สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 649
บทที่649 สู้ไม่ได้ก็ควักปืน
ตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออก ชั่วขณะนั้นสายตาของเฉินเป่ยล็อกไว้ที่รถออฟโรดด้านนอกอาคารสามคันนั้นแล้ว…รถออฟโรดยี่ห้อตงเฟิงที่แข็งแกร่ง? นี่…เป็นรถออฟโรดสมรรถนะเหนือชั้นที่กองทัพพิเศษของหัวเซี่ยถึงสามารถใช้งานได้
สายตาของเขาล็อกไปบนป้ายทะเบียนรถออฟโรดสามคันนั้น…พื้นขาว…ตัวอักษรแดง
ด้านหน้าป้ายทะเบียนประทับอักษรตัวใหญ่ที่เป็นสีแดงสองตัว—เกิงG
กองทหารเยี่ยนจิง…หน่วยรักษาการณ์ติดอาวุธ
ในชั่วขณะนี้สายตาของเฉินเป่ยเย็นยะเยือกถึงขั้นสุด แม้แต่กลุ่มกองทัพบก…ยังถูกพวกเขาแทรกแซงแล้วเหรอ?
ความตื่นตัวของเฉินเป่ยพุ่งสูงถึงขีดสุด… เขาเดินไปหน้าประตูใหญ่ทีละก้าว…ในแต่ละเท้าที่ก้าวออกมานั้น ลมหายใจของเขายิ่งอ่อนลง…แต่…จิตสังหารในแววตาเพียงหนึ่งเดียวยิ่งรวมตัวเพิ่มขึ้น นี่…คือการระวังตัวเป็นครั้งแรกที่แท้จริง…ตั้งแต่เขากลับมาหัวเซี่ย…
“พวกนาย มาหาฉันมีธุระอะไรงั้นเหรอ?” เสียงของเฉินเป่ยนิ่งสงบมาก สงบถึงขั้นสุด
ในเวลานี้ ประตูรถออฟโรดยี่ห้อตงเฟิงที่จอดอยู่ตรงกลางคันนั้นเปิดออกกะทันหัน
ผู้ชายสวมเครื่องแบบทหารคนหนึ่งค่อยๆ ก้าวออกมาจากรถ หลังจากผู้ชายคนนี้ลงรถแล้ว…เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งในเหตุการณ์ต่างเคารพเกรงขามในชั่วขณะนั้น…นั่นคือความเคารพและเชื่อฟังที่มาจากก้นบึ้งหัวใจ
ชั่วขณะที่เฉินเป่ยเห็นผู้ชายสวมเครื่องแบบทหารคนนี้…หัวใจเขาเต้นแรงทันใด
เฉินเป่ยอึ้งทึ่งไปทั้งตัวพอสมควร…สายตาของเขาจ้องผู้ชายคนนี้ไม่ขยับ…ความทรงจำในอดีต…เหมือนกับกำลังผุดขึ้นในชั่วขณะหนึ่ง…
เขาจำผู้ชายคนนี้ได้ ตอนนั้น…ที่กองทัพของเยี่ยนจิง พวกเขามีโชคชะตาได้เจอกันครั้งหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ได้ผูกพันลึกซึ้ง แต่เฉินเป่ยกลับจำเขาได้
ตระกูลฉิน ฉินเกอ
ตอนนั้นฉินเกอเป็นดาวดวงใหม่ทางทหารชั้นสูงสุดของกลุ่มกองทัพบก บุกตะลุยสู้ได้พอฟัดพอเหวี่ยง กวาดล้างทั้งกองทัพ พลังรุ่งโรจน์พุ่งพรวด ส่วนเฉินเป่ย…คือทหารโดดเด่นที่ซ่อนตัวในหน่วยลึกลับ
พวกเขาสองคน คนหนึ่งอยู่ในที่แจ้ง กวาดล้างด้วยจิตใจเด็ดเดี่ยว อีกคนหนึ่งอยู่ที่มืด ไร้ศัตรูสูงตระหง่าน ราวกับดาวเด่นทางทหารสองดวงที่สะท้อนแสงแวววาวให้กันและกัน
เฉินเป่ยมองอินทรธนูบนไหล่ฉินเกอแวบหนึ่งด้วยสายตาล้ำลึกซับซ้อน ด้านบนติดสัญลักษณ์สะดุดตานั้นไว้อย่างเด่นชัด: สองแถบหนึ่งดวง นึกไม่ถึง…ไม่เจอเจ็ดปี คุณชายตระกูลฉินท่านนี้…คาดไม่ถึงจากผู้หมวด จะเลื่อนขึ้นไปเป็นพันเอกแล้ว เลื่อนขั้นรวดเร็วระดับนี้ ทำได้เพียงใช้คำว่าสยองขวัญมาบรรยายเลยทีเดียว
เจ็ดปีผ่านไป ฉินเกอยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับเทพเจ้าแห่งสงครามคนเดิมที่พอสู้ได้อย่างทัดเทียมกันในตอนนั้น
นึกถึงตรงนี้…ในแววตาของเฉินเป่ยแอบมีความหมายเสียใจน่าประหลาดอยู่บ้าง…ทหารเจอกัน…ปัจจุบันนี้…กลับต้องปะทะกันด้วยมีดเหรอ?
ในขณะที่เฉินเป่ยจ้องฉินเกออยู่ พันเอกที่อายุน้อยสุดของเยี่ยนจิงท่านนี้ก็กำลังจ้องเฉินเป่ยเช่นกัน…
สายตาฉินเกอจ้องเฉินเป่ยไม่ขยับ ไม่รู้ทำไม…ผู้ชายตรงหน้าคนนี้…ถึงแอบทำให้เขามีความรู้สึกคล้ายว่าเคยรู้จักอย่างหนึ่ง…?
ความรู้สึกแบบนี้ราวกับ…เคยเจอกันเมื่อหลายปีก่อน? ความทรงจำที่มีความหมาย แต่กลับ…รู้สึกว่าแปลกหน้าอยู่บ้าง…
สายตาของฉินเกอแข็งทื่อเล็กน้อย เก็บซ่อนความสงสัยเอาไว้ในใจ ทั้งตัวเขาตรงดิ่งทรงพลังราวกับต้นสน ท่วงท่าของทหารปล่อยออกมาแบบไร้รูปร่าง ทำให้คนใจสั่น
“นายคือเฉินเป่ย?” เสียงฉินเกอถามอย่างจริงจัง มีความหมายจู่โจมที่เรียบง่ายแต่ดุเดือดนิดๆ
เฉินเป่ยได้ยินแล้วตะลึงนิดหน่อย…เขาจำตัวเองไม่ได้? วินาทีนี้ ในหัวสมองเฉินเป่ยครุ่นคิดไม่หยุด ความตกใจและความสงสัยกำลังก่อตัวขึ้น
“น้องสาวฉัน ฉินหยาง ถูกนายลักพาไป?” เสียงฉินเกอยิ่งหนักหน่วงอีกระดับ บีบเคล้นถาม
ซู่! ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ชั่วขณะนั้นสายตาของเฉินเป่ยตะลึงค้างแล้ว น้องสาว…ฉินหยาง? นี่…ในเวลานี้เฉินเป่ยยังไม่ตอบสนองเข้ามาสักเท่าไร…สรุปมันเรื่องอะไรกันแน่?
“นาย…มาเพราะน้องสาวของนาย?” เฉินเป่ยถามอย่างระแวงที่สุด
ฉินเกอจ้องเฉินเป่ยตาไม่กะพริบ ค่อยๆ พยักหน้า
วินาทีนี้ สมองของเฉินเป่ยกำลังหมุนวนฉับไว คาดคะเนไม่หยุด…ที่ฉินเกอคนนี้มา…คาดไม่ถึงเพราะน้องสาวของเขา?…อย่างนั้นก็หมายความว่า…เขาไม่รู้จักสถานะที่แท้จริงของเขา? ฉินเกอ…ไม่เกี่ยวข้องกับอิทธิพลกลุ่มนั้น?
“นาย…ไม่รู้จักฉันเหรอ?” เฉินเป่ยถามขึ้นอย่างระแวงนิดๆ ถึงแม้ว่าในใจจะแอบคาดการณ์ไว้แล้ว…แต่เฉินเป่ยยังคงมีความระแวงอยู่…อิทธิพลกลุ่มนั้นของเยี่ยนจิงช่างสยดสยองและเหี้ยมโหดเหลือเกิน…ไม่รู้ว่าพวกเขาแทรกซึมเข้าไปในองค์กรที่มีอิทธิพลมากเท่าไร…เฉินเป่ยจึงไม่สามารถวางใจได้เด็ดขาด
สายตาฉินเกอตะลึงเล็กน้อย ส่ายหน้า “เหมือนรู้จัก…แต่ก็ไม่เคยรู้จัก วันนี้เป็นการเจอครั้งแรก และเป็นครั้งสุดท้ายด้วย”
เฉินเป่ยจ้องสายตาของเขาเขม็ง ราวกับอยากมองร่องรอยสักนิดจากในแววตาของเขาออกมา…สายตาของฉินเกอเคร่งขรึมดูน่าเคารพ ไม่มีกระเพื่อมหวั่นไหวแต่อย่างใด ละเอียดลึกซึ้งไร้ที่เปรียบ
ในขณะนี้ความระวังในใจเฉินเป่ยถึงค่อยๆ ผ่อนลง…ดูแล้ว…เป็นตนเองที่เข้าใจผิดไป…ฉินเกอคงแค่มาตามหาน้องสาวเขา ไม่ใช่เพราะสถานะของตนเอง…
แต่ว่าในขณะเดียวกัน มุมปากของเฉินเป่ยเผยยิ้มเยาะตนเองที่สังเกตไม่ออก…หายไปนานขนาดนี้แล้ว รหัสลับและชื่อของตนเอง…กลัวว่าจะถูกคนกลุ่มนั้นของเยี่ยนจิงลืมไปตั้งนานแล้วมั้ง…แม้แต่ฉินเกอยังจำตนเองไม่ได้เลย…แต่บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตาที่ลิขิตมา…เจ็ดปีก่อน การพบหน้ากันเพียงครั้งเดียวของเฉินเป่ยและฉินเกอ สิ่งที่ฉินเกอจำได้มีเพียงชื่อลับในการปฏิบัติงานในหน่วยของเขาเท่านั้น…
เพราะข้อจำกัดพิเศษของหน่วยลึกลับ ชื่อแท้จริงของเฉินเป่ย…เกรงว่าทั้งเยี่ยนจิงออาจจะมีไม่กี่คนที่รู้…ดังนั้น เขาถึงถูกกำจัดไปหมดเกลี้ยงเช่นนี้…ถึงที่สุดเช่นนี้ เพราะเดิมทีชื่อของเขาไม่มีคนรู้…ร่องรอยข้อมูลของเขายิ่งไม่มีใครคนใดสามารถค้นหาได้…ดังนั้นเขาจึงหายตัวไปแบบนี้…
ตอนนั้นเฉินเป่ยโชคดีหนีรอด…แม้แต่หน้าตายังถูกทำลาย…ปัจจุบันนี้หน้าตาของเฉินเป่ยผ่านการผ่าตัดศัลยกรรมมาครั้งแล้วครั้งเล่า…ถึงพอฟื้นฟูใบหน้าในตอนนั้นได้…บางทีในหลายปีมานี้ เขาคงเปลี่ยนไปมากเกินไปล่ะมั้ง…แต่จำไม่ได้คือดีที่สุด ถ้าถูกฉินเกอจำสถานะได้…อย่างนั้นเกรงว่าเรื่องราวจะยิ่งร้ายแรงขึ้น
“เฉินเป่ย ฉันไม่สนว่าเธอกับนายเป็นอะไรกัน…ข่าวลือฉาวโฉ่พวกนั้นฉันก็ไม่อยากสนใจด้วย วันนี้ ฉันมีเพียงคำขอเดียว…ส่งเธอมา” เสียงฉินเกอเรียบง่ายทรงพลังไร้ที่เปรียบ มีอาการสั่นแบบพูดไม่ถูก เหมือนทำให้คนไม่มีทางต่อต้าน
เฉินเป่ยกลับมาจิตใจสงบดังเดิม ค่อยๆ จุดบุหรี่มวนหนึ่งขึ้น พูดแบบลุ่มลึก “ฉันไม่รู้จัก”
ฉินเกอไม่ได้พูดอะไร หมายความว่ายอมรับในปริยาย สายตาของเขาจ้องเฉินเป่ยตรงๆ พ่นสองคำออกมา “ส่งคน”
เฉินเป่ยพ่นควันบุหรี่ออกมา หัวเราะนิ่งๆ “พี่ใหญ่ พวกนายครอบครัวนี้บีบบังคับคนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ว่าเดิมทีฉันไม่รู้จักไง…พวกนายทำแบบนี้ เกรงว่าไม่ค่อยดีมั้ง? ตอนนี้เป็นสังคมเปิดกว้างสนับสนุนอิสระนะ”
“ใครเป็นพี่ใหญ่นาย?” สายตาฉินเกอแข็งทื่อ มีความหมายเย็นชา “ความอดทนของฉันมีจำกัด รีบส่งหยางออกมา ไม่อย่างนั้นอย่าโทษว่าฉันรุนแรง”
เฉินเป่ยหัวเราะอย่างไม่สนใจ “พี่ใหญ่ บอกว่าไม่รู้จักก็ไม่รู้จักสิ นายต้องให้ฉันยอมรับว่ารู้จัก นี่…ไม่ค่อยดีมั้ง?”
อากาศเหมือนเปลี่ยนไปกดทับอยู่บ้าง
เฉินเป่ยเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ ในปากคาบบุหรี่ ลักษณะท่าทางอันธพาลไร้ขอบเขต
“นายจะไม่ยอมส่งคนมา?” เสียงฉินเกอเปลี่ยนไปเย็นชาหลายระดับ ท่าทางที่น่าครั่นคร้ามของทหารนั้น เหมือนกำลังปลดปล่อยในชั่วพริบตาเดียว
ซู่! ทหารที่เรียงสองแถวเป็นระเบียบด้านข้างนั้นล้อมเข้ามาทันที ล้อมรอบแบบต่อสู้ที่เป็นวงแน่นหนาน่าสะพรึงกลัว ท่วงท่าดูเย็นเฉียบ
นี่คือทหารแท้จริงกลุ่มหนึ่ง…ทหารที่ผ่านการฝึกฝนที่โหดเหี้ยมมากลุ่มหนึ่ง
เฉินเป่ยกวาดสายตาผ่านเหล่าทหารกลุ่มนี้แวบหนึ่ง สายตาของแต่ละคนล้วนหนักแน่นเป็นพิเศษ เป็นทหารเยี่ยมกลุ่มหนึ่ง ดูแล้วหลายปีมานี้ฝีมือนำทหารของฉินเกอมีการพัฒนาขึ้นมามากๆ ทหารกลุ่มนี้ แต่ละคนดูเป็นทหารดี ผู้ที่ไร้ศัตรูในสนามรบ สะสมประสบการณ์มานาน เพียงใช้สายตามอง ย่อมสามารถแยกแยะความสามารถออก
หน้าประตูอาคาร จางหยุ่งกับเหล่าพนักงานรักษาความปลอดภัยกลุ่มนั้นต่างตกใจฉากที่น่าสะพรึงกลัวนี้จนอึ้งค้างกันไปหมดแล้ว
บรรดาทหารที่ลักษณะท่าทางดุดันกลุ่มนี้…ล้อมรอบพี่เฉินเอาไว้ตรงกลางกัน…นี่คืออยากทำอะไร?
เฉินเป่ยหัวเราะนิ่งๆ ควันบุหรี่ที่มุมปากค่อยๆ ล่องลอยอยู่ในอากาศ เหมือนว่าจิตใจของเขาในเวลานี้ดูเล่นแง่ไร้ขอบเขต เดิมทีเขาเหมือนไม่เห็นทหารกลุ่มนี้อยู่ในสายตาเลย
ท่วงท่าฉินเกอสูงตรง จ้องเฉินเป่ยสายตาไม่กะพริบ พูดจาเรียบง่ายแต่ทรงพลัง “ฉันไม่อยากใช้ความรุนแรง แต่ถ้านายยังทำผิดแล้วไม่รู้อีก งั้นคงได้แต่ขอโทษแล้ว”
“ขอโทษนะ…” เฉินเป่ยค่อยๆ ส่ายหน้า “ฉันไม่รู้จัก”
ซู่! บรรยากาศเงียบงันถึงที่สุด
ในชั่วพริบตาเดียว บรรดาทหารกลุ่มนั้นลงมือฉับพลัน
เหล่าทหารเครื่องแบบลายพรางพุ่งโจมตีเข้ามาในชั่วขณะนั้น ใช้วิธีการทางทหารแบบมาตรฐานเข้าจับกุมคว้าไว้โดยตรง อยากให้เฉินเป่ยยอมจำนน
เห็นการกระทำที่คุ้นเคยนี้เข้า…กระบวนท่าที่คุ้นเคย…แววตาของเฉินเป่ยหมุนวนเล็กน้อย…นี่คือกองทัพที่ไม่เห็นมานานแล้ว
มุมปากเฉินเป่ยฉีกเส้นรัศมีวงกลมขึ้น เขาไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด ยังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเฉยเมยขนาดนี้
ทหารหลายคนนั้นจับกุมเขาในชั่วขณะนั้น กดกระดูกไหปลาร้าลงโดยตรง แขนทั้งสองของเฉินเป่ยถูกพลิกล็อกเอาไว้แน่น ข้อต่อข้อมือ…คอ ข้อต่อเข่า ถูกฝ่ายตรงข้ามล็อกไว้ทั้งหมด ขยับเขยื้อนไม่ได้
“พี่เฉิน…” เห็นฉากนี้เข้า สีหน้าจางหยุ่งเปลี่ยนไป มีความประหม่าตกใจ พี่เฉิน…คาดไม่ถึงถูกทหารกลุ่มนี้จับล็อกไว้แล้ว?
เหล่าพนักงานรักษาความปลอดภัยโดยรอบตะลึงค้างเช่นกัน…มองฉากนี้แบบตกตะลึงพอสมควร…
เวลานี้บรรดาพนักงานที่เข้าๆ ออกๆ หน้าประตูอาคารเหล่านั้นต่างตกใจจนนิ่งค้างไปกับเหตุการณ์ฉากนี้เช่นกัน…
เหล่าพนักงานมองฉากนี้ด้วยความอึ้งทึ่งตกใจ…ทหารเย็นชาที่สวมเครื่องแบบลายพรางกลุ่มหนึ่งจับกุมเฉินเป่ยไว้แน่น นี่คือ…อยากทำอะไร?
เฉินเป่ยหัวเราะนิ่งๆ เหมือนไม่ได้หวาดกลัวอะไร
“ให้โอกาสนายอีกครั้งหนึ่ง” สีหน้าฉินเกอเย็นชา พูดขึ้นช้าๆ
“ท่าทีแบบนี้ของนาย ถึงฉันจะทำจริง ก็คงไม่ส่งให้หรอก” เฉินเป่ยพูดจานิ่งสงบไร้ที่เปรียบ
“จับกลับไป” สีหน้าฉินเกอเย็นเฉียบ เขาขี้เกียจมาพูดจาไร้สาระแล้ว หมุนตัวอยากขึ้นรถทันที
“ปึงๆๆ—!” ทันใดนั้นเสียงดังที่แหลมและเศร้ารัดทนดังก้องขึ้นหลายที…
ฝีเท้าฉินเกอชะงัก ชั่วพริบตาเดียวหันหน้ากลับมา
เห็นเพียง…บรรดาทหารลูกน้องกลุ่มนั้นของตนเอง ร้องโหยหวนนอนเกลื่อนอยู่เต็มพื้น ทั้งหมดนอนขวางกันบนพื้น…ร้องทรมานเจ็บปวด
ในขณะนี้สายตาฉินเกอแข็งทื่อทันที
เขาจ้องเฉินเป่ยไปตรงๆ ความรู้สึกแบบนั้น…เหมือนว่า…เจอพวกเดียวกันเข้าแล้ว
เฉินเป่ยปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าออก พูดจาเรียบเฉย “ขอโทษด้วยนะ ฉันยังต้องทำงาน พวกนายเชิญกลับไปเถอะ”
เฉินเป่ยพูดพลางหมุนตัวอยากออกไปเดี๋ยวนั้น…
“หยุดนะ” เสียงที่หนาวเย็นเรียบง่ายแต่มีพลังของฉินเกอนั้นดังก้องในอากาศ
เฉินเป่ยไม่ได้สนใจ ล้วงมือทั้งสองไว้ในกระเป๋ากางเกงค่อยๆ เดินไปยังด้านในอาคาร…
ชั่วพริบตาเดียว อากาศระเบิดแวบ
ฝีเท้าของฉินเกอแวบไป ร่างกายดุจแสงอาทิตย์ที่สาดส่องยาวเหยียด หมัดหนึ่งพุ่งเข้ามาโดยตรง สะท้านไปทั้งฟ้า
“ปึง—!” เฉินเป่ยยังไม่ทันตอบสนองเข้ามา ร่างกายก็ถูกหมัดหนึ่งซัดเข้ามาตรงๆ…พลังมหึมาหมัดหนึ่งโจมตีจนลอยออกไปทั้งตัว…ก่อนจะร่วงลงพื้นอย่างแรง
ทั้งตัวฉินเกอตรงดิ่งและเย็นชา ก้าวเท้าเข้ามาช้าๆ “ส่งหยางมา แล้ววันนี้จะปล่อยนายไป”
เฉินเป่ยค่อยๆ ปีนขึ้นมาจากบนพื้น ปัดฝุ่นออกจากตัว ก่อนจะพูดจาน่าประหลาดและลุ่มลึก “นายกำลังฝันอยู่เหรอ?”
สายตาฉินเกอแข็งทื่อเฉียบพลัน ก้าวเท้าเข้ามาทันที…ปล่อยหมัดหนึ่งออกมาอีกครั้ง มวยจูนถี่ จิตสังหารแข็งแกร่ง
ลูกตาของเฉินเป่ยหดตัวในชั่วขณะนั้น…ในที่สุด…ก็มาแล้วเหรอ? การสู้รบนี้ที่เขาปรารถนา…มานาน ศัตรูในตอนนั้น…ให้ฉันได้ดูความสามารถของนายหน่อยแล้วกัน…ว่าถดถอยลงหรือไม่
“ตึง—!” เฉินเป่ยปล่อยหมัดหนึ่งออกไปทันที
หมัดสองข้างจู่โจมปะทะกันดุจการสังหารสยองขวัญ อากาศคล้ายว่าบิดเบี้ยวรุนแรงในชั่วพริบตาเดียว
ขณะเดียวกันทั้งสองคนถูกพลังสะท้อนกลับที่น่ากลัวสั่นเขย่าจนลอยออกมาแล้ว
ฝีเท้าของฉินเกอเหยียบลงบนพื้นหลายสิบก้าว ร่างกายถึงได้หยุดนิ่งลง สายตาของเขาจ้องเฉินเป่ยเขม็ง ในแววตามีความไม่อยากเชื่อ ด้านหน้า…ผู้ชายที่ไม่เข้าตาเลยสักนิดคนนี้…คาดไม่ถึง…จะสามารถปะทะหมัดกับตนเองจนตีเสมอได้?
เวลานี้หมัดข้างนั้นของฉินเกอยังแอบสั่นสะเทือนอยู่เลย…พลังสยองขวัญของเฉินเป่ยนั้นเหมือนนำผลกระทบที่มหาศาลมาให้เขาแล้ว เขาพันเอกของกองทัพที่น่าเกรงขาม…ผ่านประสบการณ์มาโชกโชน… แต่…คาดไม่ถึงจะถูกหมัดของคนธรรมดาคนหนึ่งต่อยจนถอยไป?
ชั่วพริบตาเดียว ทักษะของฉินเกอก็ระเบิดออก… เขาไม่พอใจ วันนี้อยู่ต่อหน้าทหารหลายสิบนายของตนเอง เขาจำเป็นต้องสู้ สู้ถึงที่สุด เอาชนะฝ่ายตรงข้าม จากนั้นพาฉินหยางไป
ร่างกายเฉินเป่ยพุ่งโจมตีทันที… สองคนที่เป็นคู่แข่งกันในตอนนั้น…วินาทีนี้ราวกับย้อนกลับไปในอดีต…
คนหนึ่งเป็นหนุ่มหล่อแห่งกองทัพที่กวาดล้างด้วยจิตใจเด็ดเดี่ยวในตอนนั้น… อีกคนเป็นทหารบ้าคลั่งที่หลบซ่อนของหน่วยพิเศษ การต่อสู้ในวันนี้ เหมือนเป็นสิ่งที่ลิขิตมาในชีวิต
ร่างกายของทั้งสองอย่างกับดาวตก…พุ่งชนฉับพลัน…
“ตึงๆๆ…!” อากาศสั่นสะเทือน เสียงการต่อสู้ที่ดุเดือดสยองขวัญดังกระหึ่มไม่หยุด… ภาพเงาสองคนโจมตีกันดุจสายฟ้าแลบอันสยดสยอง…
บรรดาพนักงานทั้งหมดโดยรอบและพนักงานรักษาความปลอดภัยล้วนตื่นตระหนกจนจะแข็งเป็นหินแล้ว นี่…ช่างน่าสยองขวัญเหลือเกิน ฉากนี้…ยิ่งกว่าฉากต่อสู้เทคนิคพิเศษในละครเสียอีก
พื้นผิวแตกร้าวพังทลายไม่ขาดสาย…ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วทิศ เฉินเป่ยกับฉินเกอปะทะเตะต่อย แต่ละท่าล้วนเป็นการสังหารเอาชีวิต
บรรดาทหารที่สวมเครื่องแบบลายพรางกลุ่มนั้นกุมหมัดแน่น ถลึงดวงตาโต จ้องฉากที่สยองขวัญและน่าตกใจนี้ไม่ขยับ… ผู้ชายที่ดูไม่เข้าท่าคนนี้…คาดไม่ถึง…สามารถต่อสู้ได้…? นี่…เกินกว่าความคาดหมายของพวกเขาเสียจริง หัวหน้า…ถือว่าเป็นการมีตัวตนที่สยองขวัญสุดในกลุ่มกองทัพบก… นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร? ผู้ชายคนนี้มีสถานะที่มาอย่างไรกัน?
ฉินเกอยิ่งสู้ยิ่งโหด…สีหน้าของเขานับวันยิ่งตื่นตระหนก ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้…เหนือกว่าการวิเคราะห์ของเขา ทักษะสยดสยองเช่นนี้…แม้กระทั่ง…แอบทำให้เขายากจะต้านทานไว้พอสมควร
ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้ฉินเกอยังมียั้งมือไว้…อย่างนั้นเวลานี้…ก็คือปล่อยออกมาสุดกำลัง
เฉินเป่ยราวกับมีเทพเจ้าแห่งสงครามมาเข้าร่าง ทักษะวาร์ปหายผ่านไป…โจมตีสังหารแบบสยองขวัญ ร่างกายของฉินเกอ…คาดไม่ถึงถูกบีบจนถอยไปเรื่อยๆ…พื้นผิวแตกร้าวออกมาเป็นรูปรอยเท้าที่ลึกไม่ขาดสาย
ในลูกตาของเฉินเป่ยเผยความตื่นเต้นที่น่าประหลาดและซับซ้อนออกมา…ศัตรูเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว…ฝีมือของเขาก้าวหน้าขึ้นจริง… เจ็ดปีก่อน พวกเขาเฉียดกันไปมา…นึกไม่ถึงเจ็ดปีให้หลัง…สามารถมีโอกาสต่อสู้กันอีก…แบบถึงอกถึงใจ
เฉินเป่ยร้องตะโกนทีหนึ่ง การสู้รบดุเดือดขึ้น เส้นเลือดที่มือขวาปูดนูนขึ้นในชั่วขณะนั้น กล้ามเนื้อระเบิดแตก…
“ตึง!” ปล่อยหมัดออกไป อากาศสั่นสะท้านหดตัว…
เสี้ยววินาทีนี้… ลูกตาฉินเกอหดเฉียบพลัน… หมัดนี้…ทำให้เขารู้สึกถึงความหวาดกลัวที่พูดไม่ถูก นี่คือความรู้สึกกลัวที่ตั้งแต่เขาเป็นทหารมาสิบกว่าปียังไม่เคยเป็นมาก่อน…
ฉินเกอโบกหมัดสกัดกั้นการโจมตีที่เข้ามา
“ปึง—!” พลังสยองขวัญจู่โจมในชั่วพริบตา ทั้งตัวฉินเกอเหมือนโดนฟ้าผ่า…ถูกต่อยจนลอยไปโดยตรง…
ฉินเกอร่วงลงบนพื้น…พื้นที่ใต้ตัวแตกร้าวแถบหนึ่ง…
บรรดานักรบทหารที่ด้านข้างกลุ่มนั้นเบิกดวงตาโต ไม่อยากเชื่อโดยสิ้นเชิง หัวหน้าของพวกเขา…คาดไม่ถึงพ่ายแพ้แล้ว?? นี่เป็นไปได้อย่างไร?
วินาทีนี้ ทุกคนล้วนหยุดหายใจกันหมดแล้ว…
สีหน้าฉินเกอสั่นไหว ร่างกายดีดขึ้นมาฉับพลัน กระโดดขึ้นมาจากบนพื้น เขาตัดสินใจเฉียบขาด ยกปืนดำขลับน่าสะพรึงกลัวกระบอกหนึ่งขึ้นทันที ชั่วขณะนั้นล็อกเป้าไปที่เฉินเป่ย
บรรยากาศเงียบงันทั้งหมด
เวลานี้เห็นได้ชัดว่าฉินเกอกระเซอะกระเซิงพอสมควร…เนื้อตัวมอมแมม…คาดไม่ถึงว่านายทหารพันเอกที่น่าเกรงขามจะถูกคนต่อยมาหมัดเดียวจนถอยหลังพ่ายแพ้…นี่…คือความอัปยศอดสูอันใหญ่หลวงของกลุ่มกองทัพบกเลยทีเดียว…
เวลานี้มีเพียงปืนดำขลับน่าสะพรึงกลัวกระบอกนั้นในมือเขาถึงสามารถจัดการเฉินเป่ยคนนี้ได้…
เฉินเป่ยเผชิญหน้ากับปากกระบอกปืนที่หนาวเย็น ลูกตาแข็งทื่อเล็กน้อย แต่กลับยังคงนิ่งสงบเฉยชาแบบชัดเจน
“พวกนายตระกูลฉินไม่มีเหตุผลขนาดนี้เลยเหรอ? ต่อสู้ไม่ได้…ก็คว้าปืน แล้วมันจะมีความหมายอะไร?” เสียงเฉินเป่ยนิ่งเฉยไร้ที่เปรียบ แต่กลับมีความหมายที่น่าประหลาด
ได้ยินคำพูดประโยคนี้ สีหน้าของฉินเกอสั่นเบาๆ นี่…ดูต่ำช้าอยู่บ้างจริงๆ…เพียงแค่…นี่เป็นเพียงวิธีการเดียว… ผู้ชายที่ชื่อเฉินเป่ยด้านหน้าคนนี้ช่างน่าสยดสยองเกินไป…สยองจนฉินเกอพันเอกคนนี้ทำได้เพียงคว้าปืนมาต้านทาน…
“เฉินเป่ย ฉันไม่อยากทำให้นายลำบากใจ ขอเพียงนายส่งฉินหยางน้องสาวของฉันออกมา ฉันจะรีบปล่อยนายไปทันที” เสียงของฉินเกอเย็นชามาก เย็นชาถึงขั้นสุดเลย
เฉินเป่ยหรี่ดวงตาเล็กน้อย…ที่เขารำคาญที่สุด…คือคนอื่นมาข่มขู่เขา…
“ฟึ่บ—!” ร่างกายเฉินเป่ยดุจสายฟ้าแลบ กลายเป็นภาพวืดแล้ว…