สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 495
บทที่495 งานเลี้ยงส่วนตัวที่บ้านตระกูลหลี!
ตอนที่มือทั้งสองของเฉินเป่ยที่ไม่ซื่อสัตย์นั้นพึ่งวางบนเอวเรียวของหลีชิงเยียน ท่านประธานเทพธิดาก็ร่างกายสั่น ตามมาด้วยใบหน้าแข็งทื่อ ขมวดคิ้วขึ้น ถลึงตาใส่เฉินเป่ยอย่างแรงแวบหนึ่ง จากนั้นต่อว่าอย่างเย็นชา “พวกกุ๊ย ไปให้พ้น!”
แวบเดียว หลีชิงเยียนก็ใช้แรงผลักเฉินเป่ยออกอย่างโหด หมุนตัวเดินใส่รองเท้าส้นสูงกลับไปทางลิฟต์
เฉินเป่ยมองร่างกายที่อ่อนช้อยของหลีชิงเยียน ค่อยๆ หรี่ตาขึ้น สังเกตรูปร่างที่ทรงเสน่ห์และสมบูรณ์แบบของหลีชิงเยียน เกือบจะหาตำหนิสักนิดออกมาไม่ได้ เรียกได้ว่าสวยเพริศพริ้งที่สุด
เฉินเป่ยคาบบุหรี่ไว้ หันหน้ามองที่หน้าประตูบริษัท พนักงานรักษาความปลอดภัยพวกนั้นที่หวาดกลัวในใจ และขาทั้งคู่ยังสั่นเทาไม่หยุด จึงหัวเราะแบบนักเลง แล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ตามหลีชิงเยียนไป
ส่วนเวลานี้ อันธพาลนับไม่ถ้วนประคองหัวหน้าอันธพาลคนนั้นไว้ วิ่งหนีไปยังระยะไกลด้วยความตื่นตกใจ ทันใดนั้นหัวหน้าอันธพาลคนนั้นตะโกนบอก “รีบหยุดลงก่อน”
อันธพาลหลายคนหยุดฝีเท้าลงแล้ว ค่อยๆ มองทางหัวหน้าคนนั้น หัวหน้าคนนั้นก้มหน้า ดึงขากางเกงของตนเองออก มองรอยแผลที่สยดสยองบนขานั้นด้วยสีหน้าเย็นยะเยือกอึมครึม
“นี่มันกล้าหยามฉันถึงขนาดนี้!” หัวหน้าอันธพาลคนนั้นเอ่ยปากชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าดูไม่ดีอย่างยิ่ง สำหรับเขาแล้ว นี่คือความอัปยศอดสูที่ใหญ่หลวง
“ฉันจะต้องฆ่ามันให้ได้! มันจำเป็นต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!” อันธพาลหนึ่งในนั้นพูดจาอย่างขุ่นเคืองไม่พอใจ น้ำเสียงที่สั่นเครือเต็มไปด้วยไฟโกรธที่ไร้ขอบเขต
“งั้นเมื่อกี้ทำไมนายไม่ฆ่ามันไป?” หัวหน้าของอันธพาลชายตามองอันธพาลคนนั้นแวบหนึ่ง ทำให้อันธพาลคนนั้นตะลึงค้าง ผ่านไปตั้งนานยังไม่ได้พูดสักประโยค
“แค่พวกที่ดีแต่ปาก ก็เป็นแค่สวะกลุ่มหนึ่ง!” หัวหน้าอันธพาลคนนั้นพูดจาหงุดหงิดอย่างดุร้าย
ลูกน้องหลายคนที่เหลือนั้นจมสู่ความเงียบ หัวหน้าอันธพาลคนนั้นก้มหน้ามองบาดแผลของตนเองที่เลือดชุ่มอัปลักษณ์ ก่อนจะค่อยๆ กำหมัดแน่น
“ไอ้สารเลวสมควรตาย ฉันจะต้องให้มันชดใช้ด้วยชีวิต! ฉันจะต้องทำให้มันเสียใจกับทุกอย่างที่มันทำไว้!” หัวหน้าอันธพาลกัดเอ่ยปากบอกด้วยความเคียดแค้น
“ลูกพี่ ความสามารถของเขาแกร่งเหลือเกิน พวกเราสู้ไม่ไหวหรอก” นักเลงคนหนึ่งพูดขึ้น
“งั้นก็เรียกคนมา” หัวหน้าอันธพาลคนนั้นกัดฟัน พูดเสียงเย็นเฉียบ “ฉันอยากให้เจี่ยงเวยลงมือ ฉันไม่เชื่อว่าเจ้าคนที่สมควรตายนั้นจะกล้ากำเริบเสิบสานขนาดนั้นต่อหน้าคุณเจี่ยง!”
“คุณเจี่ยง?” หัวหน้าอันธพาลคนนั้นพูดคำนี้ออกมา ชั่วขณะหนึ่งทำให้ในใจนักเลงทั้งหมดสั่นเทิ้มกัน
แวบหนึ่งสายตาอันธพาลมากมายเปลี่ยนไป คุณเจี่ยงชื่อเรียกนี้ พวกเขาย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงมานาน
แก๊งเสือของคุณเจี่ยงเกือบจะเป็นการมีตัวตนที่ทั้งเยี่ยนจิงไม่มีอิทธิพลฝ่ายไหนกล้าหาเรื่อง
แก๊งเสือมีอยู่ทั่วทุกที่ แม้แต่หน่วยงานมากมายของทางการก็ต้องให้เกียรติกับคุณเจี่ยงด้วยส่วนหนึ่ง
แต่ตอนนี้หัวหน้าอันธพาลคนนั้นบอกว่าอยากเชิญคุณเจี่ยงลงมือ นี่จะทำให้หลายคนที่อยู่ข้างกายเชื่อได้อย่างไรกัน
“ไป พวกเราไปแก๊งเสือ” หัวหน้าอันธพาลคนนั้นพูดขึ้น
“ลูกพี่ ได้ยินว่าคุณเจี่ยงใจอำมหิตโหดเหี้ยม ยังจะขูดรีดทารุณคนที่เขาไม่ถูกชะตาอีกด้วย…ถ้าไม่อย่างนั้นก็ช่างไปดีกว่า” นักเลงหนึ่งในนั้นสีหน้าซีดขาวตื่นตระหนก พูดด้วยความระมัดระวังหวาดกลัว
“ใครบอกกัน?” อันธพาลคนนั้นพึ่งพูดจบ สายตาของหัวหน้าอันธพาลกวาดสายตาเข้าไป สายตาที่หนาวเย็น ทำให้ร่างกายนักเลงคนนั้นสั่นรุนแรง
“ผมก็ได้ยินมาเหมือนกัน…” นักเลงคนนั้นรีบฝืนฉีกรอยยิ้มที่ดูแย่กว่าร้องไห้นิดหน่อยออกมา
“รู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงไปหาเขา?” หัวหน้าอันธพาลคนนั้นค่อยๆ เอ่ยปากถาม
คนโดยรอบต่างส่ายหน้า หัวหน้าอันธพาลเอ่ยปากตอบ “เพราะฉันชื่อเจี่ยงเจี้ยน”
หัวหน้าอันธพาลทิ้งประโยคหนึ่งไว้ จึงเดินขากะเผลกไปทางระยะไกล ทิ้งนักเลงนับไม่ถ้วนยืนอยู่ที่เดิมจมอยู่ในความตกใจงุนงง
……
ในบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปสาขาเยี่ยนจิง หลังเฉินเป่ยจัดการนักเลงกลุ่มนั้นเสร็จ สั่งพนักงานรักษาความปลอดภัยเหล่านั้นสองสามประโยค ให้พวกเขาจัดการรักษาความเป็นระเบียบที่เกิดเหตุวุ่นวายสักหน่อย จากนั้นล้วงมือที่กระเป๋ากางเกง ภายใต้สายตาที่ตื่นตระหนกของพนักงานบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปกลุ่มหนึ่ง ค่อยๆ เดินไปทางลิฟต์ จนไปถึงชั้นสูงสุดของบริษัท เดินมาที่หน้าประตูห้องทำงานท่านประธาน แล้วผลักประตูใหญ่ของห้องทำงานท่านประธานออก
เวลานี้หลีชิงเยียนนั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ กอดหน้าอก ดวงตาจ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ชิงเยียน ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว” เฉินเป่ยจงใจพูดจาแบบเรียบเฉย
หลีชิงเยียนเงยหน้า ชายตามองเฉินเป่ยแวบหนึ่ง ทำเสียงฮึดฮัด “ทะเลาะวิวาทกัน นี่เรียกว่าจัดการแล้ว?”
เฉินเป่ยตะลึงนิดหน่อย พูดว่า “คุณมองเห็นหมดแล้วเหรอ?”
“มองเห็นทั้งหมดเลย ต่อยนักเลงไม่กี่คนเจ๋งมากนักหรือไง?” ใบหน้าที่สวยหยาดเยิ้มสง่าของหลีชิงเยียนเผยสีหน้าที่เหยียดหยามออกมา
“นี่ผมไม่ได้เรียกว่าทะเลาะวิวาทกัน ผมเรียกว่าป้องกันตัวเอง” เฉินเป่ยพูดจาแบบจริงใจมาก ไม่มีหน้าแดงสักนิดและอับอายแต่อย่างใด
หลีชิงเยียนได้ยินคำพูดที่ไร้ยางอายหน้าด้านพวกนี้ของเฉินเป่ยก็ใกล้หมดคำจะพูด…นี่เรียกว่าป้องกันตัวเองเหรอ? นี่ชัดเจนว่าชกต่อยฝ่ายเดียวเข้าใจไหม?
“ดูอันนี้หน่อยเถอะ” ทันใดนั้นหลีชิงเยียนหยิบบัตรเชิญใบหนึ่งออกมา วางไว้บนโต๊ะทำงาน
เฉินเป่ยรับบัตรเชิญเข้ามา กวาดสายตามอง แววตาแข็งทื่อเล็กน้อย
บัตรเชิญสีขาวใบหนึ่ง ปกหน้าอักษรตัวใหญ่ที่เขียนว่า“หลี”เห็นได้ชัดว่ามีชีวิตชีวามีพลังมาก ยโสโอหังมาก คำว่าหลีเดินขอบทอง โดยรอบของบัตรเชิญใช้การเดินขอบทองรอบหนึ่งเหมือนกัน คำเรียกประโยคแรกในบัตรเชิญก็เห็นได้ชัดว่าดูสนิทสนมอย่างมาก
“ชิงเยียน คืนนี้ฉันจัดงานเลี้ยงต้อนรับที่บ้านตระกูลหลี ครั้งนี้ญาติสายตรงและสายที่แยกออกไปทั้งหมดของตระกูลหลีจะไม่พลาดกัน หลีหงปู่ของเธอก็จะมาในงาน ถ้าเธออยากแก้ไขชื่อเสียงให้เธอและพ่อของเธอ สามารถมาได้”
เฉินเป่ยกวาดตาแวบหนึ่ง หรี่ตาเล็กน้อย แววตามีแสงล้ำลึกแวบผ่านเร็วมาก แต่ไม่นานสีหน้าก็กลับคืนสู่ปกติ ยกมุมปากนิดหน่อย วาดรอยยิ้มอันธพาลขึ้น พลางพูดว่า “ตระกูลหลีมีเงินจริงๆ ที่ทำบัตรเชิญนี้…ยังเป็นเดินทอง”
“คืนนี้ จะไม่ไปแล้ว” หลีชิงเยียนหยิบบัตรเชิญขึ้น เธอบีบบัตรเชิญไว้คิดอยู่ตั้งนาน มองทางเฉินเป่ย ใบหน้าเผยความลังเลออกมา พูดขึ้นมากะทันหัน
“ทำไมไม่ไปล่ะ นี่คือเขาให้พวกเราไป อาหารฟรีมื้อใหญ่ไม่กินก็เสียดายของแย่” เฉินเป่ยเบ้ปากพูดอย่างเหยียดหยาม
“อาหารฟรีมื้อใหญ่?” หลีชิงเยียนใบหน้าแข็งทื่อ จากนั้นหัวเราะเยาะแล้วพูดขึ้น “นายคิดว่าอาหารฟรีมื้อใหญ่นี้จะได้กินง่ายดายขนาดนั้นเหรอ? ด้วยตำแหน่งของหลีเทียนที่อยู่ในตระกูลหลี นี่คืองานเลี้ยงสังหารงานหนึ่ง พอไม่ทันระวังตัว มีความเป็นไปได้มากว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ฟื้นอีกตลอดกาล!”
น้ำเสียงหลีชิงเยียนจริงจังเคร่งขรึม ไม่เหมือนท่าทางที่ล้อเล่นสักนิด
เฉินเป่ยจ้องหลีชิงเยียน หัวเราะเล็กน้อย พูดว่า “ชิงเยียน คุณเว่อร์เกินไปแล้ว หลีเช่าเทียนจะมีแผนการกับเรายังไง หลีหงก็อยู่ในงานด้วย เขาคงไม่ยอมมองดูคุณโดนหลีเช่าเทียนเหยียบย่ำให้อับอายไปต่อหน้าต่อตาหรอก จะว่าไป นี่คือโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่หลีเช่าเทียนเชื้อเชิญคุณด้วยตัวเอง เหมือนเป็นโอกาสครั้งหนึ่งให้คุณได้พิสูจน์ตัวเอง ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไป อาจจะเป็นคุณกับพ่อคุณที่ต้องโดนตระกูลหลีเหยียบไว้ใต้เท้าตลอดชีวิต”
เฉินเป่ยพูดมาไม่มาก ทำให้สีหน้าของหลีชิงเยียนเปลี่ยนไปในชั่วขณะนั้น ดวงตางดงามเปล่งประกายแสงโชติช่วงที่ไม่สงบ ผ่านไปครู่หนึ่ง หลีชิงเยียนถึงเงยหน้ามองทางเฉินเป่ย พูดว่า “ถ้ามีอันตรายทำยังไง?”
“อันตรายย่อมมีเป็นธรรมดา” เฉินเป่ยเอ่ยปากนิ่งๆ “เพียงแค่บ้านตระกูลหลีไม่ใช่จุดอันตรายอะไร ความอันตรายของบ้านตระกูลหลีไม่คุ้มค่าให้ใส่ใจ โดยเฉพาะมีผมอยู่ ชิงเยียน เดิมทีคุณไม่ต้องกลัว”
“ฉันมีซูเหลยก็พอแล้ว ไม่ต้องการพวกที่ไม่เป็นโล้เป็นพายแบบนี้อย่างนายหรอก” หลีชิงเยียนชายตามองเฉินเป่ยแวบหนึ่ง เอ่ยปากนิ่งๆ
เฉินเป่ยหัวเราะหึๆ ส่วนหลีชิงเยียนพูดว่า “วันนี้เลิกงานเร็วสักครึ่งชั่วโมง กลับไปเปลี่ยนชุดที่โรงแรม”
หลีชิงเยียนพูดคำนี้จบก็หยุดชะงักอีก สังเกตเฉินเป่ยแวบหนึ่ง ยื่นการ์ดธนาคารใบหนึ่งออกมาพร้อมพูดเสริมอีก “ไปซื้อสูทดีๆ หน่อยสักตัวที่ห้าง ก่อนไปบ้านตระกูลหลีแต่งตัวให้ดูดีหน่อย ถ้านายสภาพแบบนี้ ให้ตายยังไงฉันก็จะไม่ไปบ้านตระกูลหลี”
เฉินเป่ยตะลึงเล็กน้อย ก้มหน้ามองเสื้อเชิ้ตเสื้อกั๊กที่เปื่อยๆ ของตนเองแวบหนึ่ง รีบหัวเราะฮาๆ เสียงดังขึ้นมา รอยยิ้มประจบ รีบพยักหน้ารับพลางตอบว่า “ประธานหลี คุณวางใจได้ ผมไปเจอญาติภรรยา จะต้องไม่ให้คุณเสียหน้าแน่นอน!”
เฉินเป่ยพูดจบก็รับการ์ดธนาคารของหลีชิงเยียนในมือที่เรียวสวยงามนั้นมา หันหน้าพุ่งออกนอกห้องทำงานท่านประธานไป
หลีชิงเยียนมองภาพด้านหลังของเฉินเป่ย ถอนหายใจเบาๆ ส่ายหน้าด้วยความจำใจ เธอถือว่าได้ไล่เฉินเป่ยออกไปเสียที
เฉินเป่ยเดินออกจากบริษัทแล้ว นั่งเข้าในรถแท็กซี่คันหนึ่ง พูดว่า “ไปโรงแรม”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ซูเหลยเดินเข้ามาจากด้านนอกห้องทำงานท่านประธาน หลีชิงเยียนมองเห็นซูเหลยถามว่า “เฉินเป่ยล่ะ?”
ซูเหลยตะลึง ตอบกลับว่า “ไม่รู้ค่ะ เมื่อกี้เห็นเขาออกไปแล้ว”
“ออกไปแล้ว?” หลีชิงเยียนพยักหน้า คิดว่าเฉินเป่ยยังกระตือรือร้นมาก ไปซื้อเสื้อผ้าที่ห้างสรรพสินค้าว่องไวขนาดนี้
เธอย่อมไม่รู้ว่าหลังเฉินเป่ยกลับมาถึงที่โรงแรม เดินเข้าไปในห้องพักโดยตรง เปิดตู้เสื้อผ้าออก หยิบชุดสูทระดับสูงตัวหนึ่งออกจากด้านในอย่างเอาจริงเอาจัง
ถ้าเวลานี้ชิงเหนียนอยู่ที่นี่ แวบเดียวก็ต้องจำได้แน่ สูทสั่งตัดโดยเฉพาะตัวนี้ ตอนนั้นที่เฉินเป่ยอยู่ต่างประเทศเคยใส่ไม่กี่ครั้งจากทั้งหมด มีเพียงไม่กี่ครั้งนั้นจนสามารถใช้นิ้วนับครั้งได้เลย ทั้งยังเป็นงานเลี้ยงที่บุคคลไม่กี่ท่านที่เขาเคารพนับถือจัดขึ้น เขาถึงใส่ชุดสูทที่ให้นักออกแบบชั้นนำระดับโลกออกแบบตัวนี้
และตอนนี้คาดไม่ถึงเฉินเป่ยจะหยิบมันออกมาแล้ว
เฉินเป่ยนำมันวางไว้บนเตียงอย่างเบามือ จากนั้นเสื้อกั๊กที่ขาดเปื่อยซึ่งเต็มไปด้วยรูกระสุนนับไม่ถ้วน และซ่อมแซมมานับครั้งไม่ถ้วนตัวนั้นถูกถอดลงมา พับเรียบร้อยอย่างระมัดระวัง วางเก็บเข้าในตู้เสื้อผ้า
เสื้อกักตัวนี้เคียงคู่ผ่านการเดินทางนับไม่ถ้วนมากับเขา ราวกับเป็นเพื่อนสนิทที่ใกล้ชิดที่สุดของเขา
และตอนนี้เขาต้องใส่สูทตัวนั้น เฉินเป่ยในเวลานี้ ในใจตื่นเต้นไร้ที่เปรียบ เพราะนี่คือครั้งแรกที่เขาไปบ้านตระกูลหลี และเป็นครั้งหนึ่งที่ได้รับความรู้สึกดีที่สำคัญอย่างยิ่งของหลีชิงเยียน