงการคาดเดา…….” อวี้เฉิงวั่งค่อยๆ เอ่ยปาก นำเรื่องราวที่เกี่ยวกับไฟของดวงอาทิตย์เล่าออกมาหมด “แต่ตระกูลอวี้ของผมในฐานะตระกูลการพนันเพชรพลอย ไม่เพียงแค่สืบทอดวัฒนธรรมการพนันเพชรพลอยรุ่นต่อรุ่น ยิ่งมีหน้าที่สำคัญด้วย ก็คือในประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน บันทึกสถิตหินหยาบพวกนั้นที่ตัดหยกหายากออกมาได้…..”
อวี้เฉิงวั่งดวงตาเผยแสงที่แปลกออกมา มองทางเฉินเป่ย “ไฟของดวงอาทิตย์ ถึงแม้จะมีคนรู้ ก็ควรจะเป็นเพียงคนในตระกูลอวี้ของพวกฉัน นายรู้ได้ยังไงกัน?”