สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 647
บทที่647 ทำให้แกประหลาดใจ
“อะไรนะ?” หวางเหวินห้าวได้ยินคำพูดของน้องชายในสายโทรศัพท์ ทั้งตัวลุกขึ้นมาจากบนเก้าอี้ทำงานโดยฉับพลัน
“ใครแตะต้องนาย?” ท่วงท่าทั้งตัวหวางเหวินห้าวเปลี่ยนไป ท่วงท่าที่สง่าลุ่มลึกนั้นหายไปจนมองไม่เห็นแล้วในชั่วขณะหนึ่ง สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือจิตสังหารที่เย็นชาดุร้าย ตระกูลของเขาตั้งตระหง่านไม่มีขยับ ไม่เคยมีใคร…กล้าแตะต้องคุณชายบ้านหวางของเขา… นี่เป็นชื่อเสียงอันโด่งดังของตระกูลหวาง นี่…เป็นรากฐานของตระกูลหวาง
แต่เวลานี้…ในฐานะคุณชายผู้เป็นเสาหลักในอนาคตของตระกูลหวาง…หวางอู๋ตี๋…คาดไม่ถึงถูกคนทำร้ายจนบาดเจ็บหนักเข้าโรงพยาบาล? นี่…เดิมทีคือการท้าทายอำนาจบารมีของตระกูลหวาง ท้าทายศักดิ์ศรีของตระกูลหวาง
ในสายโทรศัพท์นั้น เสียงหวางอู๋ตี๋พูดอย่างแหบแห้งอาฆาตแค้น “เอ๋อตงเฉิน…เฉินเป่ย…”
ซู่! ได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของหวางเหวินห้าวเปลี่ยนแปลงไป ในแววตาของเขาซับซ้อนไร้ที่เปรียบแวบผ่าน
“พี่…ผมขอร้องพี่ล่ะ ช่วยผมโยกย้ายกำลังของตระกูลที่เยี่ยนจิง…ผมอยากให้เฉินเป่ย…ตาย” เสียงหวางอู๋ตี๋สงบนิ่งมาก สงบจนทำให้คนสั่นเทาหวาดหวั่น คุณชายรองตระกูลหวางท่านนี้เกิดความคิดอยากสังหารอย่างสุดซึ้ง
หวางเหวินห้าวเงียบเฉย อารมณ์ในแววตาเปลี่ยนผันไม่หยุด…เขากำลังครุ่นคิด เรื่องนี้…ทำให้เขาไม่มีทางตัดสินใจเด็ดขาดได้
“พี่ ผมไม่เคยขอร้องพี่มาก่อน…นี่คือเพียงครั้งเดียว…พี่จะต้องช่วยผมนะ” เสียงของหวางอู๋ตี๋มีความเย็นเฉียบเสียดกระดูก
หวางเหวินห้าวเงียบงันตั้งนาน ถึงค่อยๆ เอ่ยปาก “เฉินเป่ยคนนี้…ฉันเคยตรวจสอบเอกสารข้อมูลทั้งหมดแล้ว…แต่ค้นหาข้อมูลอะไรของเขาไม่ได้เลยสักนิด…สถานะของเขา มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะปลอม…ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ เกิดเรื่องราวใหญ่โต ตระกูลไม่สามารถลงมือ…ได้ชั่วคราว”
“พี่…!” น้ำเสียงหวางอู๋ตี๋มีการวิงวอนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในชีวิตนี้เขาหยิ่งยโสในตัวเองมาก ไม่เคยขอร้องพี่ชาย…แต่ว่าวันนี้ เขาไม่มีวิธีอื่นใดแล้ว
“อู๋ตี๋…อย่าวู่วาม…ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอ่อนไหว…อิทธิพลสารพัดทางจ้องตาเป็นมัน ถ้าเกิดความผิดพลาดในช่วงเวลาสำคัญ ทุกอย่าง…จะพังเสียหาย” หวางเหวินห้าวค่อยๆ พูดเกลี้ยกล่อม
ในสายโทรศัพท์นั้น หวางอู๋ตี๋ไม่ได้พูดอะไร…แต่ยังสามารถได้ยินเสียงหายใจที่เร่งถี่หนักหน่วงนั้นของเขาได้…นั่นคือกำลังยับยั้งความแค้นเคืองอันมหึมาเอาไว้…เขาเป็นคุณชายตระกูลหวางผู้น่าเกรงขาม…วันนี้ถูกคนจัดการจนเจ็บหนักนอนโรงพยาบาล…นี่…คือความอัปยศอดสูใหญ่สุดในชีวิตของเขา
“อู๋ตี๋…มีบางครั้ง…จะจัดการใครบางคน…ไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง” หวางเหวินห้าวผู้เป็นพี่ชายเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหัน พูดแบบลุ่มลึกทอดยาว
ซู่! พอได้ยินคำพูดของพี่ชาย ในชั่วขณะนั้นลมหายใจหวางอู๋ตี๋เร่งถี่หลายระดับ ในที่สุด…พี่ชายก็ยอมช่วยเหลือแล้ว พี่ชายของเขาคนนี้แผ่อิทธิพลที่เมืองจิง และทะเยอทะยานไม่เป็นสองรองใคร ขอเพียงเป็นคนที่พี่ชายของเขาอยากจัดการ…คนคนนั้น…ไร้ทางรอดแน่นอน
“พี่ พี่มีวิธีอะไร? เฉินเป่ยคนนี้…ผมจะต้องฆ่าให้ได้!” หวางอู๋ตี๋พูดเคร่งเครียดในโทรศัพท์
“ยืมมีดคนอื่นฟันคน” หวางเหวินห้าวพูดแบบนิ่งสงบไร้ที่เปรียบ
“ยืมมีดคนอื่น?” เขาตกใจนิดๆ ถามว่า “พี่ ยืมมีดของใครกัน?”
“ย่อมยืมมีดที่แหลมคม” ดวงตาหวางเหวินห้าวที่อยู่ภายใต้แว่นกรอบทองแข็งทื่อเล็กน้อย พูดจาล้ำลึก “เยี่ยนจิง ตระกูลฉิน”
“เยี่ยนจิง…ตระกูลฉิน?” หวางอู๋ตี๋ได้ยิน จากนั้นตะลึงไปก่อน ตระกูลฉิน…พี่ชายอยากยืมมีดของตระกูลฉิน? ตระกูลฉินนี้คือตระกูลขนาดใหญ่โตเหนือชั้นของเยี่ยนจิง… มีดของตระกูลฉิน จะยืมอย่างไร?
“พี่…ตระกูลฉินนี้…ซับซ้อนมากเหลือเกิน…มีดของพวกเขา จะยืมได้เหรอ?” หวางอู๋ตี๋ถามอย่างหวั่นเกรงอยู่บ้าง
“ฉินหยางคุณหนูสามของตระกูลฉิน…ไม่ได้หนีไปที่เมืองหู้ไห่เหรอ? ดูเหมือนว่าตระกูลฉินยังหาเบาะแสของเธอไม่เจอ…งั้นก็ยืมมีดของคุณหนูสามตระกูลฉินมา ยืมอำนาจมาฟันเฉินเป่ย!” หวางเหวินห้าวค่อยๆ บอก
หลังจากได้ยินคำพูดของพี่ชาย ดวงตาหวางอู๋ตี๋แข็งทื่อเฉียบพลัน ในชั่วพริบตาเดียวเจตนาอาฆาตท่วมท้นได้ปลดปล่อยออกแล้ว ถ้าตระกูลฉินออกโรง…งั้นเอ๋อตงเฉิน…ถึงแม้จะเป็นพ่อของพระเจ้า ก็ยังไม่มีทางรอดได้อีก
“พี่…หลังฟันเอ๋อตงเฉิน…ผมจะเอาไวน์เก่าแก่อายุร้อยปีออกมาเคารพพี่ด้วยตัวเอง!” เสียงของหวางอู๋ตี๋ดังห้าวต่อเนื่อง มีความตื่นเต้นแบบเร่งรัด วันนี้ พี่ชายเขาลงมือวางแผนด้วยตนเอง…ยืมมีดใหญ่เหนือชั้นเล่มหนึ่ง…เช่นนั้นเฉินเป่ยจำเป็นต้องตายแบบไม่มีข้อสงสัย
มุมปากหวางเหวินห้าวยกเส้นรัศมีวงกลมขึ้น “พี่น้องท้องเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้”
หลังจากวางสายโทรศัพท์น้องชายลง หวางเหวินห้าวค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้…เขายื่นมือออก ถอดแว่นตากรอบทองอันนั้นลงจากสันจมูกออกช้าๆ…หลังถอดแว่นตาลง…ท่วงท่าทั้งตัวของเขา…เปลี่ยนไปทันใด…ท่าทางหยิ่งทระนงและโหดร้ายเหมือนปลดปล่อยออกมาในชั่วพริบตาเดียว… คุณชายตระกูลหวาง หวางเหวินห้าว…ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
หวางเหวินห้าวหยิบโทรศัพท์ตั้งโต๊ะสีแดงเครื่องนั้นบนโต๊ะขึ้น…นี่คือเครือข่ายโทรศัพท์ลึกลับพิเศษที่ใช้ในส่วนหน่วยงาน…
เขาเริ่มต่อสายไปยังหมายเลขที่สี่แล้ว
“ช่วยฉันกระจายข่าวลึกลับหนึ่งให้ตระกูลฉิน…ระวังรักษาความลับด้วย…อย่าให้โยงมาที่ตระกูลฉัน…”
…
ค่ำคืนที่ทอดยาวค่อยๆ ผ่านไป…แสงท้องฟ้าทางทิศตะวันออกในยามรุ่งอรุณเริ่มจะเห็นได้ชัดขึ้น
ยามเช้าของเมืองหลวงเมืองจิง ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็เร่าร้อนขึ้นมาแล้ว…
ในขณะเดียวกันข่าวที่ลึกลับเรื่องหนึ่ง…กำลังกระจายออกไปอย่างช้าๆ…ผ่านช่องทางลึกลับซับซ้อน…
ข่าวหนึ่งถูกเปิดเผยในขณะที่ไม่รู้ตัว…จากนั้นแพร่กระจายมาถึงอีกชั้นหนึ่ง…จากนั้น…ข่าวคราวก็แพร่ไปถึงเป้าหมาย…ตระกูลฉิน
ภายในเขตบ้านโบราณของเมืองจิงแห่งหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วยบ้านสี่หลังที่ล้อมรอบลานบ้านแบบเก่าขนาดใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่ อาณาเขตส่วนหนึ่งของที่นี่ล้วนเป็นเขตคุ้มครองพิเศษของเมืองจิง…บ้านล้อมลานหน้าบ้านแห่งหนึ่ง ที่เขตบ้านโบราณแต่ละสายนี้…เป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ของเมืองหลวง สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงอายุหลายร้อยปีก่อน
และบ้านที่สร้างล้อมลานบ้านสี่ทิศเก่าแก่ขนาดใหญ่แห่งนี้ คือพื้นที่ใจกลางของทั้งเขตคุ้มครองพิเศษ…ที่นี่…ไม่ได้เป็นเพียงเขตคุ้มครองพิเศษธรรมดาเท่านั้น…ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งด้วย
ภายในวงล้อมหลายกิโลเมตรของพื้นที่บ้านโบราณแห่งนี้…ถูกสร้างกั้นไว้ทั้งหมด มีการป้องกันเข้มงวดน่าสะพรึงกลัว…แต่ตัวบ้านที่สร้างล้อมลานบ้านแห่งนี้กลับเรียบง่ายและเก่าแก่อย่างเห็นได้ชัด…
ประตูใหญ่ของบ้านทาสีแดงสด อายุยาวนาน ถึงแม้สีที่ทาจะไม่หลุดลอก แต่ก็ซีดเซียวลงไปบ้าง…บนป้ายที่อยู่บนหน้าประตูใหญ่ แกะสลักอักษรตัวใหญ่ที่สละสลวยสองคำ: ตระกูลฉิน
ภายในบ้าน ท่านผู้นำฉินเฉิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณตัวนั้น ถึงแม้อายุจะเพิ่มมากขึ้น ผมหงอกเต็มศีรษะ…แต่ริ้วรอยบนใบหน้าของเขายังคงไม่มีทางปกปิดพลังแฝงที่แข็งแกร่งองอาจนั้นได้ ผู้อาวุโสตระกูลฉินท่านนี้คือ ผู้นำรุ่นปัจจุบันของตระกูลฉิน ซึ่งราวกับกำลังยืนยันความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย…ไม่ว่าจะปิดซ่อนอายุไว้อย่างไร ล้วนไม่มีทางลบความเผด็จการที่ทะเยอทะยานบนตัวเขาได้
ลูกชายสามคนของฉินเฉิงแบ่งกันยืนอยู่ด้านข้าง ปัจจุบันนี้ทั้งสามคนก็อายุเลยห้าสิบปีกันไปแล้ว เป็นพ่อคนกันหมด…สามคนนี้แยกกันจัดแต่งสวมเครื่องแบบทหารระดับนายพลที่มีรูปแบบมาตราเดียวกัน มีเพียงอย่างเดียวที่ไม่เหมือนคือขนาดอินทรธนูบนไหล่ของสามคน
นี่คือครอบครัวทหารที่ทำงานทหารกันทั้งตระกูล
ทหารระดับนายพลสามท่านนี้พูดได้ว่ากิริยาท่าทางน่าตกใจ นี่คือระดับเสาหลักของทั้งกองทัพ…ทว่าพอสามคนนี้ยืนต่อหน้าบิดาของตนเอง กลับยังคงเคารพนอบน้อม แม้กระทั่งโค้งตัวเล็กน้อยพอสมควร ยามที่ทั้งสามคนอยู่ด้านหน้าบิดา ไม่มีท่วงท่าใดๆ แม้แต่น้อย
ฉินเฉิงค่อยๆ ยกถ้วยน้ำชาสีม่วงนั้นบนโต๊ะน้ำชาขึ้น จิบชาหลงจิ่งอึกหนึ่ง
“เรื่องข่าว พวกแกได้ยินกันหมดแล้วสินะ? เสี่ยวหยางยัยเด็กคนนั้นหนีไปถึงเมืองหู้ไห่…ข่าวบอกว่ามีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนกับผู้ชายคนหนึ่ง?” ฉินเฉิงค่อยๆ ถามขึ้น น้ำเสียงมีความทอดยาวไร้ขอบเขต
ลูกชายระดับนายพลสามคนค่อยๆ พยักหน้า บนหน้าของทั้งสามคนมีความระมัดระวัง เหมือนกลัวว่าจะยั่วโมโหท่านผู้อาวุโสท่านนี้เข้า
“ยังไม่ต้องสนใจที่มาของข่าวว่าจริงหรือปลอม…พวกแกสามคนสั่งสอนลูกกันยังไง? เป็นถึงตระกูลที่น่าเกรงขาม แม้แต่ลูกสาวหนีหายไปหาแฟนอยู่ด้านนอกยังไม่รู้อีก?” น้ำเสียงฉินเฉิงสงบนิ่งไร้ที่เปรียบ เหมือนกำลังตำหนิ แต่กลับมีความหมายแฝงที่น่าประหลาดใจ
ทั้งสามคนยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครกล้าพูดอะไรทั้งนั้น…เพราะในเวลานี้เขาสามคน…ยังไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยลมหายใจแรงออกมาเลย
หลังจากเงียบงันอยู่นาน ลูกชายคนที่สามฉินฟางเทียนถึงค่อยๆ ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ก้มหน้ายอมรับผิด “คุณพ่อ…เป็นผมที่สอนลูกสาวไม่ถูก…”
“พูดแค่ว่าสอนลูกไม่ถูกก็จบแล้วรึไง? ตอนนี้แม้แต่ข่าวฉาวก็แพร่ออกมาหมด…ฉันฉินเฉิงที่ซื่อตรงเปิดเผยมาทั้งชีวิต…ทำไมถึงมีหลานสาวคนหนึ่งที่ดื้อรั้นขนาดนี้ได้กัน…” ผมที่หงอกเต็มศีรษะของฉินเฉิงนั้นสั่นเทาอยู่นิดหน่อย เหมือนลางบอกเหตุว่ากำลังโมโห และเหมือนกำลังทอดถอนใจไปด้วย
“ปึง!” ลูกชายคนที่สามฉินฟางเทียนขาทั้งสองสั่นเทา คุกเข่าลงไปที่พื้นทันที
“คุณพ่อ…ทุกอย่างต้องโทษผม! ตอนนี้ผมจะไปที่เมืองหู้ไห่…จับยัยเด็กแสบคนนั้นกลับมาครับ… ให้เธอคุกเข่ายอมรับผิดรับโทษต่อหน้าคุณพ่อครับ!” ฉินฟางเทียนพูดจาจริงจัง
“รับโทษ? แกยังอยากให้เธอรับโทษ? หลานสาวสุดที่รักของฉันขนาดนี้ แกยังอยากให้เธอรับโทษ?” หนวดเคราที่หงอกเต็มหน้าฉินเฉิงทำให้ดูมีบุคลิกน่าเกรงขาม ได้ปล่อยท่วงท่าทีออกมาแล้ว
ซู่! สีหน้าของฉินฟางเทียนลูกชายคนที่สามซีดขาวในพริบตาเดียว ร่างกายสั่นเทาอยู่บ้าง…เขารีบพูดยอมรับผิด “คุณพ่อ…ผมผิดไปแล้ว ที่ควรโดนลงโทษ…เป็นผมเอง!”
“ในเมื่อรู้แล้วยังอึ้งอยู่ทำอะไร?” ท่านผู้นำฉินเฉิงค่อยๆ พูดขึ้น
ฉินฟางเทียนลุกขึ้นมาจากพื้นแบบร่างกายสั่นเทิ้ม…หน้าตาเขาเด็ดเดี่ยว ท่าทางเหมือนรีบไปสนามรบ…เขาไม่ได้รับการลงโทษของตระกูลมาเกือบสิบปีแล้ว…นึกไม่ถึงวันนี้จะต้องถลำเข้ามารอยเดิมอีก…นายทหารระดับนายพลผู้น่าเกรงขาม คาดไม่ถึงต้องโดนรับการลงโทษของตระกูล…นี่ถ้าเรื่องแพร่ออกไป คงทำให้คนตื่นตระหนกตกใจยกใหญ่
เวลานี้ ในที่สุดพี่ใหญ่ที่อยู่ด้านข้างก็ทนดูต่อไปไม่ไหว เขาโค้งตัวเคารพนอบน้อม พูดโน้มน้าวด้วยความระวัง “อะแฮ่ม…คือว่า…คุณพ่อ…เรื่องนี้…ถึงแม้ว่าน้องสามเขาจะมีความผิด…แต่เขาก็ทุกข์ระทมเหมือนกัน…ครั้งนี้ปล่อยเขาไปเถอะครับ…”
เห็นว่าพี่ใหญ่ออกหน้า พี่รองก็ค่อยๆ ก้าวขึ้นมาช่วยพูดเกลี้ยกล่อมด้วย “จริงด้วย…คุณพ่อครับ…น้องสามเขาก็ไม่มีหนทาง…ยัยเด็กหยางคนนั้นนิสัยดื้อรั้นเกินไป…”
สายตาที่แก่หง่อมของฉินเฉิงแข็งทื่อกะทันหัน จ้องพี่รองอย่างเย็นชา
พี่รองหุบปากในชั่วพริบตา สีหน้าทั้งหมดเปลี่ยนไปหวาดกลัวอยู่บ้าง แม้แต่ลมหายใจยังไม่กล้าพ่นออกมาแรงๆ
“เจ้ารอง แกยังมีหน้ามาพูด?” คิ้วหงอกของท่านผู้นำฉินเฉิงตั้งขึ้นมา พูดเสียงเย็นชา “ลูกชายคนนั้นของแกวิ่งไปหู้ไห่เดือนหนึ่งแล้ว แม้แต่ข่าวคราวยังไม่ไม่มีสักนิด…สรุปเขาไปเที่ยว…หรือว่าไปตามหาคน?”
ร่างกายของพี่รองที่สวมเครื่องแบบทหารระดับนายพันนั้นโค้งงอไม่ขยับ ตกใจไปหมดจนไม่กล้าพูดอะไร
“เจ้าเด็กนั้นยังประกาศตัวเป็นทหารพิเศษโดยพลการ? ทหารพิเศษกับผีน่ะสิ? ตอนนั้นที่ฉันไปสงคราม…มีทหารพิเศษที่ไหนขี้ขลาดอย่างมันบ้าง? ให้มันหาคนคนหนึ่งใช้เวลาสองเดือน แม้แต่ข่าวคราวยังไม่มี…” ฉินเฉิงยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ขึ้นเสียงเพิ่มหลายระดับ
ในที่สุดพี่รองก็ทนไม่ไหว ร่างกายสั่นเทา ขาทั้งสองอ่อนยวบคุกเข่าลงไปบนพื้นทันที
“คุณพ่อ…เป็นผมที่สอนลูกไม่ดีเอง…คุณพ่อโปรดลงโทษ!” เสียงของพี่รองพูดแบบสั่นเครือ
เวลานี้พี่ใหญ่เข้ามาโค้งตัวทำความเคารพ
“คุณพ่อ…เรื่องนี้เป็นความผิดของพวกเราสามพี่น้อง…ถ้าจะลงโทษ ผมในฐานะพี่ใหญ่คนนี้…ยินยอมรับโทษเหมือนกันครับ!” พี่ใหญ่ฉินเจี้ยนหัวพูดจาจริงจัง มีจิตใจกล้าหาญ
บนตัวพี่ใหญ่สวมเครื่องแบบทหารเหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนกับน้องสองคนคือ…อินทรธนูบนไหล่ของพี่ใหญ่คนนี้…ด้านบนมีแถบสีทองสองแถบ ตรงกลางประดับดาวสีทองสี่ดวง…สองแถบสี่ดวง
นี่ คือทหารระดับใหญ่ที่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้นำการเมืองคนสำคัญใดๆ ได้เลย อาศัยเพียงอินทรธนูสองแถบสี่ดวงบนไหล่นั้น…ยังสามารถทำให้เหล่าทหารที่ต่ำกว่าหลายสิบล้านเชื่อฟังได้
พี่ใหญ่ฉินเจี้ยนกัวโค้งตัวอยู่ด้านหน้าบิดาอย่างนอบน้อมขนาดนี้ มีเคารพอย่างเฉียบขาด
คิ้วที่หงอกของท่านผู้นำฉินเฉิงยักขึ้นเล็กน้อย ท้ายที่สุดถอนหายใจยาวๆ ทีหนึ่ง
“ช่างเถอะ…ช่างเถอะ…” ฉินเฉิงเอามือไพล่หลังไว้ ลักษณะแบบเข้มงวดกับเขานั้นก็หวังอยากให้เขาได้ดี
พี่รองและน้องสามทั้งสองคุกเข่าอยู่บนพื้น แม้แต่หายใจแรงๆ ยังไม่กล้าสักนิด
ชัดเจนมากว่าลูกไม้นี้ของพี่ใหญ่ช่วยได้มาก เกิดผลลัพธ์ที่แน่นอน บิดาเห็นแก่หน้าของพี่ใหญ่ ดูเหมือนว่าไม่คิดจะลงโทษพวกเขาแล้ว
ใบหน้าที่แข็งแกร่งองอาจของฉินเฉิงค่อยๆ กวาดมองผ่านพวกเขาสามพี่น้องทีหนึ่ง…
พี่น้องที่เป็นทหารยศนายพลสามคนนี้รู้สึกหัวใจเต้นแรง…นั่นคล้ายว่าเป็นความรู้สึกที่ถูกนายใหญ่จ้องมอง…ความรู้สึกนั้นทำให้พวกเขาหวาดหวั่น
“เรื่องนี้จะไม่เอาความกับพวกแกไว้ก่อน แต่จำเป็นต้องจัดการ” ฉินเฉิงที่ผมหงอกเต็มศีรษะเหมือนไม่โกรธแต่ยังน่าเกรงขาม “ในข่าวฉาวที่แพร่มา พูดถึงเฉินเป่ยผู้ชายคนนั้น…จับเขากลับมาให้ฉัน…ฉันอยากจะดูหน่อย เป็นไอ้หนุ่มที่ไม่อยากมีชีวิตกันคนไหนที่กล้ายุ่งกับหลานสาวของฉันฉินเฉิง?”
พี่รองที่คุกเข่าบนพื้นโค้งตัวเคารพ พูดจริงจัง “ครับ! คุณพ่อ! ผมจะเริ่มสั่งให้ค้นหาทั้งเมือง จะต้องพาเสี่ยวหยางและผู้ชายที่ชื่อเฉินเป่ยคนนั้นออกมามอบให้ถึงมือคุณพ่อให้ได้แน่นอนครับ!”
พอฉินเฉิงได้ยินคำพูดนี้ ชั่วขณะนั้นไฟโกรธก็ผุดขึ้นมาอีก
“ไอ้ลูกอกตัญญู แกยังจะค้นหาทั้งเมือง? แกอยากให้ข่าวฉาวนี้ทำให้ตระกูลฉินของฉันกลายเป็นเรื่องตลกของทั้งเมืองรึไง?” ฉินเฉิงนั้นเรียกได้ว่าโกรธสุดขีด มือที่แก่หง่อมกุมแน่น กล้ามเนื้อเส้นเลือดกำลังปูดขึ้นในชั่วพริบตา…
พี่รองตกใจจนร่างกายสั่นเทา รีบโค้งตัวทันที สีหน้าซีดเผือด
พี่ใหญ่ก้มตัวเคารพ พูดจาสุภาพ “คุณพ่อครับ ถ้าไม่อย่างนั้น…ผมจะให้ลูกชายเข้าไปที่เมืองหู้ไห่อย่างลับๆ สักรอบ จากนั้นพาหยางกลับมา…”
ความโกรธบนหน้าแก่หง่อมของฉินเฉิงถึงได้หายไปหลายเท่า
“อืม ให้ฉินเกอลงมือแล้วกัน เรื่องของรุ่นหลานตระกูลฉิน จำเป็นต้องปล่อยให้เขาที่เป็นพี่ชายคนนี้ลงมือแล้ว เกอลงมือ ฉันก็วางใจ” ฉินเฉิงค่อยๆ พูดขึ้น
“ครับ! ผมจะเข้าไปที่ฐานทัพ โยกย้ายเขากลับมาปฏิบัติภารกิจ!” พี่ใหญ่พยักหน้าจริงจัง จากนั้นอยากจะหมุนตัวออกไป
“เดี๋ยวก่อน” ท่านผู้นำฉินเฉิงกลับเรียกเขาไว้กะทันหัน
พี่ใหญ่หยุดฝีเท้าลง รออยู่ด้านข้างแบบนอบน้อม รอบิดาสั่งการ
“ไปตรวจสอบให้ฉันหน่อย ข่าวฉาวเรื่องนี้…สรุปมันแพร่ออกมาได้ยังไง…ใครเป็นคนทำ…หรือว่าบังเอิญ…?” ดวงตาที่แก่หง่อมของฉินเฉิงหรี่ลง ทันใดนั้นพูดจาล้ำลึกน่าประหลาดใจ
สายตาพี่ใหญ่แข็งทื่อ พยักหน้าแบบเคร่งเครียด “เข้าใจแล้วครับ!”
…
ย่านธุรกิจเมืองหู้ไห่ ตึกสูงระฟ้าเรียงรายนับไม่ถ้วน…ป่าคอนกรีตเสริมเหล็กที่ตัดสลับกันเหมือนกับป่าไม้ดั้งเดิมที่เกาะเลื้อย บรรดาสัตว์ป่าดุร้ายพวกนั้นกำลังยึดครองอยู่ในนั้น รอคอยจับเหยื่อกิน
ในอาคารใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้ชายลึกลับคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ฟังการรายงานของลูกน้องพนักงานอย่างนิ่งเฉยลุ่มลึก
“เจ้านาย…เมื่อวานตอนเช้า เอ๋อตงเฉินขนสินค้าสองคันรถมาดักล้อมหน้าประตูใหญ่เฟยหยางกรุ๊ป…โดยเฉพาะประกาศก้าวร้าวลงในข่าวด้วย…ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายกำลังไม่ค่อยดี…” ลูกน้องค่อยๆ พูดรายงาน
“รู้แล้ว” ผู้ชายลึกลับพยักหน้าล้ำลึก เหมือนทุกอย่าง…ล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา
“อีกอย่าง…เมื่อวานตอนเย็น…เอ๋อตงเฉินเจอกันกับหวางอู๋ตี๋แห่งเยี่ยนจิง…” ลูกน้องลังเลสักพัก พูดรายงานอย่างจริงจัง “เขาตบหวางอู๋ตี๋ไปทีหนึ่ง…โดยเฉพาะ…ยกรถของหวางอู๋ตี๋พลิกคว่ำด้วยมือเปล่า…”
ได้ยินคำพูดประโยคนี้ สายตาของผู้ชายลึกลับแข็งทื่อฉับพลัน…
“พูดอีกทีสิ”
ลูกน้องเล่าเรื่องเมื่อสักครู่นี้ใหม่อีกรอบหนึ่ง “เมื่อวานตอนเย็น เอ๋อตงเฉินเจอกับหวางอู๋ตี๋…จากนั้นตบหน้าหวางอู๋ตี๋ไปทีหนึ่ง…แล้วยกรถของหวางอู๋ตี๋พลิกด้วยมือเปล่า…ตอนนี้หวางอู๋ตี๋เจ็บหนักเข้าโรงพยาบาลไปแล้วครับ”
“มือเปล่า…ยกรถยนต์พลิกด้วยมือเปล่า?” ผู้ชายลึกลับหรี่ดวงตาขึ้นเล็กน้อย เสียงของเขามีความน่าครั่นคร้ามแหบแห้ง ราวกับเป็นสัตว์ป่าดุร้าย
“น่าสนใจ…น่าสนใจ…” ผู้ชายลึกลับค่อยๆ ฉีกมุมปากขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นทันใด
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…งั้นก็ช่วยผลักดันอีกสักตั้ง…” เสียงผู้ชายลึกลับพูดแบบน่าครั่นคร้ามและแหบแห้ง กลิ่นอายที่น่ากลัวค่อยๆ เผยออกมา “ราดน้ำมันใส่ไฟแทนพวกเขา…”
…
โรงพยาบาลผู่ตง
โรงพยาบาลหลักระดับประเทศแห่งนี้ ครอบครองอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย ระบบรักษาความปลอดภัยยิ่งเข้มงวดไร้ที่เปรียบ
หวางอู๋ตี๋นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ได้รับการตรวจของเครื่องมือทางการแพทย์ที่เทคโนโลยีขั้นสูงสารพัด ถึงแม้เขาจะเพียงแค่ได้รับบาดเจ็บไม่มาก…แต่เพื่อป้องกันสิ่งคาดไม่ถึง เขาจำเป็นต้องได้รับการตรวจร่างกายที่ละเอียดที่สุด คุณชายรองตระกูลหวางท่านนี้มีร่างกายล้ำค่า เมื่ออารมณ์เสียทีเพียงพอจะสั่นสะเทือนบุคคลทั้งเมืองหู้ไห่ได้…ความปลอดภัยของเขาจึงจำเป็นต้องทำให้ครบถ้วน
ในเวลานี้ รถไมบัคสีดำคันหนึ่งแล่นฉิวเข้ามาจากระยะไกลโดยกะทันหัน เดิมทีไม่สนใจการขัดขวางของพนักงานรักษาความปลอดภัยโรงพยาบาล ชนไม้กั้นประตูที่หน้าประตูใหญ่หักโดยตรง ก่อนจะพุ่งเข้าไปในโรงพยาบาล
ประตูรถไมบัคเปิดออก ผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่หมวกแก๊ป บนหน้าใส่ผ้าปิดปากและสวมแว่นดำค่อยๆ ก้าวลงจากรถ เขาปิดบังใบหน้าอย่างมิดชิด เดิมทีมองหน้าตาไม่ชัดเจน