สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 492
บทที่492 คุกเข่าลง!
เวลานี้ ในโรงแรมอีกแห่งหนึ่งที่เยี่ยนจิง
หลีชิงเยียนนั่งอยู่บนเตียงโซฟาที่อ่อนนุ่ม ถึงแม้ว่าภายนอกเธอจะพยายามแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย แต่ภายในใจกลับว้าวุ่นอย่างมาก ยากที่จะสงบลงมาได้
ส่วนซูเหลยที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้องพักมาตลอด สีหน้าเคร่งขรึมระแวดระวัง ป้องกันสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นกะทันหันแบบเมื่อสักครู่อยู่ทุกเมื่อ
ในเวลานี้ กริ่งประตูห้องพักดังขึ้นฉับพลัน
ในใจซูเหลยสั่นเล็กน้อย แง้มประตูออกด้วยความระมัดระวัง มองเห็นภาพเงาคนที่คุ้นเคยยืนอยู่หน้าประตูถึงสบายใจลงมา แล้วเปิดประตูออก
“ประธานหลีคะ เขากลับมาแล้ว”
ซูเหลยประหลาดใจจนตะโกนไปยังด้านในทีหนึ่ง
เฉินเป่ยกลับมาแล้ว
เฉินเป่ยเดินเข้าในห้องพัก พึ่งเดินเข้าไป ยิ่งรู้สึกถึงลมหอมโชยมาเตะจมูก พอเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นใบหน้าที่สวยเพริศพริ้งใบหนึ่งสะท้อนเข้าม่านตา
หลีชิงเยียนวิ่งเหยาะๆ เดินออกมา หลังมองเห็นเฉินเป่ย ชั่วขณะนั้นตะลึงค้างแล้ว
เฉินเป่ยในเวลานี้กระเซอะกระเซิงสุดจะทน ทั่วตัวเปื้อนเลือด บนตัวยังมีบาดแผลหลายจุด
หลีชิงเยียนมองเห็นลักษณะแบบนี้ของเฉินเป่ย ดวงตาเบิกโต หน้าตายากจะเชื่อ
“มีอะไรเหรอ ชิงเยียน?” เฉินเป่ยมองทางหลีชิงเยียน มุมปากวาดรอยยิ้มขึ้นมา
“นาย เกิดเรื่องอะไรขึ้น? บนตัวมีแต่เลือดไปหมด?” หลีชิงเยียนพุ่งเข้าไป มีกลิ่นที่หอมเย็นๆ แทรกเข้าในจมูกของเฉินเป่ยแล้ว
หลีชิงเยียนกอดเฉินเป่ยไว้แนบแน่น กลิ่นเลือดที่เข้มข้นบนตัวเฉินเป่ยผสมปนเปกับกลิ่นบุหรี่จางๆ ทำให้หัวใจดวงนั้นของหลีชิงเยียนถือว่าผ่อนคลายลงมาแล้ว
“ระหว่างทางเจอนักฆ่าไล่ตามฆ่ามา โดนไปสองสามแผล โชคดีที่หนีออกมาได้” หลีชิงเยียนโอบเฉินเป่ยไว้แน่น เฉินเป่ยภายใต้สภาพที่เลี่ยงไม่ได้ ได้แต่แตะที่หลังของหลีชิงเยียนเบาๆ พูดอธิบายเสียงเบา
“งั้นนายรู้ได้ยังไงว่าพวกฉันอยู่ที่นี่กัน?” ดวงตาของท่านประธานเทพธิดาแดงก่ำทันที ในเสียงเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่มีความสั่นเครือ
ถึงแม้ปากและภายนอกของเธอจะมีท่าทางอยากจะพูดแต่ทำเมินเฉยต่อเฉินเป่ย ทว่าตอนที่เฉินเป่ยขาดการติดต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลีชิงเยียนยังปิดซ่อนความกังวลของตนเองไม่มิด
“ง่ายมาก ตามรถของพวกคุณมาไง” เฉินเป่ยยิ้มอธิบายไปนิ่งๆ
ซูเหลยมองทางเฉินเป่ย ตอนที่หล่อนได้ยินคำอธิบายนี้ของเฉินเป่ย มุมปากหดอย่างแรง นี่แม่งช่างถูไถเสียจริงๆ เลย
แต่หลีชิงเยียนที่สติปัญญาหลักแหลมมาแต่ไหนแต่ไรไม่ได้ไปสืบสาวราวเรื่องอีกนั้น ช่างเห็นได้น้อยมาก แต่กลับยอมรับวิธีการอธิบายแบบนี้ของเฉินเป่ยไปโดยปริยาย
“สรุปเกิดอะไรขึ้นกัน?” หลังหลีชิงเยียนสูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง ถามขึ้น
“นักฆ่าพวกนั้นอยากฆ่าผม จากนั้นผมก็ต่อยพวกมันสลบล้มกันไปทั้งหมด ผลสุดท้ายใครจะรู้ว่าจะมาอีกกลุ่มใหญ่ ผมเลยพลัดหลงกับพวกคุณแล้ว” เฉินเป่ยโอ้อวดแบบหน้าบานเป็นจานเชิง ทำให้หลีชิงเยียนยิ่งหมดคำจะพูด
“งั้นพวกเรารีบกลับไปที่หู้ไห่เถอะ ที่นี่อันตรายเกินไป” หลีชิงเยียนหันหน้า มองทางซูเหลยพลางพูดบอก
“ไม่ คุณลืมคำเชื้อเชิญของหลีเช่าเทียนแล้วเหรอ?” เฉินเป่ยดื่มชาไปอึกหนึ่ง พูดจาเรียบนิ่ง
“หลีเช่าเทียน? นั่นคืองานเลี้ยงสังหาร ไม่ไปแล้ว” หลีชิงเยียนเอ่ยปากลังเล
“ทำไมไม่ไป นี่คือโอกาสดีที่สุดไม่ใช่เหรอ?” เฉินเป่ยตะลึง มุมปากฉีกรอยยิ้มขึ้น “ชิงเยียน นี่คือโอกาสดีที่สุดของคุณและพ่อพวกเรา โดยเฉพาะยังเป็นหลีเช่าเทียนส่งมาให้ถึงที่เอง จะสละสิทธิ์ไม่ได้”
“โอกาสดีที่สุด?” หลีชิงเยียนขมวดคิ้วขึ้น “นายคิดว่าหลีเช่าเทียนโง่นักรึไง?”
“ถ้าไปงานเลี้ยงสังหารนั้นแล้ว หลีเช่าเทียนต้องวางแผนการไว้แน่ ขอเพียงพูดผิดสักประโยคเดียว มีความเป็นไปได้จะจมสู่สภาพที่ไม่อาจฟื้นคืนได้ตลอดไป!” หลีชิงเยียนขมวดคิ้วพูดขึ้น
“นั่นเป็นคนอื่น มีผมอยู่ คุณกลัวอะไร” เฉินเป่ยยิ้มอ่อน
“นายเนี่ยนะ?” หลีชิงเยียนกวาดตามองแวบหนึ่ง ในดวงตางดงามมีความสงสัยอันเข้มข้น
“วางใจเถอะ มีผมอยู่ ผมจะไม่ให้คนตระกูลหลีสักคนเดียวมารังแกคุณได้อีก” สายตาของเฉินเป่ยล้ำลึกเคร่งขรึม พูดจาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะหมุนตัวช้าๆ เดินไปทางด้านนอกห้องพัก
ก่อนออกไป เฉินเป่ยยังทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งเอาไว้ “ต่อให้เป็นหลีเช่าเทียนก็ไม่ได้…ตอนนี้ดึกแล้ว รีบพักผ่อนเถอะ”
………
สี่วันต่อมา บ้านตระกูลหลี
หลีเช่าเทียนนั่งอยู่ในสนามด้านหน้าของบ้านตระกูลหลี ดูปลาที่อยู่ในสระน้ำ สายตาลุ่มลึกดุจดาวบนฟ้า
ในเวลานี้ ทันใดนั้นลูกน้องคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา ลูกน้องคนนั้นเดินมาที่ด้านหลังของหลีเช่าเทียน เอ่ยปากพูดโดยตรง “คุณชายครับ ทุกอย่างจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วครับ พรุ่งนี้เจ้านายถึงกลับมาได้ จะรีบมาให้ทันงานเลี้ยงส่วนตัวในคืนพรุ่งนี้ครับ”
หลีเช่าเทียนพยักหน้าแล้ว “บัตรเชิญส่งไปถึงรึยัง?”
“ส่งถึงแล้วครับ”
“รู้แล้ว ออกไปเถอะ” หลีเช่าเทียนโบกมือ รอลูกน้องคนนั้นถอยออกไป หลีเช่าเทียนจ้องมองฝูงปลาในสระน้ำ มุมปากวาดเส้นรัศมีวงกลมที่ล้ำลึกขึ้นทันใด
“หลีชิงเยียน ครั้งนี้ฉันจะตัดความสัมพันธ์เธอกับตระกูลหลีให้ถึงที่สุด!”
“ทุกอย่างของตระกูลหลีเป็นของฉันทั้งหมด” หลีเช่าเทียนใช้เพียงเสียงที่มีเพียงตนเองถึงสามารถได้ยิน เอ่ยปากพูดกับตนเอง
……
สาขาย่อยของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป ในห้องทำงานท่านประธาน หลีชิงเยียนอยู่ในห้องทำงาน งานยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้
ทันใดนั้นประตูห้องทำงานโดนผลักออก ภาพคนที่คุ้นเคยและอันธพาลอย่างมากเดินเข้ามาในห้องทำงานท่านประธานแล้ว
หลีชิงเยียนเงยหน้า ชำเลืองมองเฉินเป่ยแวบหนึ่ง ต่อว่าแบบเย็นชา “ใครสอนให้นายไม่เคาะประตูก่อนเข้ามา? ออกไป!”
“ประธานหลี นี่ผมกำลังปกป้องคุณอยู่นะ คุณไล่ผมไปได้ยังไงกัน” เฉินเป่ยพูดอยู่ หย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาที่อ่อนนุ่ม ที่โต๊ะกาแฟวางผลไม้ที่สดใหม่ไว้จานหนึ่ง เฉินเป่ยไม่ได้เกรงใจ หยิบจานผลไม้ตรงหน้ามา หยิบกล้วยหอมลูกหนึ่งกินไปอย่างกำเริบเสิบสาน
“ฉันไม่ต้องการให้นายมาปกป้อง มีซูเหลยอยู่ นายออกไปเลย เดี๋ยวนี้!” หลีชิงเยียนกอดหน้าอกไว้ ใบหน้างดงามหนาวเย็น
ส่วนเฉินเป่ยเหมือนไม่ได้ยินที่หลีชิงเยียนพูด ทำหน้าตาสบายใจนั่งอยู่บนโซฟา แทะแอปเปิลลูกหนึ่งหมด จากนั้นกินกล้วยหอม ลูกแพร์ ไม่นานนักผลไม้ครึ่งจานใหญ่ก็ถูกเฉินเป่ยจัดการไปหมด……เปลือกผลไม้ตกอยู่บนโต๊ะตรงโซฟาเกลื่อนกลาด นี่คือลักษณะของคนเสเพลเสียจริงเลย
หลีชิงเยียนมองเห็นบนโต๊ะที่รกรุงรังนั้น เกือบจะเสียสติแล้ว
“คนเลว ไสหัวออกไปให้ฉันเลยนะ!” ท่านประธานเทพธิดายากจะโกรธเคืองมาก พูดต่อว่า
“ชิงเยียน ผมยังบาดเจ็บอยู่นะ คุณทำแบบนี้กับผมไม่ได้มั้ง?” เฉินเป่ยรีบเปลี่ยนหน้าทันที เริ่มบอกความทุกข์ทรมานของตนเองกับผู้อื่น
ใบหน้าหลีชิงเยียนแข็งทื่อ เจ้าสารเลวคนนี้ช่างหน้าไม่อายเสียเหลือเกิน ตอนกลางคืนก่อนหน้านี้ไม่กี่วันที่กลับมาพร้อมเลือดสดเปื้อนเต็มตัว ยังมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม ตอนนี้กลับบอกตนเองว่าเป็นคนเจ็บ เขาไม่มีความละอายใดๆ แม้แต่น้อย
“ไร้ยางอาย ร้ายกาจ!” หลีชิงเยียนไม่มีทางทำอะไรเฉินเป่ยได้สักนิด ตอนอยู่ที่หู้ไห่เขายังซื่อสัตย์อยู่บ้าง มาถึงเยี่ยนจิงแล้วเฉินเป่ยก็เริ่มทำตามอำเภอใจ
หลีชิงเยียนมองค้อนเฉินเป่ยอย่างแรงไปทีหนึ่ง ขี้เกียจสนใจเขาอีก เพิกเฉยเขาไปโดยตรง
เฉินเป่ยนั่งอยู่บนโซฟา ถือโอกาสหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน ทันใดนั้นเขาพูดว่า “ตอนนี้สถานการณ์ของเยี่ยนจิงวุ่นวายมากเลย”
เฉินเป่ยกล่าวประโยคหนึ่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้หลีชิงเยียนสงสัยมาก แต่ยังตอบกลับไปแบบเมินเฉย “เกี่ยวอะไรกับนายด้วย?”
“ตอนที่ผมเข้ามามองเห็นที่หน้าประตูมียามสองคนได้รับบาดเจ็บแล้ว” เฉินเป่ยบอกไป
หลีชิงเยียนพยักหน้า “ช่วงนี้ที่เยี่ยนจิงเกิดเรื่องใหญ่ ความสงบเรียบร้อยเปลี่ยนไปโกลาหลที่สุด มีพวกนอกกฎหมายหลายคนเริ่มก่อความวุ่นวายที่หน้าประตูบริษัทแล้ว”
ตอนที่หลีชิงเยียนกับเฉินเป่ยพูดคุยกัน ทันใดนั้นโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของหลีชิงเยียนก็ดังขึ้นเร่งด่วน
บนใบหน้าที่งดงามของหลีชิงเยียนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ขึ้น ก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของพนักงานรักษาความปลอดภัยในสายนั้นลอยมา
หลีชิงเยียนวางสายโทรศัพท์ลง สีหน้าดูแย่อยู่บ้าง พูดตอบกลับ “มีคนมาก่อเรื่องแล้ว”
“ผมจะไปดูหน่อย” เฉินเป่ยลุกขึ้น เดินออกจากห้องทำงาน
……
เวลานี้ หน้าประตูบริษัท รถมอเตอร์ไซค์สีดำแต่ละคันอยู่หน้าประตู อันธพาลแต่ละคนนั้น ในมือมีมีดยาวท่อนเหล็ก ยืนอยู่หน้าประตูบริษัทด้วยลักษณะท่าทางดุดัน ท่าทางของวิญญาณชั่วร้าย
ส่วนหน้าประตูบริษัท พนักงานรักษาความปลอดภัยห้าหกคน ในมือถือกระบองไว้ ดักที่หน้าประตูบริษัท จมสู่สถานะประจันหน้ากันกับอันธพาลเหล่านั้น
“แม่งเอ๊ย ไสหัวออกไปให้ฉันเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นพวกนายได้เจ็บตัวแน่!” อันธพาลหนึ่งในนั้นเอ่ยปากบอกอย่างก้าวร้าวรุนแรง
พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ถือกระบองไว้ในมือเหล่านั้นซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับอันธพาลพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าในด้านท่วงท่ายังอ่อนกว่าขั้นหนึ่ง แม้กระทั่งร่างกายของพวกเขากำลังสั่นเทานิดหน่อย
“หลบไปให้หมด” ในเวลานี้เอง เสียงหนึ่งค่อยๆ ลอยออกมาจากด้านในบริษัท
ชั่วขณะนั้น สายตาแต่ละคู่ภายในโถงใหญ่ต่างตกบนตัวของเฉินเป่ย และแวบเดียวพนักงานงานรักษาความปลอดภัยเหล่านั้นก็จำเฉินเป่ยได้ ผู้ชายคนนี้เมื่อสองสามวันมานี้เข้างานเลิกงานพร้อมกันกับหลีชิงเยียน
“ประธานหลีบอกแล้วว่าให้พวกนายหลบไป ฉันจะมาเจรจากับคนพวกนี้เอง” เฉินเป่ยพูดจาแบบเรียบนิ่ง
“แกเนี่ยนะ? เจรจากับพวกฉัน?” อันธพาลหนึ่งในนั้นสังเกตเฉินเป่ยแวบหนึ่ง จากนั้นอันธพาลหลายคนนี้ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา เสียงหัวเราะเยาะเย้ยอย่างยิ่ง
ส่วนเฉินเป่ยเหมือนเพิกเฉยต่อเสียงหัวเราะของอันธพาลพวกนี้ไป เอามือทั้งคู่ล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ มองพวกอันธพาลกลุ่มนี้แบบมีเลศนัย “ให้โอกาสพวกนายได้เลือก คนที่รู้จักเอาตัวรอดก็ถอยไปดีๆ คนที่ไม่รู้จักเอาตัวรอด……อย่าโทษฉันไม่เกรงใจแล้วกัน”
พวกอันธพาลกลุ่มนั้นหัวเราะแบบเยาะเย้ยอัปลักษณ์ พวกเขาจ้องเฉินเป่ยด้วยความดูถูก เหมือนมองคนที่กำลังจะตายอย่างนั้นเลย “ไอ้หนุ่ม ความตายมาเยือนถึงที่ยังทำปากดี?”
“แบบแกคนเดียว? ยังคิดไม่เกรงใจ? ฉันก็อยากจะดูวิธีไม่เกรงใจของแกสักหน่อย!” พวกอันธพาลหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน บนหน้าดุร้ายชัดแจ้ง
เฉินเป่ยส่ายหน้า เขาล้วงกล่องบุหรี่ออก จุดไฟบุหรี่มวนหนึ่ง
“มีบางครั้ง คนมากก็ไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์” เฉินเป่ยพ่นควันบุหรี่ออกมา ค่อยๆ พูดขึ้น
“ใช่เหรอ? มีประโยชน์หรือไม่ งั้นต้องถามมีดในมือของพวกฉันดูหน่อย!” พวกอันธพาลกลุ่มนั้นตบท่อนเหล็กและมีดยาวในมือ ตะโกนเสียงดุ
“มีบางครั้ง ใช้อาวุธก็ไม่แน่ว่าจะได้ผล” เฉินเป่ยเอ่ยปากบอกนิ่งเฉยอีกครั้ง
“เชี้ย! ให้แกบ้าไปก่อน!” ทันใดนั้นท่อนเหล็กที่เย็นเยียบท่อนหนึ่งฟาดมาอย่างแรง โจมตีไปยังศีรษะของเฉินเป่ยไปกะทันหัน