สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 610
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 610 ไสหัวไป
นี่คือปฏิบัติการปูพรมค้นหาครั้งใหญ่ ดำเนินการค้นหาทุกซอกทุกมุมไม่ว่าจะเป็นทางอากาศหรือทางบก ปฏิบัติการค้นหาขนาดใหญ่นี้เทียบได้กับการสำรวจครั้งใหญ่ของตำรวจ ใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมาก อีกทั้งยังมีสุนัขดมกลิ่นกว่าสิบตัว ค้นหาพื้นที่ชานเมืองทั้งหมดหลายสิบกิโลเมตร!
เฮลิคอปเตอร์บินวนอย่างต่อเนื่อง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์วิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของเหล่าเจ้าหน้าที่จริงจังเป็นอย่างมาก ในวันนี้เป็นปฏิบัติการค้นหาที่ไม่เคยมีมาก่อน มันจึงมีความสำคัญถึงขนาดที่สามารถเป็นจุดสนใจของสำนักข่าวในเมืองหู้ไห่ได้ แต่พวกเขาไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น การค้นหาครั้งนี้ต้องทำอย่างรวดเร็ว ห้ามทำให้เป็นจุดสนใจเด็ดขาด ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการดำเนินการแบบลับๆ
ในที่สุดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็ระบุตำแหน่งที่ชัดเจนได้ มันอยู่บนเนินเขาเล็กๆ
“ระบุตำแหน่งเป้าหมาย 1×1 ซ้ายบน ตรงตำแหน่ง 12 นาฬิกา..” เจ้าหน้าที่พูดรายงานออกมา
สุนัขดมกลิ่นวิ่งไปที่เนินเขาเล็กๆ ตามคำสั่งของครูฝึก
“โฮ่งๆๆๆ” เมื่อสุนัขดมกลิ่นไปถึงบนเนินเขา ก็เห่าออกมาเสียงดัง
เจ้าหน้าที่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที จากนั้นจึงรับวิ่งไปบนเนินเขา
บนเนินเขามีกองดินอยู่กองหนึ่ง บนกองดินมีป้ายหลุมศพที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ ปักอยู่
เจ้าหน้าที่ต่างพากันตกตะลึง
เหล่าชายในชุดสูทสีดำรีบเอาอุปกรณ์ขุดดินมาขุดกองดินทันที
ไม่นาน ศพที่แข็งทื่อก็ปรากฏอยู่ใต้ดิน
“พบศพเล่ยิง!” เจ้าหน้าที่สีหน้าตกตะลึง และพูดออกมาอย่างจริงจัง
ตอนนี้ทุกคนต่างพากันโล่งอก เพราะภารกิจสำเร็จแล้ว
ศพของเล่ยิงเป็นเรื่องใหญ่มาก ถึงขั้นที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนทั้งตระกูล วันนี้เจอศพของเล่ยิงแล้ว ทุกคนถึงกับโล่งใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
“จะทำลายศพที่นี่หรือจะพากลับเยี่ยนจิง” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“พากลับเยี่ยนจิง! ผู้นำตระกูลต้องการเห็นศพถูกทำลายด้วยตาของตัวเอง เขาจึงจะวางใจ!” ผู้บังคับบัญชาเอ่ยขึ้น
เมื่อศพของเล่ยิงได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด ศพของเขาถูกมัดและดึงขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์
…
ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตรในเยี่ยนจิง มีเหตุการณ์นองเลือดกองขึ้น
แสงสีทองอร่ามในตอนเย็นดูเหมือนจะยืดเวลายามค่ำคืนออกไป ประกายจากลูกกระสุนพาดผ่านอยู่ในอากาศ
จากนั้นมันก็ล้อมรอบคนทั้งตระกูลของเล่ยิง ทั้งหมดถูกทำร้ายและสังหาร ชื่อใดที่เกี่ยวข้องกับคำว่า “เล่ยิง” จะถูกกำจัดออกไปทั้งหมด ภายในคืนนี้เลือดสดกระจายอยู่บนแผ่นดินเยี่ยนจิง กลิ่นคาวเลือดยังคงคละคลุ้งขึ้นเรื่อยๆ
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้า สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและซีดเผือด จากนั้นประตูตู้เสื้อผ้าถูกเปิดออก ปืนกระบอกหนึ่งจ่ออยู่ที่หน้าผากของเด็กผู้หญิงคนนั้น
ทันใดนั้นสีหน้าของเด็กผู้หญิงก็ซีดเผือดและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“อย่า ขอร้องล่ะ อย่ายิงเธอเลย เธอยังเด็ก ปล่อยเธอไปเถอะ!” ผู้เป็นแม่คุกเข่าลงบนพื้นและเอาหัวโขกพื้นอ้อนวอนเหล่าคนชุดดำที่อำพรางใบหน้า ด้วยหวังว่าพวกเขาจะปล่อยลูกสาวของเธอไป เธอเป็นเพียงแค่เด็กอายุเก้าขวบเท่านั้น!
สีหน้าของคนชุดดำเย็นชา ไม่มีอารมณ์ใดอยู่บนใบหน้า ราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่เลือดเย็นไร้หัวใจ!
เด็กผู้หญิงคนนั้นกลัวจนตัวสั่น เธอใช้โอกาสตอนที่คนร้ายไม่ทันได้สังเกต วิ่งหนีไป
“ปังงง” กระสุนปืนถูกยิงออกไป มันทะลุเข้าไปที่ข้างหลังของเด็กผู้หญิงคนนั้น
“กรี๊ดดด” ผู้เป็นแม่กรีดร้องออกมาอย่างเสียสติ จิตใจของเธอแตกสลาย เธอเห็นลูกโดนยิงต่อหน้าต่อตา ทำให้เธอเสียสติไปแล้ว
“ทำไมต้องฆ่าเธอด้วย เธอเป็นแค่เด็ก แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น!!” ผู้เป็นแม่ดึงเสื้อของคนร้ายอย่างรุนแรง แต่กลับโดนคนร้ายถีบกลับมา
พวกคนร้ายมองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงของเขาเย็นชาเป็นอย่างมาก “ถ้าจะโทษ ก็โทษพ่อของมันเถอะ ใครใช้ให้มันเป็นลูกสาวของเล่ยิงล่ะ”
“ปังงง” ประกายกระสุนพุ่งออกมาและพุ่งไปกลางหน้าผากของผู้เป็นแม่
ผู้เป็นแม่เบิกตาโพลง เธอค่อยๆ ล้มลงจมกองเลือดพร้อมกับความอาฆาตแค้นและความเศร้าเสียใจ
เลือดเปื้อนไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน ในดินแดนที่ซับซ้อนไรที่สิ้นสุดในเยี่ยนจิง เลือดของคืนนี้ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เลือดของคนธรรมดามันจะดึงดูดความสนใจของคนใหญ่คนโตเหล่านั้นได้อย่างไร นี่เป็นเพียงคลื่นเล็กๆ ที่อยู่ในคลื่นอันใหญ่มหึมาเท่านั้น
เหล่าชายชุดดำเหยียบเลือดสดๆ และกวาดตามองศพเหล่านั้น หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าทุกคนสิ้นใจ ก็นำศพขึ้นรถบรรทุกที่มีตู้คอนเทนเนอร์อยู่บนนั้น แม้จะตายหมดแล้ว แต่ก็ต้องทำลายหลักฐานให้หมด นี่แหละที่เรียกว่าตายอย่างน่าเวทนา ขนาดตายไปแล้วยังไม่มีที่ฝังร่างให้ตายอย่างเป็นสุข
ช่วงค่ำที่บ้านตระกูลหวาง
หวางเหวินห้าวคุณชายใหญ่นั่งอยู่ในห้องโถง แววตาของเขาลุ่มลึก เขากำลังจิบชาแดง ดูเหมือนชายผู้หล่อเหลาและจิตใจดี แต่ทว่าคิ้วของเขายังขมวดด้วยเจตนาอันร้ายกาจ จะฆ่าก็ต้องฆ่านี่เป็นวิธีของเขา และนี่ก็คือเหตุผลที่ตระกูลหวางเป็นใหญ่ในเมืองแห่งนี้ นี่เป็นดินแดนของผู้กระหายเลือด ผู้ชนะเท่านั้นถึงจะเป็นใหญ่!
ขณะนั้นลูกน้องคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา
“คุณชายครับ กลุ่มคนหาในเมืองหู้ไห่พบศพของเล่ยิงแล้วครับ ตอนนี้กำลังนำศพของเขากลับมาที่เยี่ยนจิงทางอากาศครับ” ลูกน้องรายงานด้วยความนอบน้อม
“อืม รู้แล้ว” หวางเหวินห้าววางแก้วชาลง ตอนนี้เขาเฉยชาเป็นอย่างมาก เรื่องทั้งหมดมันเป็นฝีมือของเขา
หวางเหวินห้าวลุกขึ้นยืน จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเบาๆ และเดินออกจากห้องโถงไปด้วยสีหน้าราบเรียบ เขาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณปู่ คุณปู่จะได้สบายใจ
…
บนเนินเขาสูงชานเมืองหู้ไห่
เฮลิคอปเตอร์สองลำบินอยู่กลางอากาศ ศพของเล่ยิงลอยอยู่กลางอากาศและถูกดึงขึ้นไปช้าๆ เมื่อเห็นกับตาว่าศพของเล่ยิงถูกลำเลียงขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์ ทุกคนต่างพากันโล่งใจ ภารกิจครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ภัยเงียบที่เป็นกังวลกันในตระกูลถูกกำจัดออกไปแล้ว
เจ้าหน้าที่ยกศพของเล่ยิงขึ้นมาบนเฮลิคอปเตอร์ และนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาตรวจสอบ
“น่าแปลก ตอนที่เล่ยิงตาย ทำไมศพของเขาถึงไม่ถูกทำลายล่ะ” เจ้าหน้าที่สงสัย เล่ยิงเป็นสุดยอดนักฆ่าของตระกูลหวาง ทุกครั้งก่อนที่จะออกไปทำภารกิจ เขาจะติดตั้งอุปกรณ์ทำลายตัวเองเอาไว้ในร่างกาย ถ้าเกิดเรื่องกับเขา จะทำลายร่างกายของเขาทันที เพื่อเป็นการทำลายหลักฐาน แต่ทำไมศพของเล่ยิงยังอยู่ครบสมบูรณ์อย่างนี้ได้ล่ะ
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พาดผ่านศพของเล่ยิง ตั้งแต่หัวจรดเท้า
จู่ๆ เล่ยิงก็ลืมตาขึ้นมา
“เฮ้ย!” เจ้าหน้าที่ตกใจจนหน้าซีด ตัวสั่นจนถอยหลังกรูด
เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้ คนตายจะลืมตาขึ้นมาได้อย่างไร
ขณะนั้นเอง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตั้งสติได้ เขาชี้ไปที่ดวงตาของเล่ยิงอย่างหวาดกลัว
“นั่น..นั่นมัน..” เขายังไม่ทันพูดจบ
ดวงตาของเล่ยิงก็ระเบิดออกมา
“ตู้มมม” เสียงดังสนั่น เฮลิคอปเตอร์ระเบิดขึ้นมากลางอากาศ
ไฟลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เฮลิคอปเตอร์ลำที่อยู่ข้างๆ ไม่สามารถหลบได้ ไฟลามมายังเฮลิคอปเตอร์ลำนี้เช่นกัน จากนั้นเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำก็ตกลงมาบนพื้น
“ตู้มมม” เสียงระเบิดดังสนั่นอยู่บนเนินเขาจนสั่นสะเทือนไปทั้งป่า ไฟลุกโชนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่จำนวนมากถูกไฟคลอก อีกทั้งยังมีคนถูกเศษเฮลิคอปเตอร์ทับจนเละ ที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยความน่าสยดสยอง
เจ้าหน้าที่พวกนั้นคิดไม่ถึงว่าระเบิดพลีชีพจะถูกเฉินเป่ยติดไว้ที่ตาข้างขวาของเล่ยิง เป้าหมายเพื่อป้องกันการขโมยศพ แต่ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีคนมาขโมยศพ และติดตั้งระเบิดพลีชีพเอาไว้!
ภายในห้องของผู้อาวุโส ที่บ้านตระกูลหวางแห่งเยี่ยนจิง
หลังจากที่หวางเหวินห้าวนำข่าวดีมาบอกคุณปู่ ความกังวลของชายชราก็คลายลง
หลังจากที่บอกฝันดีคุณปู่ หวางเหวินห้าวก็เดินออกมา
“คุณชายครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!!” จู่ๆ คนใช้คนหนึ่งวิ่งกุลีกุจอเข้ามา
หวางเหวินห้าวนิ่งไป จากนั้นจึงพูดออกมาว่า “อวดดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ไม่เห็นเหรอว่าคุณปู่เพิ่งหลับไป”
คนใช้คนนั้นหน้าเปลี่ยนสี เขารีบโค้งสำนึกผิด และพูดด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว “คุณชายครับ…ศพของเล่ยิง…ระเบิดที่เมืองหู้ไห่แล้วครับ”
“อะไรนะ” หวางเหวินห้าวนิ่ง เขาตกตะลึงจนตัวสั่นไปหมด
ศพของเล่ยิงระเบิดอย่างนั้นเหรอ
ตอนนี้หวางเหวินห้าวสับสนไปหมด ศพของเล่ยิงระเบิดไปแล้ว ถึงหลักฐานที่เกี่ยวกับเล่ยิงจะถูกทำลายไป แต่มันกลับมีร่องรอยของหลักฐานใหม่ เหล่าคนที่เขาส่งไป ล้วนเป็นคนของตระกูล ถ้าถูกจับได้ขึ้นมา ผลมันจะเป็นยังไง!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น สีหน้าของหวางเหวินห้าวเย็นชาขึ้นมาทันที ครั้งนี้เขาแพ้แล้วจริงๆ ครั้งนี้ผู้บงการเบื้องหลังอย่างเขาถูกคิดบัญชีเสียเอง ความรู้สึกแบบนี้มันเหมือนตอนที่เขาปะทะกับเฉินเป่ยด้วยตัวเอง สุดท้ายเขาก็แพ้อย่างราบคาบ นี่คือสิ่งที่ทำให้เขารับไม่ได้!
“รีบส่งคนไปในที่เกิดเหตุ ทำลายหลักฐานให้หมด อย่าให้เหลือร่องรอยอะไรไว้แม้แต่นิดเดียว!” หวางเหวินห้าวสีหน้าอึมครึมและรีบพูดออกมาทันที
“ครับ!” ลูกน้องรีบทำตามคำสั่งทันที
หวางเหวินห้าวยืนอยู่กลางลานบ้านสีดำ เขากำหมัดแน่น เขาเกร็งไปทั้งตัว เอ๋อตงเฉิน ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าแกเป็นใคร!
…
ดวงอาทิตย์ยามเย็นค่อยๆ ตกลงไป คืนนี้ที่คฤหาสน์ตระกูลหลีสว่างไสว
วันนี้เป็นวันพิเศษที่เฉินเป่ยถูกปล่อยตัวออกมา หลีชิงเยียนลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง เธอทำอาหารเต็มโต๊ะเพื่อต้อนรับเฉินเป่ยและปัดเป่าเรื่องไม่ดีออกไป
เฉินเป่ยเป็นฝ่ายนั่งลงข้างเทพธิดาอย่างหลีชิงเยียน แต่เมื่อเธอตั้งสติได้เหมือนเดิม เธอก็นั่งห่างจากเฉินเป่ยไกลเป็นโยชน์
ในงานฉลองครั้งนี้ ทุกคนต่างดื่มกันไปไม่น้อย หลีชิงเยียนเอาไวน์แดงอันล้ำค่าออกมาจากห้องเก็บไวน์ เพื่อฉลองที่เฉินเป่ยถูกปล่อยตัวออกมา
หลีชิงเยียนเงียบจนเหมือนแมวเชื่องๆ ตัวหนึ่ง
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อผู้ชายคนนี้มานั่งข้างเธอ ในใจของเธอรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
หลีหยางชนแก้วกับเฉินเป่ย ระหว่างผู้ชายด้วยกันไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ทุกอย่างมันอยู่ในไวน์แล้ว
เมื่อไวน์ลงท้อง เฉินเป่ยพูดออกมาด้วยความขอบคุณและสับสน “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”
ตอนที่เฉินเป่ยพูดประโยคนั้นออกมา จิตใจของเขาสับสนมาก ความรู้สึกในตอนนี้ มันเหมือนความรู้สึกของครอบครัว ตั้งแต่ตอนที่เขาออกจากหัวเซี่ยไป เขาไม่เคยหลงหลักปักฐานอยู่ที่ไหนเลย แม้แต่สถานที่ลึกลับนั่น ก็เป็นเพียงสถานที่ที่เขาถูกบังคับให้ซ่อนตัวเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น
แม้ว่าเฉินเป่ยจะซื้อบ้านหรูมาแล้วทั่วโลก แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีบ้านหรูหราใดที่จะทำให้เขารู้สึกเป็นเจ้าของได้ เขายังคงซื้อบ้านหรูหราทั่วโลก เพียงเพื่อค้นหาความรู้สึกของการเป็นเจ้าของในหัวใจของเขา แต่วันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะพบมันแล้ว มันอยู่ในคฤหาสน์ของหลีหยางที่เมืองหู้ไห่ เขาพบว่ามันมีความรู้สึกนั้น ความรู้สึกที่เหมือนครอบครัว!
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ หลีชิงเยียนเรียกเฉินเป่ยขึ้นมาบนชั้นสอง
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องหนังสือ หลีชิงเยียนให้เฉินเป่ยนั่งลง บรรยากาศเงียบจนสัมผัสได้
เทพธิดาลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงถามขึ้นเบาๆ ว่า “นายถูกปล่อยตัวออกมา เพราะหลักฐานไม่เพียงพอใช่ไหม”
เฉินเป่ยอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า เขาไม่ได้บอกความจริงเรื่องที่ถูกปล่อยตัวให้หลีชิงเยียนรู้ เพราะเขากลัวว่าเธอจะเป็นกังวลเพราะเรื่องนี้ โล่ก้วนจองกำลังพุ่งเป้ามาที่เขา ต่อจากนี้คงจะมีเรื่องวุ่นวายเพิ่มมากขึ้นแน่นอน
ดวงตาคู่สวยของหลีชิงเยียนสับสน เธอลังเลเหมือนอยากจะถามอะไร แต่ไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไรดี
“วันนั้น..ฉันเจอจางจื่อหลาน…” หลีชิงเยียนลังเลอยู่นาน สุดท้ายเธอก็พูดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา
เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด เฉินเป่นอึ้งไป ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงถามขึ้น “จางจื่อหลานคือใครเหรอ”
“เลขาที่เจอที่โรงแรมไอดับเบิลยูซีไง” หลีชิงเยียนจ้องเฉินเป่ยแล้วพูดออกมา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนายและจางจื่อหลาน ทำไมเธอถึงไปชี้ตัวนาย” หลีชิงเยียนจ้องเฉินเป่ยเขม็ง
เฉินเป่ยเงียบและอึ้งไป
ผ่านไปนาน เฉินเป่ยจึงยักไหล่และพูดอย่างเหนื่อยใจว่า “ขอโทษ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“งั้นนาย…” หลีชิงเยียนขมวดคิ้ว ยังไม่ทันได้ถามสิ่งที่อยากรู้ เฉินเป่ยก็รวบตัวเธอเข้าไปกอด
“นายจะทำอะไร..” หลีชิงเยียนดิ้นไปมา เธอได้กลิ่นไวน์จากตัวเขา เธอรู้ทันทีว่าเขาเมาและทำตัวรุ่มร่าม
แต่ไม่ว่าหลีชิงเยียนจะดิ้นแค่ไหนก็ไม่เป็นผล เธอค่อยๆ ดิ้นช้าลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอไม่ได้รุนแรงเหมือนเมื่อก่อน
ทั้งสองใกล้ชิดกันอยู่นาน หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที หลีชิงเยียนที่หายใจไม่ทันรีบผละออกจากเฉินเป่ย ผมของเธอยุ่งเหยิง ใบหน้าของเธอเหมือนคนเมา เมื่อครู่เธอดื่มไวน์ไปหลายแก้ว คนที่คอไม่แข็งอย่างเธอเมาเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ในสมองของเธอขาวโพลนไปหมด เธอสูญเสียความคิดเรื่องพื้นฐานได้ ร่างกายของเธอถูกควบคุมด้วยสัญชาตญาณ
เฉินเป่ยกอดเธอเอาไว้ และดมกลิ่นหอมจากร่างกายของเธอ จู่ๆ ก็เหมือนกับโลกทั้งใบอยู่ในอ้อมกอดของเขา เขาสามารถละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนนี้
“นายออกไป ฉันจะนอนแล้ว!” นานกว่าที่หลีชิงเยียนจะตั้งสติได้ เธอเย็นชาอีกครั้ง เธอไล่เฉินเป่ยออกไป
เฉินเป่ยยังสนุกไม่เต็มอิ่ม เขาอยากจูบเธออีกรอบ
หลีชิงเยียนผลักเขาเต็มแรง “นายนี่บังอาจมาก! ฉันเป็นเจ้านายนะ ถ้านายยังกล้าบังอาจอีก ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่ รีบออกไปเลย!”