สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 599
บทที่599 นายท่านใหญ่พิโรธ
ในขณะเดียวกันรถไมบัคสีดำคันหนึ่งกำลังขับบนถนนยามค่ำคืน…
เฉินเป่ยคาบบุหรี่ไว้ นั่งอยู่บนที่นั่งคนขับ ในมือเล่นไฟแช็กที่งดงามอันหนึ่งอยู่ สีหน้าสงบผิดปกติ สงบจนทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
เขาที่พึ่งรับสายโทรศัพท์ชิงเหนียนเสร็จ ในแววตามีจิตสังหารหนาวเหน็บที่ยังไม่เลือนหายไปหมดเปล่งประกายอยู่
การลอบสังหารในคืนนี้ เขายังตรึกตรองวนไปมาในสมองหลายร้อยรอบ มีเพียงคุณชายสองตระกูลหวางที่น่าสงสัยมากที่สุด หวางอู๋ตี๋ นึกไม่ถึงว่าเพื่อที่จะลอบสังหาร เขายอมโยกย้ายบุคคลที่สถานะเช่นนี้ออกมา ลงทุนไปมากมาย บุคคลพิเศษอย่างนี้ย่อมกระทบกว้างไกล…ส่วนตระกูลหวาง คาดไม่ถึงสามารถควบคุมการมีตัวตนของคนคนหนึ่งได้ขนาดนี้…นี่…ไม่แตกต่างอะไรกับการฝ่าฝืนข้อห้าม
เพียงแค่สถานะแบบนี้ของเล่ยิงในวันนี้ เฉินเป่ยพอจะทำให้ตระกูลหวางแห่งเยี่ยนจิงเสียหายอย่างหนักแล้ว แทงมีดเข้าในหัวใจของพวกเขาตระกูลหวางอย่างรุนแรง แต่เห็นได้ชัดว่าเฉินเป่ยจะไม่ทำแบบนี้…เล่ยิงเป็นทหารคนหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นปรปักษ์ ก็เป็นทหารของกองทหารลึกลับนั้นเช่นกัน เคยเป็นทหารจิตใจเด็ดเดี่ยวที่ปกป้องประเทศชาติ สำหรับทหารแบบนี้ เฉินเป่ยจะมอบเกียรติที่ยิ่งใหญ่ให้กับเขา ถึงแม้จะเป็นเพียงศพร่างหนึ่งก็ตาม
รถไมบัคแล่นฉิวตลอดทาง ขับมาถึงใต้ตึกโรงแรมแชงกรีลาแล้วทันที
เฉินเป่ยคาบบุหรี่ไว้ ค่อยๆ ก้าวออกจากประตูรถ เขาในเวลานี้ดูนิ่งสงบผิดปกติ สงบจนเย็นชา
เขาสูบบุหรี่ไปแบบนี้ เดินไปในโถงใหญ่โรงแรมโดยตรง
“หวางอู๋ตี๋อยู่ห้องไหน?” เฉินเป่ยมาถึงเคาน์เตอร์โรงแรม ถามขึ้นตามตรง
พนักงานประชาสัมพันธ์ของโรงแรมมองเขาอย่างดูถูกแวบหนึ่ง สำหรับผู้ชายที่ยุ่งเหยิงไปทั่วทั้งตัว แม้กระทั่งบนตัวยังมีฝุ่นติดอยู่กลับไม่ได้สนใจโดยสิ้นเชิง…คนแบบนี้พอดูแล้วไม่ใช่คนมีระดับอะไร…สาวประชาสัมพันธ์จึงนิ่งเฉยไม่อยากสนใจ
“หวางอู๋ตี๋อยู่ห้องไหน?” เฉินเป่ยสูบบุหรี่อยู่ ถามต่อไป
สาวประชาสัมพันธ์ชายตามองเขาอย่างเย็นชา พูดถากถาง “ขอโทษค่ะ พวกเราโรงแรมแชงกรีลาไม่รับคนที่ไม่มีตำแหน่งประจำ ถ้าคุณอยากเข้าพักเชิญลงทะเบียน ถ้าไม่พัก ก็ขอเชิญออกไปด้วยค่ะ!”
“ปึง——!” เฉินเป่ยตบลงบนเคาน์เตอร์หินอ่อนนั้นทันทีแล้ว
“แกร๊ก!” เสียงแตกดังขึ้น เคาน์เตอร์หินอ่อนที่แข็งแรงและหนาแตกเป็นเสี่ยงทันที
“ป้าบ!”
แบล็กการ์ดเดินขอบทองใบหนึ่งถูกโยนไปบนเคาน์เตอร์ นั่นคือการ์ดลูกค้าผู้มีเกียรติสูงศักดิ์ที่สุดใบหนึ่ง ในสมาชิกของทั้งโรงแรมแชงกรีลามีเพียงร้อยคนขึ้นถึงได้ครอบครอง ราคาล้วนน่าตกใจ
สาวประชาสัมพันธ์คนนั้นตกใจมึนงงเข้าให้แล้ว หล่อนย่อมนึกไม่ถึงว่าผู้ชายที่ใส่เสื้อผ้าเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมดคนหนึ่ง คาดไม่ถึงจะโยนการ์ดแขกสูงศักดิ์ที่สุดใบหนึ่งออกมาได้อย่างง่ายดาย ไม่เพียงแค่นี้ ผู้ชายคนนี้ยังเหมือนกับสัตว์ที่ดุร้าย ทำให้หล่อนตื่นตระหนก
สาวประชาสัมพันธ์ตกใจจนใบหน้าซีดเผือด ร่างกายกำลังสั่นเทาเบาๆ…
ทุกคนล้วนมองเขาด้วยความหวาดวิตกเต็มๆ…
“รอบสุดท้าย หวางอู๋ตี๋พักอยู่ห้องไหน?” เสียงของเฉินเป่ยสงบไร้ที่เปรียบ เขาในเวลานี้คล้ายดาบแหลมที่พึ่งชักออกจากฝัก เย็นยะเยือกน่าสะพรึงกลัว
สาวประชาสัมพันธ์ร่างกายสั่นเทิ้ม…ค้นหาหมายเลขห้องพักของหวางอู๋ตี๋ให้เขาอยู่…เฉินเป่ยในเวลานี้ช่างน่าสยองเหลือเกิน แรงอาฆาตพุ่งขึ้น…ทำเอาสาวพนักงานโรงแรมกลุ่มนี้ตกใจค้างแล้ว…
เฉินเป่ยไม่ได้เหลวไหล ถามเอาหมายเลขห้องของหวางอู๋ตี๋ได้แล้วก็คาบบุหรี่ทันที ขึ้นลิฟต์โรงแรมมาที่ชั้นห้องเพรสซิเด้นท์สวีทเลย
เขาค่อยๆ เดินมาหน้าประตูห้องของหวางอู๋ตี๋ แววตาสงบอย่างยิ่ง จากนั้นถีบไปฉับไว
“ตึง——!” ประตูของห้องเพรสซิเด้นท์สวีทถูกเขาถีบออกทีเดียว ประตูใหญ่หรูหราที่ใหญ่โตหนักอึ้งบานนั้นโดนถีบจนลอยในชั่วขณะหนึ่ง
เฉินเป่ยเดินทีละก้าว ค่อยๆ เหยียบเข้าในห้องพัก…
ในห้องพักไม่มีใครสักคน
หวางอู๋ตี๋หนีไปแล้ว หนีแบบไร้เงาและร่องรอย
เฉินเป่ยกวาดสายตานิ่งๆ มองผ่านห้องพัก มุมปากฉีกรอยยิ้มเย็นชาขึ้น
“หวางอู๋ตี๋…ถือว่าแกหนีได้เร็ว” เขาหยิบไฟแช็กขึ้น จุดไฟที่ผ้าคลุมเตียงและผ้าม่านในห้องพักไปโดยตรง…ไม่นานไฟโชติช่วงลุกไหม้ขึ้น ทั้งห้องเพรสซิเด้นท์สวีทโดนจุดไหม้ เปลวไฟพุ่งทะยาน
ในเปลวไฟมีภาพเงาคนคนหนึ่งค่อยๆ ก้าวเท้าออกไป…เฉินเป่ยคาบบุหรี่ไว้แบบนี้ ออกไปจากห้องพักที่ไฟลุกโชติช่วงนั้นอย่างนิ่งสงบไร้ที่เปรียบ
หลังจากขึ้นลิฟต์โรงแรมลงมาแล้วก็เดินออกมาที่โถงใหญ่ เฉินเป่ยมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์โดยตรง นำการ์ดแขกพิเศษสูงศักดิ์สุดใบนั้นทิ้งให้สาวประชาสัมพันธ์อีกครั้งหนึ่ง
“ด้านในมีเงินสิบล้าน รหัสอยู่บนตัวการ์ด” เฉินเป่ยพูดอย่างเรียบนิ่ง
สาวประชาสัมพันธ์หน้าตางงงวยไม่เข้าใจ “นี่คือ?” พวกหล่อนไม่มีปฏิกิริยาเข้ามาโดยสิ้นเชิง
“ฉันจุดไฟเผาห้องเพรสซิเด้นท์สวีท001แล้ว เงินก้อนนี้น่าจะพอชดเชยได้” พูดจบ เขาไม่หันหน้ากลับมา หมุนตัวออกไปอย่างนิ่งเฉย…
“ถ้ายังไม่พอ ให้เจ้านายของพวกเธอไปหาฉัน……”
จากนั้นทิ้งสาวประชาสัมพันธ์โรงแรมที่ตื่นตกใจมึนงงเอาไว้กลุ่มหนึ่ง…
….
กลางดึก เขารีบกลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลหลี เวลานี้ศพของเล่ยิงยังคงนอนอยู่ด้านนอกคฤหาสน์
ซูเหลยพิงอยู่ที่ขอบประตู ชี้ไปยังศพบนพื้น ถามว่า “เจ้าหมอนี่จะจัดการยังไง?”
เฉินเป่ยมองศพแวบหนึ่ง ค่อยๆ พูดว่า “ฝั่งดินแล้วกัน”
ซูเหลยตะลึงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก…นี่คือความรู้สึกระหว่างพวกเขาเหล่าทหาร หล่อนย่อมรู้และเข้าใจเป็นธรรมดา
เฉินเป่ยเอารถบีเอ็มดับเบิลยูคันหนึ่งจากในโรงรถตระกูลออกมา ขนศพของเล่ยิงเข้าในรถบีเอ็มดับเบิลยู จากนั้นบรรทุกศพของเล่ยิงขับรถมาที่ป่าแห่งหนึ่งที่รกร้างของเมืองหู้ไห่
เขาแบกศพของเล่ยิงมาถึงส่วนยอดของภูเขาป่า จากนั้นขุดหลุมใหญ่หลุมหนึ่งด้วยตนเอง นำศพของเล่ยิงฝังเข้าในหลุมแล้ว
เฉินเป่ยนำกริชที่หักเล่มนั้นและปืนของเล่ยิงวางไว้บนศพของเขาด้วยเช่นกัน จากนั้นทิ้งบุหรี่สองสามมวนเข้าไปอีก
“ในเมื่อเคยเสียเลือดเนื้อเพื่อหัวเซี่ยมา บุหรี่สองสามมวนนี้ ถือว่าเป็นของฝังไปด้วยกันกับนายแล้วกัน” เฉินเป่ยมองศพของเล่ยิงด้วยแววตานิ่งเฉยแวบหนึ่ง จากนั้นนำดินฝังกลบปิด ทำป้ายสุสานเรียบง่ายสักอัน
ไม่ว่าเขากับเล่ยิงจะมีการต่อสู้เป็นตายอย่างไร ต่อให้เป็นเขาที่ฆ่าฝ่ายตรงข้ามตายด้วยตนเอง…แต่เฉินเป่ยยังให้เกียรติแก่ฝ่ายตรงข้ามมากพอ เพราะเขามีชื่อลับ เพราะเขามาจากเป่ยเฟิงที่นั่น…ทหารที่อดีตเคยสละเลือดเนื้อเพื่อประเทศชาติคนนั้น ไม่ว่าปัจจุบันนี้เขาจะทำผิดอะไรแล้ว เขายังควรมีสิทธิ์ได้ไปสบาย
ขณะมองหลุมศพของเล่ยิงอยู่ สายตาเฉินเป่ยสงบเป็นพิเศษ…ในอดีตไม่รู้ว่าเขาเคยฝังศพเพื่อนร่วมรบของตนเองมามากเท่าไร…สถานการณ์แบบนี้แวบผ่านในสมองเขาทีละอัน…เคยผ่านความขัดแย้งนองเลือดนับไม่ถ้วน เขาในเวลานี้ดูนิ่งสงบผิดปกติ
“หลับให้สบายเถอะ เล่ยิง” เฉินเป่ยนำขี้บุหรี่โยนลงที่พื้น จากนั้นค่อยๆ หมุนตัวออกไป…
…
ท้องฟ้ายามค่ำที่ไร้รอบเขตหายไป เช้าตรู่ แสงแดดค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้าทิศตะวันออก
เมืองหลวงเยี่ยนจิง คฤหาสน์ตระกูลหวาง
การตกแต่งแบบโบราณแกะสลักวาดมังกรและหงส์อย่างหรูหรา ทั้งคฤหาสน์ขับความรู้สึกสูงส่งที่สุดออกมา แต่ตระกูลหวางในขณะนี้กลับตื่นตกใจทั้งตระกูล
เล่ยิง—เสียชีวิตแล้ว ข่าวที่ยิ่งใหญ่อันนี้…ชั่วพริบตาเดียวแพร่ออกไปทั่วตระกูลหวางที่ใหญ่โต สำหรับตระกูลหวางนั้น ไม่ต่างอะไรกับระเบิดลูกหนึ่งซึ่งระเบิดแตก ข่าวที่ตื่นตกใจใหญ่หลวงเช่นนี้ ทำเอาทั้งตระกูลหวางตื่นตระหนกจนยากจะตอบสนอง
ในโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่หรูหราแบบโบราณ ตอนที่นายท่านใหญ่หวางซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีโบราณได้รู้ข่าว…ร่างกายที่แก่หง่อมสั่นขึ้นก่อน…จากนั้นตบลงบนโต๊ะกาแฟไม้มะฮอกกานีทีหนึ่งโดยฉับพลัน บนโต๊ะไม้มะฮอกกานีที่แสนแพงตัวนั้นแตกร้าวในชั่วขณะนั้น แตกละเอียดไปแล้ว
“บัดซบ——!” นายท่านใหญ่หวางโกรธจนสั่นไปทั้งตัว โกรธจัดจนต้องพูดสองคำนี้ออกมา
นายท่านใหญ่หวางอายุเกินกว่าหกสิบปีแล้ว ปัจจุบันนี้ดื่มด่ำกับช่วงอายุบั้นปลาย มองการโต้แย้งบนโลกทุกอย่างออกหมด นิสัยเรียบเฉยดุจน้ำ แต่ว่าวันนี้…นายท่านใหญ่หวางที่นิสัยนิ่งดุจน้ำท่านนี้กลับระเบิดความโกรธเดือดดาลออกมา นี่คือเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบสิบปี
“นายท่านใหญ่คะ ท่านใจเย็นลงก่อนค่ะ…สุขภาพเขาท่านเป็นเรื่องสำคัญนะคะ!” สาวใช้พูดด้วยความระมัดระวัง
ร่างกายที่แก่หง่อมของหวางเจิ้งม่าวนายท่านใหญ่หวางค่อยๆ ลุกขึ้นมา ก้าวฝีเท้าที่หนักหน่วงค่อยๆ เดินออกจากในห้องโถง
ด้านนอกลานบ้าน แสงแดดจ้าตา ส่องผมหงอกที่ขาวโพลนของหวางเจิ้งม่าวนั้นให้ยิ่งเพิ่มความแก่และดูมีอายุมากขึ้น นายท่านใหญ่หวางท่านนี้ หลายสิบปีมานี้แต่ไหนแต่ไรไม่เคยโกรธเคือง แต่เขาในวันนี้กลับสีหน้าสงบหนาวเหน็บผิดปกติ
หวางเจิ้งม่าวเอามือทั้งสองไพล่หลัง ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แหงนมองแสงแดดที่เจิดจ้าบนศีรษะ…
หลังจากนั้นตั้งนาน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเรื่องหนึ่งแล้ว
“เอาปืนของฉันออกมา” เสียงหวางเจิ้งม่าวแก่หง่อมทอดยาว ค่อยๆ พูดขึ้น
สาวใช้สองสามคนที่ตามติดข้างกายสีหน้าเปลี่ยน นายท่านใหญ่…คาดไม่ถึงจะใช้ปืน? ปืนกระบอกนั้นของนายท่านใหญ่ฝุ่นเกาะหลายปีไม่เคยแตะต้อง แต่วันนี้…นายท่านใหญ่อยากใช้ปืน
เมืองจิง
เขตสำนักงานอาคารสามชั้นแห่งหนึ่ง เขตสำนักงานที่ดูธรรมดามาก ไม่มีร่องรอยการตกแต่งใดๆ ธรรมดาจนเหมือนบ้านประชาชนทั่วๆ ไปหลังหนึ่ง…หน้าประตูของอาคารสำนักงานแขวนป้ายที่ธรรมดาไว้แผ่นหนึ่ง และใครๆ คงนึกไม่ถึงว่าในอาคารสำนักงานหลังนี้ ด้านในจะมีบุคคลหลายท่านที่สามารถพอจะทำให้เมืองจิงสั่นสะเทือนได้
หวางหมิงเฉิงเจ้าบ้านคนปัจจุบันของตระกูลหวางกำลังจัดการเอกสารอยู่ในห้องทำงาน มือถือส่วนตัวของเขากลับดังขึ้นกะทันหัน
หวางหมิงเฉิงรับโทรศัพท์ด้วยความสงสัย…
“อะไรนะ?” เมื่อได้ยินเนื้อหาในสายโทรศัพท์ หวางหมิงเฉิงตื่นตกใจไปทั้งตัวแล้ว
“ช่วยฉันห้ามคุณพ่อไว้ก่อน ฉันจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้!” เสียงของหวางหมิงเฉิงเคร่งเครียดไร้ที่เปรียบ ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ทันใด
เขาก้าวเท้ารีบร้อนพุ่งออกไปจากอาคารสำนักงานโดยตรง…
หน้าประตูตึกสำนักงาน รถอาวดี้A8สีดำคันหนึ่งเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่แรก บนรถติดป้ายทะเบียนพิเศษของหน่วยงานแผ่นหนึ่ง แสดงถึงเบื้องหลังสถานะที่พิเศษออกมา
คนขับรถดึงเปิดประตูด้วยความเคารพ หวางหมิงเฉิงมุดเข้าไปในรถยนต์ทันที สั่งคนขับรถให้รีบกลับไปที่บ้านหวางโดยเร็ว
รถอาวดี้A8แล่นฉิวตลอดทาง ผ่าทุกเขตไฟแดงทั้งหมดของถนนไปโดยตรง แม้แต่ความเร็วของรถยังเกินกว่ากำหนด แต่ตำรวจจราจรของถนนเมืองหลวงกลับไม่ได้ขัดขวางใดๆ เพราะรถอาวดี้A8แขวนป้ายทะเบียนพิเศษแผ่นนั้นไว้
หวางหมิงเฉิงนั่งอยู่ในรถ สีหน้าเคร่งขรึมร้อนรน เขารีบร้อนโทรศัพท์สายหนึ่งเข้าไปหาลูกชาย…
เมืองจิง ถนนชิลี่
ที่นี่คือย่านธุรกิจที่สำคัญที่สุดของเมืองจิง
สิ่งปลูกสร้างสำนักงานรูปแบบอาคารทำแนวโบราณแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของถนนใหญ่ ประตูใหญ่อาคารสำนักงานแขวนป้ายที่แกะสลักวิจิตรประณีตแผ่นหนึ่งไว้
ในห้องทำงานของอาคารใหญ่ คุณชายที่เป็นความภูมิใจรุ่นหนึ่งของตระกูลหวาง——หวางเหวินห้าว…กำลังนั่งอยู่หน้าห้องประชุม เขากำลังประชุมศึกษาพิจารณาวางเค้าโครงงานใหม่ล่าสุดให้เหล่าพนักงานอยู่
แต่ในเวลานี้เอง มือถือของหวางเหวินห้าวกลับดังขึ้นกะทันหัน หวางเหวินห้าวกำลังประชุมอยู่ โทรศัพท์ทั้งหมดล้วนสกัดไว้หมด…มีเพียงโทรศัพท์ของตระกูลถึงจะเปิดเป็นปกติ
และเวลานี้ มือถือของเขาดังขึ้นอย่างคาดไม่ถึง นี่…คือทางบ้านโทรมา
หวางเหวินห้าวหยิบมือถือออกมาดูด้วยความสงสัย เป็นบิดาโทรเข้ามา
เขารีบทิ้งการประชุมไป ถือโทรศัพท์ไว้แล้วรีบออกไปจากห้องประชุม
“เหวินห้าว น้องชายลูกเกิดเรื่องแล้ว!” ในสายโทรศัพท์ เสียงของหวางหมิงเฉิงผู้เป็นบิดาพูดอย่างกังวล
“อะไรนะ? อู๋ตี๋เกิดเรื่องอะไรกัน!?” หวางเหวินห้าวสีหน้าแข็งทื่อ รีบร้อนถามขึ้น?…
เมื่อได้ยินคำอธิบายในสายโทรศัพท์ของบิดา หวางเหวินห้าวก็สีหน้าแข็งทื่อขึ้นมาถึงที่สุด เรื่องที่เขากังวลมากที่สุดเกิดขึ้นแล้ว นึกไม่ถึงจะเกิดขึ้นรวดเร็วเช่นนี้ แม้กระทั่งควบคุมไม่ได้อีกแล้ว วันนี้ นี่คือเรื่องใหญ่สั่นสะเทือนของตระกูลหวาง
“พ่อครับ เดี๋ยวผมกลับไป พ่อห้ามคุณปู่เอาไว้ก่อน อย่าให้เขาแตะปืนเด็ดขาด!” หวางเหวินห้าวสีหน้ากังวลอย่างยิ่ง วางสายโทรศัพท์ลงแล้วพุ่งออกอาคารสำนักงานทันที
แม้แต่ประชุมเขายังไม่สนใจแล้ว พุ่งออกจากตึกไปโดยตรง ขับรถอาวดี้A6 รีบกลับไปยังบ้านตลอดทาง
…
คฤหาสน์ตระกูลหวาง เวลานี้ในคฤหาสน์แบบโบราณขนาดใหญ่หลังหนึ่งตื่นตระหนกสับสนไปหมด
เหล่าคนใช้ที่อยู่ภายใต้คำสั่งเคร่งขัดของนายท่านใหญ่ ท้ายที่สุดยังนำปืนที่ไม่ได้นำออกมาใช้นานกระบอกนั้นออกมาให้เขาแล้ว
คนใช้ยกกล่องไม้ของเขาที่มีฝุ่นเกาะเต็มกล่องนั้นด้วยมือทั้งสองอย่างเคารพนอบน้อม ยื่นไปด้านหน้านายท่านใหญ่ด้วยความกังวลและรีบร้อน
หวางเจิ้งม่าวจ้องกล่องไม้ใบนี้ด้านหน้าตั้งนาน จากนั้นถึงยื่นมือออกมาในที่สุด เปิดฝากล่องไม้ออกแบบสั่นเบาๆ…
ปืนหัวเซี่ยรุ่น54 สีดำแวววาวกระบอกหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในกล่อง ปล่อยกลิ่นอายที่ไร้กาลเวลาออกมา
ปืนกระบอกนี้อยู่ด้วยกันกับหวางเจิ้งม่าวมาครึ่งชีวิต ประวัติศาสตร์หลายสิบปี ราวกับกระแสน้ำไหลบ่าผ่านไปในพริบตาเดียว…ทำให้เดิมทีไม่มีทางหยุดยั้งคนได้
ในตาของหวางเจิ้งม่าวมีความซับซ้อนที่ล้ำลึกแวบผ่าน…ในที่สุดมือที่แก่หง่อมของเขาก็สั่นเทา ก่อนจะค่อยๆ หยิบปืนกระบอกนี้ขึ้นมา
“ปืนนี้อยู่กับฉันมาห้าสิบสามปี…ห้าสิบสามปีเต็มๆ ฉันยังจำได้…ตอนนั้นเจ้านายเป็นคนมอบปืนนี้ให้ฉันด้วยตัวเอง…” ความรู้สึกในดวงตาที่ชราของหวางเจิ้งม่าวเปล่งประกายความทรงจำ…
เขาถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง จากนั้นกลับคืนสู่ความเคร่งขรึมจริงจัง “กระสุน!”
เหล่าคนใช้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นำกระสุนปืนที่ใหม่มากชุดหนึ่งยื่นไปด้านหน้านายท่านใหญ่ด้วยความระมัดระวัง
หวางเจิ้งม่าวค่อยๆ รับกระสุนปืนมา บรรจุกระสุนลูกหนึ่งเข้าไป จากนั้นเตรียมอาวุธพร้อมยิง
“นายท่านใหญ่คะ…ท่านอย่าพึ่งโกรธเลย…ร่างกายของท่านไม่ดีนัก เห็นแกสุขภาพเป็นหลักเถอะค่ะ…นายท่านกำลังรีบกลับมาแล้วค่ะ เขาจะจัดการเรื่องนี้ให้ท่าน…” สาวใช้คนหนึ่งพูดเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงอ้ำๆ อึ้งๆ นี่คือความคิดของนายท่านหวางหมิงเฉิง พยายามสุดกำลังห้ามนายท่านใหญ่ไว้ จะต้องไม่ให้เขาแตะต้องปืน
ใบหน้าที่แก่หง่อมของหวางเจิ้งม่าวแข็งทื่อทันใด พูดเสียงดุ “ไม่ต้องมาพูดมาก…ถอยไป!”
เหล่าคนใช้อำๆ อึ้งๆ เหมือนยังอยากขัดขวาง…
นายท่านใหญ่หวางตะคอกเสียงดุไปตรงๆ “ไสหัวไป!” ใบหน้าที่ชราของเขาพิโรธดุจฟ้าผ่า แรงอาฆาตแค้นไร้ศัตรูเมื่อหลายสิบปีก่อนเหมือนปรากฏขึ้นอีกครั้ง….นายท่านใหญ่ที่สงบเงียบมาหลายสิบปีท่านนี้ ในที่สุดก็ฟื้นคืนชีพแล้ว
ซู่! เหล่าคนใช้กลุ่มนั้นสั่นไปทั่วตัวกันหมด จากนั้นคุกเข่าลงที่พื้นกัน พวกเขาตกใจอึ้งค้างต่อความโกรธแค้นของนายท่านใหญ่กันแล้ว ใครก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
หวางเจิ้งม่าวสีหน้าหนักหน่วงไร้ที่เปรียบ ถือปืนที่มีความหมายพิเศษกระบอกนั้นไว้ ก้าวเท้าเดินออกไปด้านหน้า
ห้องหลักลานหน้าห้องมุขตระกูลหวางเกิดเสียงเอะอะวุ่นวาย…ลุงสองกำลังคุกเข่าอยู่กลางห้องหลัก ใบหน้าซีดเซียว แม้แต่ลมหายใจยังสั่นเทาไปด้วย…เขากำลังคุกเข่าอยู่ที่ห้องหลักตั้งแต่ตอนเช้า…คุกเข่าตั้งแต่เช้าตรู่มาตลอดจนถึงตอนนี้…แม้แต่หัวเข่ายังบวมแดงเหน็บชาไปหมด…แต่เขายังคงไม่ลุกขึ้น
บรรดาสมาชิกลูกหลานตระกูลเหล่านั้นไม่มีใครสักคนกล้าเข้าไปพยุงเขา…เพราะลุงสองในเวลานี้ กลายเป็นคนผิดของตระกูลหวางไปแล้ว เรื่องในเวลานี้ กระทบอย่างใหญ่หลวงเหลือเกิน ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยประคอง…
ในเวลานี้นายท่านใหญ่หวางถือปืนไว้ เดินก้าวเข้ามาจากด้านนอกทีละก้าว
“นายท่านใหญ่มาแล้ว…”
“นายท่านใหญ่…”
ฝูงชนโดยรอบตะลึงกันก่อน เมื่อเห็นอาวุธที่น่าสะพรึงกลัวหนาวเหน็บกระบอกนั้นในมือนายท่านใหญ่เข้า ทุกคนต่างตื่นตกใจ คนทั้งในห้องโถงหลักชั่วขณะนั้นอยู่ไม่สุขแล้ว…
สายตานายท่านใหญ่หวางล้ำลึกเคร่งขรึม กวาดมองฝูงชนโดยรอบอย่างเย็นชา
บรรดาลูกหลานตระกูลกลุ่มนั้นตกใจกันจนแตกหนีถอยกระเจิง…อารมณ์ของนายท่านใหญ่เวลานี้ดูแย่มาก ทุกคนใครต่างก็ไม่กล้าหาเรื่องในช่วงสำคัญนี้ใช่หรือไม่…
“แกไม่ใช่อยากเจอฉันเหรอ?…ฉันมาแล้วนี่ไง แกมีอะไรจะพูด?” นายท่านใหญ่หวางถือปืนไว้ เดินมาตรงกลางห้องโถงหลักด้วยฝีเท้าหนักแน่น จ้องลุงสองที่คุกเข่าบนพื้นอย่างเย็นชา
ร่างกายที่แก่หง่อมของลุงสองสั่นอีกครั้ง สีหน้าเขาซีดเซียวแถบหนึ่ง คำนับศีรษะอย่างแรงทีหนึ่งต่อนายท่านใหญ่ตระกูลหวาง
“นายท่านใหญ่…ผมขออภัยท่านด้วยครับ…ผมทำผิดต่อทั้งตระกูลหวาง!” เสียงลุงสองแหบแห้ง นั่นคือการตำหนิตนเองอย่างใหญ่หลวง
นายท่านใหญ่หวางจ้องลุงสองด้วยสายตาอึมครึม สามารถสัมผัสได้ถึงไฟโกรธในใจของเขา…เรื่องในวันนี้สร้างผลกระทบใหญ่หลวงที่สุดให้ตระกูลหวาง นั่นทำให้ทั้งตระกูลหวางได้รับหางเลขไปด้วย
“แกติดตามฉันมาหลายปีขนาดนี้ จัดการตระกูลหวางมาหลายปี หรือว่าไม่รู้ผลลัพธ์ของเรื่องนี้งั้นเหรอ?” เสียงของนายท่านใหญ่หวางสั่นเครือเพราะความโกรธเคือง
ลุงสองใช้แรงคำนับศีรษะลงพื้นอีกครั้ง สามารถได้ยินเสียงดังสนั่นจากศีรษะที่กระทบกับพื้น
เหล่าสมาชิกตระกูลในเหตุการณ์ต่างมุงดูแบบเงียบกริบ ใครๆ ต่างก็ไม่ได้ส่งเสียง ใครๆ ก็ไม่กล้าพูดจา เพราะในขณะนี้นายท่านใหญ่ของพวกเขา…เสาหลักที่ใหญ่สุดของตระกูลหวางท่านนี้โกรธแค้นถึงที่สุดแล้ว
“นายท่านใหญ่…ผม…ผมรู้สึกละอายใจต่อการอุปถัมภ์ของตระกูลหวาง…” ลุงสองเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลรินบนใบหน้าที่แก่หง่อม “ตอนนั้นพ่อของผมได้รับการช่วยชีวิตจากเจ้าบ้านคนก่อน เป็นตระกูลหวางที่ให้ชีวิตหนึ่งกับพวกเรา…ชีวิตนี้ของผมเป็นของตระกูลหวาง…นายท่าน วันนี้ผมรู้สึกละอายใจต่อบรรพบุรุษตระกูลหวาง…ผมยินยอมตายเพื่อไถ่โทษ…”
นายท่านใหญ่หวางสีหน้าขึงขัง จ้องลุงสองไม่ขยับ พูดเสียงดุ “ดี! ในเมื่อแกยอมตายเพื่อไถ่โทษ ฉันก็จะทำให้แกสมหวัง!”
นายท่านใหญ่หวางยกปืนรุ่น54ในมือขึ้น เล็งไปยังลุงสอง
ในเหตุการณ์ดูวุ่นวาย เหล่าลูกหลานตระกูลหวางกลุ่มหนึ่งตื่นตระหนกสับสนทั้งหมด
“ท่านลุง…ไม่ได้นะ…ท่านลุงขออย่าได้โกรธเลย ลุงสองดูแลจัดการตระกูลหวางมานาน…ถึงแม้จะทำผิดครั้งใหญ่แล้ว…แต่…แต่โทษก็ไม่ควรถึงตาย…” เด็กตระกูลหวางคนหนึ่งทนไม่ไหว ในที่สุดนิ่งต่อไปไม่ได้พูดโน้มน้าวอย่างระมัดระวัง
“ไสหัวไป!” นายท่านใหญ่หวางตะคอกเสียงดุ ด่าจนรุ่นเด็กคนนั้นถอยหลังไปสามก้าวทันที
ในขณะเดียวกันรถอาวดี้A8คันหนึ่งเหยียบเบรกฉับพลัน จอดอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหวางแล้ว
เจ้าบ้านหวางหมิงเฉิงพุ่งออกจากรถอย่างกังวลใจมาก พุ่งเข้าไปในคฤหาสน์โดยตรง
หลังจากที่หวางหมิงเฉิงพุ่งเข้าคฤหาสน์…รถอาวดี้A6อีกคันหนึ่งก็ขับเข้ามาแล้วเช่นกัน สะบัดท้ายจอดหน้าประตูคฤหาสน์ทันใด ชายหนุ่มที่หล่อเหลานิ่งขรึมคนหนึ่งก้าวออกจากรถว่องไว คุณชายอายุน้อยที่น่าภาคภูมิใจสุดของตระกูลหวาง หวางเหวินห้าว
หวางเหวินห้าวไม่ทันได้ปิดประตูรถ ใส่รองเท้าหนังก้าวพุ่งเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว
ในห้องโถงหลักของตระกูลหวาง นายท่านใหญ่หวางเล็งปืนไปยังลุงสอง อากาศล้วนแข็งตัวอึมครึมไปแถบหนึ่ง
นายท่านใหญ่ปลดสลักล็อกของปืนไปแล้ว นิ้วมือออกแรงกดบนไกปืนแล้ว
“พ่อครับ ขอความเมตตาด้วย!” ทันใดนั้นเสียงที่ร้อนรนดังขึ้นมาจากด้านนอก
เจ้าบ้านหวางหมิงเฉิงพุ่งเข้ามาในห้องโถงอย่างรีบร้อนมาก “พ่อครับ! ไม่ได้เด็ดขาด พ่ออย่าโมโหเลย!!”
นายท่านใหญ่หวางดวงตาเคร่งขรึมไร้ที่เปรียบ จ้องหวางหมิงเฉิงลูกชายตนเองไม่กะพริบ “วันนี้ พวกแกใครก็ห้ามฉันไม่ได้แล้ว กฎตระกูลทำตามอำเภอใจ ไม่ว่าเป็นใคร…ทำผิดร้ายแรง…กฎของตระกูล ย่อมต้องชดใช้!”
หวางหมิงเฉิงพุ่งไปตรงหน้าบิดาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม อยากรับปืนในมือของบิดาเข้ามา…กลับถูกนายท่านใหญ่หวางตวาดใส่แล้วผลักออก
“ไสหัวไป! วันนี้ถ้าแกกล้าขวางฉัน ฉันจะเปลี่ยนคนเป็นเจ้าบ้านตระกูลหวาง!!”