สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 484
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่484 ล้อมปราบราชาหลง!
เยี่ยนจิง เมืองที่พิเศษเจริญรุ่งเรืองครอบครองประวัติศาสตร์ที่ยาวนานแห่งนี้ เวลานี้ถูกฉากยามค่ำคืนที่เงียบสงบล้ำลึกปกคลุม และขณะนี้พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อยจากปลายถนนที่ไกลออกไป มีจุดสีดำที่หนาแน่นนับไม่ถ้วนกำลังเข้ามายังเยี่ยนจิงด้วยความรวดเร็ว
ผ่านไปได้ไม่นาน เสียงคำรามดุจฟ้าผ่าติดกันค่อยๆ ลอยมาจากระยะไกล ดังก้องอยู่ที่บนท้องฟ้าของเยี่ยนจิง
นั่นคือรถถังแต่ละคันและรถหุ้มเกราะอีกนับไม่ถ้วน รวมตัวกันกลายเป็นขบวนรถ โหดซัดสาดเข้ามาอย่างกับกระแสน้ำไหลบ่า ลักษณะท่าทางดุดัน
“ตึกๆๆ……” เสียงพื้นโดนกดทับลอยมาจากระยะไกลเป็นระลอก รถถังแต่ละคันเคลื่อนไหวภายใต้ความเร็วสูง ความเร็วที่เกินกว่ารถยนต์ธรรมดาไปไกลโข
ทันใดนั้น เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินผ่านรถถังรถหุ้มเกราะพวกนี้ไปอย่างฉับไว ภายในเฮลิคอปเตอร์ ผู้อาวุโสที่ใส่เครื่องแบบทหารจอนผมหงอกท่านหนึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งในเฮลิคอปเตอร์ที่สั่นสะเทือนแกว่งไหวรุนแรง กำลังหลับตาพักผ่อน
และดาวที่แวววาวหลายดวงบนไหล่ของเขานั้น พอจะอธิบายได้ว่าเขาเป็นนายทหารระดับสูง ยิ่งเป็นผู้บัญชาการที่ออกศึกในครั้งนี้ด้วย
เมื่อได้รับการไหว้วานจากจิง เขาก็พากองทัพที่เกรียงไกรฉับไวเกือบพันนายเข้ามาช่วยเหลือจิงอยู่ด้านข้าง
“รายงานครับ พวกเราได้ใช้เครื่องตรวจจับความร้อนล็อกเป้าหมายไว้แล้ว เป้าหมายกำลังอยู่ในจุดมุ่งหมายครับ ระยะห่างจากจุดมุ่งหมายไม่ถึงหนึ่งพันเมตรครับ” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยปากบอก
ผู้อาวุโสท่านนั้นลืมตาทันที ชั่วขณะที่เขาลืมตาขึ้นนั้น แสงสว่างได้ปรากฏออกจากดวงตาทั้งคู่ของเขาและจากบนตัวเขา ยิ่งระเบิดออร่าที่ยิ่งใหญ่ไร้รูปร่างออกมา พอจะทำให้นายทหารในเฮลิคอปเตอร์เผยสีหน้าที่เคารพและหวาดกลัวออกมาได้
“เพิ่มความเร็วขึ้นอีก ทั้งหมดเข้าสู่สภาพออกศึก เตรียมต่อสู้ทุกเวลา!” หลังผู้อาวุโสพูดจบ ตอนที่นายทหารคนนั้นส่งต่อคำสั่งการ เขาถึงค่อยๆ นั่งลงมา ดวงตาเปลี่ยนไปล้ำลึกขึ้นมา เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ก่อนจะพูดพึมพำ “สรุปว่าราชาหลงเกรียงไกรแบบในตำนานนั้นจริงหรือเปล่า……ถึงต้องให้ฉันนำทีมออกรบด้วยตัวเอง แต่ว่าคนธรรมดาตัวเล็กๆ จำเป็นต้องระดมคนทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ?”
ผู้อาวุโสพูดพึมพำกับตนเอง ในด้านยุทธศาสตร์ เขาไม่ได้เห็นราชาหลงในตำนานคนนี้อยู่ในสายตาเลย สำหรับคำอธิบายตัวอย่างบางเรื่องของราชาหลงในตำนาน เขาไม่เชื่อทั้งสิ้น สำหรับเขาแล้ว พลังของคนผู้เดียวอย่างไรก็กระจิริดราวกับพวกมดต่ำต้อย ไม่มีทางเขย่ากำลังของกองทัพได้
ดังนั้นตอนที่จิงบอกกับเขา ถึงแม้เขารับปากจิงว่าจะออกรบด้วยตนเอง แต่กลับไม่ได้ให้ความสำคัญออกมาจากภายในใจ
ผ่านไปได้ไม่นาน รถรบแข็งแกร่งแต่ละคันขับเข้าเมืองจิง อีกไม่นานนักความสงบของทั้งเมืองจิงคงถูกทำลายลง
ถนนแต่ละสายผ่านการบดทับของรถถังและรถรบ ค่อยๆ แตกร้าวเปลี่ยนรูปเพราะทนรับไม่ไหว เหลือหลุมยุบรอยแล้วรอยเล่าทิ้งไว้ ส่วนรถถังและรถรบพวกนี้ กำลังมุ่งไปทิศทางโรงแรมที่เฉินเป่ยอยู่ ขับไปด้วยความรวดเร็ว
และเวลานี้ ด้านนอกโรงแรม ซูเหลยพาหลีชิงเยียนและคนอื่นๆ มานั่งอยู่ในรถยนต์สีดำคันหนึ่ง รถยนต์แล่นออกมาจากโรงแรม ขับออกไปทางระยะไกล
หลีชิงเยียนนั่งอยู่ด้านข้างของซูเหลย สีหน้าไม่พอใจในระดับหนึ่ง เธอมองทางซูเหลยที่สีหน้าเคร่งขรึมหนักหน่วง พลางถามว่า “ซูเหลย สรุปเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงต้องให้พวกเรารีบร้อนออกมากันขนาดนี้ กระเป๋าเดินทางพวกเราก็ยังไม่ทันได้หยิบ……”
“ประธานหลีคะ คุณเชื่อฉันเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณจะรู้เอง ที่นั่นอันตรายที่สุด” ซูเหลยพูดไป
หลีชิงเยียนท่าทางสงสัย “เธอไม่ได้กำจัดนักฆ่าทางนั้นทิ้งหมดแล้วเหรอ ยังมีอันตรายที่ไหนอีก”
ซูเหลยพูดไม่ออก หล่อนย่อมที่จะไม่สะดวกบอกกับหลีชิงเยียน หล่อนไม่รู้เช่นกันว่าทำไมถึงยังมีอันตรายอยู่ แต่หล่อนไม่กล้าสงสัยในคำพูดของเฉินเป่ยสักนิดเดียว เฉินเป่ยให้หล่อนพาหลีชิงเยียนออกไปจากที่นั่น จำเป็นต้องมีสาเหตุแน่
“ประธานหลีคะ ตอนนี้ฉันไม่สะดวกที่จะบอกคุณค่ะ” ซูเหลยอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ตั้งนาน ก่อนจะพูดประโยคนี้ออกจากปาก
หลีชิงเยียนขมวดคิ้วยิ่งลึกขึ้น ซูเหลยท่าทางแบบนี้ ยิ่งทำให้เธอสงสัยขึ้นมา สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้ซูเหลยกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้
“เลี้ยวรถ กลับโรงแรม” ทันใดนั้นหลีชิงเยียนออกคำสั่ง
ซูเหลยตะลึง มองทางโรงแรม หล่อนแปลกใจอยู่บ้าง นึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าหลีชิงเยียนจะออกคำสั่งแบบนี้มา
เวลานี้หลีชิงเยียนนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ กอดหน้าอกพูดด้วยเสียงมีเสน่ห์ “ในเมื่อเธอไม่ยอมพูด งั้นกลับไปเดี๋ยวนี้ ให้พวกเราเห็นกับตาตัวเองหน่อยว่าอันตรายนั้นคืออะไรก็ไม่ได้แล้วเหรอ?”
“ประธานหลี……” ซูเหลยอ้าปากอยากพูด ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นมีเสียงคำรามทั่งก้องจนหูจะหนวกดังขึ้นมาจากด้านหลังรถที่ซูเหลยขับ
“ครืนๆๆ!”
หลีชิงเยียนและซูเหลยนั่งอยู่ในรถ ออกจากโรงแรมถือว่ามีระยะห่างที่ไกลมากในระยะหนึ่ง กลับยังคงรู้สึกถึงลมร้อนระลอกหนึ่งคำรามมาจากทางด้านหลัง ลมร้อนผะผ่าวเป่ามาโดนหน้าของหลีชิงเยียนและซูเหลย ร้อนผ่าวอย่างยิ่ง
“เกิดอะไรขึ้น?” ใบหน้าหลีชิงเยียนเคร่งขรึม ส่วนในใจซูเหลยอึมครึม รีบมองทางกระจกมองหลังที่ข้างรถทันที ชั่วขณะนั้นใจหนักอึ้ง
“ไม่ดีแล้ว รีบไปเถอะ!” ซูเหลยพูดเสียงดัง เหยียบคันเร่งลงฉับไว เครื่องยนต์ของรถส่งเสียงคำรามกระหน่ำ แรงม้าเพิ่มขึ้นเต็มที่ ขับไปยังระยะไกล
“สรุปเป็นอะไร? นี่คืออันตรายที่เธอพูดถึงเหรอ?” หลีชิงเยียนผมยาวยุ่งเหยิงถามเสียงดัง
ซูเหลยขมวดคิ้วแน่น หล่อนดูทางกระจกมองหลังไม่ขาดสาย ทันใดนั้นดวงตาหล่อนแข็ง ครู่เดียวหล่อนมองเห็นในกระจกมองหลัง มีแสงไฟพุ่งทะยานขึ้นฟ้าทางโรงแรมในระยะไกล
ส่วนบนท้องฟ้าของโรงแรม กำลังมีเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินวนไม่หยุด ขีปนาวุธแต่ละลูก แสงไฟสั่นไหวระเบิดโจมตีไปยังโรงแรม อยากจะระเบิดโรงแรมให้เป็นทะเลไฟซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง
ชั่วขณะนั้นหัวใจของซูเหลยเหมือนขึ้นมาถึงคอหอย เพราะตอนที่หล่อนกลับมาหาหลีชิงเยียนที่ห้องพัก ชัดเจนว่ามองเห็นเฉินเป่ยเข้าไปภายในโรงแรมแล้ว
เขาต้องการทำอะไรกันแน่ ทำไมไม่ตามตนเองไปด้วยกัน?
ในใจของซูเหลยปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นมา คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ทั้งที่เฉินเป่ยจัดการสองคนนั้นเรียบร้อยแล้ว ทำไมไม่หนีไปตามตนเอง แต่ทว่าอยากเข้าไปภายในโรงแรม รอคอยการมาเยือนของทุกอย่างนี้
ปึง!
และคลื่นความร้อนที่ร้อนแผดเผาโชยเข้ามาจากระยะไกล ทำเอาผมยาวของหลีชิงเยียนปลิวขึ้น ทำให้จางเป่าเฉิงและอีกคนที่อยู่ด้านหลังยิ่งไม่สบายใจขึ้น นั่งอยู่เบาะด้านหลัง สั่นเทาไม่หยุด
“สรุปเกิดเรื่องอะไรขึ้น……” หลีชิงเยียนยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกคลื่นความร้อนเป่าใบหน้างดงามจนหน้าเปลี่ยนสี
หลีชิงเยียนหันหน้า เพียงแค่กวาดสายตามอง ตกใจจนหน้าซีด ตะลึงค้างถึงที่สุดแล้ว
ที่ระยะไกลด้านหลังของพวกเขา โรงแรมกลายเป็นทะเลไฟผืนหนึ่งไปตั้งนานแล้ว แสงไฟพุ่งขึ้นฟ้า ควันดำเข้มข้นลอยคลุ้งนับไม่ถ้วน ฉากนี้ทำให้หลีชิงเยียนตื่นตระหนกถึงที่สุด
หลีชิงเยียนเกือบจะไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ภาพที่มีเพียงในภาพยนตร์สงครามที่ยิ่งใหญ่ยากจะเจอได้แบบนี้ แต่ตอนนี้กลับเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าของหลีชิงเยียนแบบชัดแจ้ง
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้……” หลีชิงเยียนมองเฮลิคอปเตอร์ที่บินวนด้านบนโรงแรมไม่หยุดด้วยสีหน้าอึ้งทึ่ง
“รีบออกไปจากที่นี่ให้ไว เดี๋ยวจะโดนเฮลิคอปเตอร์เจอเข้า” ซูเหลยที่ใจเย็นสุดเอ่ยปากบอก เฮลิคอปเตอร์บินวนบนท้องฟ้าโรงแรม เหมือนกำลังตามหาอะไร
“พวกนั้นพุ่งเป้ามาที่พวกเราเหรอ?” หลีชิงเยียนมองทางซูเหลย สอบถามด้วยเสียงดุ
ซูเหลยส่ายหน้า ต่อหน้าหลีชิงเยียน หล่อนได้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราว
“งั้นเธอมองเห็นเฉินเป่ยแล้วรึเปล่า?” หลีชิงเยียนคล้ายจะไม่รู้ว่าตอนที่ตัวเองพูดถึงเฉินเป่ย เสียงของเธอสั่นเครืออยู่
“ไม่เห็นค่ะ ไม่รู้ว่าเขาไปที่ไหนแล้ว” ซูเหลยตอบกลับ
“เฉินเป่ย……” หลีชิงเยียนมองทางโรงแรมที่อยู่ระยะไกลด้วยสีหน้าซับซ้อน เจ้าหมอนี่จะอยู่ในโรงแรมไหม?
………
ภายในโรงแรม ในห้องพัก เฉินเป่ยนั่งอยู่บนพื้น มองทางด้านนอกหน้าต่าง เฮลิคอปเตอร์ที่ส่งเสียงคำรามมาจากที่ไกลๆ ด้วยสีหน้าสงบเรียบเฉย แม้กระทั่งในดวงตาก็ไม่มีความสั่นไหวประกายขึ้น เหมือนคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว
“ล็อกเป้าหมาย!” ในเฮลิคอปเตอร์ นายทหารคนหนึ่งเอ่ยปากบอก
“ยิง” ในเฮลิคอปเตอร์ ผู้นำอาวุโสที่จอนผมหงอกท่านนั้นนั่งอยู่เอ่ยปากสั่งด้วยน้ำเสียงดุเดือดเด็ดเดี่ยว
“ครับ!”
“ตูมๆ!”
ในเฮลิคอปเตอร์ มีแสงไฟสองดวงยิงออกมาจากในเฮลิคอปเตอร์อีกครั้ง ระเบิดจู่โจมไปทางเฉินเป่ย
เฉินเป่ยที่นั่งอยู่ในห้องพัก มองทางขีปนาวุธสองลูกที่มาทางด้านนอกห้องพักด้วยความรวดเร็ว มุมปากวาดเส้นรัศมีวงกลมที่ผิดปกติขึ้น……นั่นเหมือนเป็นการเหยียดหยามอย่างยิ่ง
“ปัง!”
นับวันเฮลิคอปเตอร์ยิ่งรวมตัวกันเข้ามา ส่งเสียงคำรามไม่เลิก ทั้งโรงแรมมีเสียงคำรามที่ดังก้องจนหูแทบหนวกนับไม่ถ้วน พังทลายลงช้าๆ
“ยืนยันหน่อยว่าเป้าหมายยังรอดหรือไม่”
รถหุ้มเกราะแต่ละคันจอดอยู่ในซากปรักหักพัง นายทหารแต่ละคนลงจากรถ ส่วนนายทหารคนหนึ่งที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์ใช้มือถือกล้องส่องทางไกลเครื่องตรวจจับความร้อนไว้ จากนั้นกวาดตามองรอบหนึ่ง แล้วรายงานว่า “โรงแรมกลายเป็นทะเลไฟผืนหนึ่งแล้ว ทุกที่อุณหภูมิสูงหมดจนรบกวนภาพของเครื่องตรวจจับความร้อนแล้วครับ”
“ปูพรมค้นหา ถ้าข้อมูลของจิงถูกต้อง ราชาหลงควรอยู่ที่นี่ ถึงแม้ขุดดินไปสามฟุต ก็ต้องหาเขาให้จนเจอ!” หัวหน้าผู้อาวุโสท่านนั้นเอ่ยปากชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ไม่มีลังเลสักนิด
และหลังจากที่โรงแรมพังถล่มลง ทั้งเยี่ยนจิงก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ กระทบไปถึงตระกูลที่ตั้งตระหง่านนับไม่ถ้วนของเยี่ยนจิง
บ้านตระกูลหลี
ช่วงค่ำคืนที่แต่ไหนแต่ไรเงียบสงบ แต่ทว่าคืนนี้กลับไม่สงบอีกต่อไป
ในห้องลับแห่งหนึ่งของบ้านตระกูลหลี ลูกน้องชุดดำคนหนึ่งเฝ้าที่ข้างโทรศัพท์เครื่องหนึ่งไม่ขยับไม่ไหนราวกับรูปปั้น
ทันใดนั้น โทรศัพท์ที่อยู่ด้านข้างของลูกน้องชุดดำดังขึ้นกะทันหัน เสียงกริ่งโทรศัพท์ที่เร่งรีบดังก้องอยู่ภายในห้องลับ
เสียงกริ่งโทรศัพท์ที่เร่งรีบสายนี้ ทำให้ลูกน้องชุดดำที่ยืนนิ่งไม่ขยับมาหลายชั่วโมงคนนั้นหันหน้าฉับพลัน มองทางโทรศัพท์ตั้งโต๊ะเครื่องนั้น บนหน้ามีความตกตะลึงที่ยากจะเชื่อแวบผ่าน
โทรศัพท์ตั้งโต๊ะเครื่องนี้ไม่เคยดังขึ้นมาหลายปีแล้ว ทุกครั้งที่มันดังขึ้น นั่นหมายความว่าเยี่ยนจิงมีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้น
ครั้งที่แล้วที่มันดังขึ้น ทำให้ทั้งรูปแบบของเยี่ยนจิงเกือบจะโดนทำลายลง
ครั้งนี้ สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเยี่ยนจิง ถึงทำให้โทรศัพท์ตั้งโต๊ะเครื่องนี้ดังขึ้น?
…….
ผ่านไปไม่นาน ลูกน้องคนหนึ่งรีบร้อนพุ่งเข้าไปในห้องแห่งหนึ่ง เคาะประตูห้องดังก๊อกๆ “คุณชายหลีครับ รีบตื่นเถอะ ไม่ดีแล้ว โทรศัพท์ดังแล้วครับ!”
“แอ๊ด!”
ประตูห้องเปิดออก หลีเช่าเทียนสวมชุดนอนอยู่ ปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตู มองทางลูกน้องคนนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเรียบนิ่งอย่างยิ่ง พูดเสียงดุ “นายว่าอะไรนะ?”
“โทรศัพท์ในห้องลับ……ดังแล้วครับ!” ลูกน้องคนนั้นสีหน้าดูแย่ ท่าทางในใจมีความหวาดกลัว
“ทั้งบ้านตระกูลหลีเตรียมพร้อมแล้ว รีบไปเรียกเจ้านายไปที่ห้องลับ!” หลีเช่าเทียนเอ่ยปากเสียงดุ ดุจเผชิญกับศึกใหญ่
ในใจของหลีเช่าเทียนเต้นแรง ครั้งก่อนที่โทรศัพท์สีดำดังขึ้น เป็นหลีหงรับมือ ทว่าครั้งนี้กลับเป็นเขา ซึ่งเขาไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด