สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 653
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 653 ลักพาตัวเย่ชวง
ตอนที่หวางเหวินห้าวกำลังมีสีหน้าดุร้าย โทรศัพท์ส่วนตัวก็ดังขึ้นมา
เป็นสายของน้องชายอย่างหวางอู๋ตี๋
“พี่ ไอ้เฉินเป่ย…” เสียงเย็นยะเยือกของหวางอู๋ตี๋ดังออกมาจากปลายสาย
“ฉันรู้แล้ว แผนผิดพลาดและล้มเหลว” เสียงของหวางเหวินห้าวดุดัน ความเย็นชาฉายออกมาจากแววตาของเขา เขาคือโอรสแห่งสวรรค์รุ่นแรกของตระกูลหวัง เป็นคนที่มีอำนาจและสูงส่ง แผนของเขาไม่เคยผิดพลาดมาก่อน แต่วันนี้กลับเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่!
“พี่ ผมจะฆ่าเฉินเป่ย จะฆ่ามัน!” เสียงอันดุร้ายของหวางอู๋ตี๋ดังออกมาจากปลายสาย ตอนนี้คุณชายรองแห่งตระกูลหวังโกรธเป็นอย่างมาก
“ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไร ถึงจะต้องใช้อำนาจของตระกูล ผมก็จะฆ่ามันให้ได้!!” เสียงของหวางอู๋ตี๋สั่นเพราะความอาฆาต
ผู้เป็นพี่ชายอย่างหวางเหวินห้าวเงียบไป จู่ๆ แววตาของเขาก็นิ่ง
หลังจากผ่านไปนาน หวางเหวินห้าวจึงพูดขึ้นมาว่า “ได้ ในเมื่อจะฆ่าก็ต้องรีบฆ่า!!” น้ำเสียงของหวางเหวินห้าวน่ากลัวเป็นอย่างมาก กลิ่นการนองเลือดแผ่ซ่านออกมา
เมื่อได้ยินพี่ชายพูดเช่นนั้น หวางอู๋ตี๋รีบพูดทันทีว่า “พี่ ผมต้องทำยังไง ขอแค่สามารถฆ่าเฉินเป่ยได้ จะต้องแลกด้วยอะไรก็ยอม!!”
หวางเหวินห้าวสูดหายใจเฮือก จากนั้นจึงพูดยืดยาวออกมาว่า “ต้องเปลี่ยนแผนการในวันนี้อย่างรวดเร็ว ต้องดำเนินการผนวกบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปให้เร็วที่สุด”
“พี่หมายความว่า เราสามารถจัดการกับบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปได้แล้วอย่างนั้นเหรอ” แววตาของหวางอู๋ตี๋นิ่งไป ความน่ากลัวถูกปลดปล่อยออกมา บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปคือกุญแจสำคัญที่จะส่งผลกระทบกับตระกูลหวังในอนาคต ในที่สุดก็จะลงมือแล้วอย่างนั้นเหรอ แถมครั้งนี้พี่ชายยังเป็นคนสั่งการเองอีกด้วย
หวางเหวินห้าวพยักหน้าช้าๆ “รีบจัดการให้จบๆ ต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ!”
คุยโทรศัพท์ไปสามชั่วโมงเต็มๆ สองบุรุษแห่งสวรรค์ของตระกูลหวังพูดแผนการร้ายที่น่ากลัวผ่านทางโทรศัพท์ แผนการนี้จะผนวกตระกูลหวังของพวกเขาให้สำเร็จในทันที
หลังจากที่หวางเหวินห้าววางสายจากน้องชายของตัวเอง เขารีบหยิบซองหมายเลขโทรศัพท์สีแดงที่เป็นเบอร์ของบุคคลทางการเมือง จากนั้นจึงโทรออกไปยังเบอร์หนึ่ง
บนถนนยาวในเมืองเยี่ยนจิง
จู่ๆ พ่อของหวางเหวินห้าวได้รับโทรศัพท์ของลูกชายตัวเอง เมื่อได้ยินรายงานจากลูกชายอย่างหวางเหวินห้าว สีหน้าของเขาก็นิ่งไป สุดท้ายก็พยักหน้า
บ้านตระกูลหวังที่เยี่ยนจิง
ผู้นำตระกูลหวังยืนเอามือไพล่หลังชมดวงจันทร์อยู่ที่ระเบียงของห้องใต้หลังคา ดวงตาจ้องมองท้องฟ้าอย่างลึกซึ้งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
คนใช้ผู้ดูแลบ้านคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่ข้างกาย เพื่อรอการอนุมัติจากนายท่านใหญ่
หลังจากผ่านไปนาน นายท่านใหญ่หวางสูดหายใจลึก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำตามแผนของเหวินห้าว รีบทำรีบจบ” น้ำเสียงของนายท่านใหญ่หวางลุ่มลึก และแฝงไปด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่
ผู้ดูแลบ้านพยักหน้าอย่างจริงจัง
นายท่านใหญ่หวางสะบัดแขนเสื้อ และพูดอย่างจริงจังว่า “ติดต่อตระกูลหยางแห่งมณฑลส่าน ตอนนี้พวกเราต้องให้พวกเขาช่วย”
เมื่อได้ยินคำว่าตระกูลหยาง ผู้ดูแลบ้านถึงกับเบิกตาโพลง พลางพูดอย่างตกใจว่า “ท่านผู้นำครับ จะใช้ตระกูลหยางจริงๆ เหรอครับ”
“ถึงตอนนี้แล้ว เมืองหู้ไห่กำลังเกิดความวุ่นวาย จะต้องมีเรื่องเปลี่ยนแปลงแน่ การที่ทำให้ศัตรูไม่สามารถตอบโต้ได้ยังดีกว่าที่เอาแต่แอบซุ่ม ครั้งนี้เป็นโอกาสของตระกูลหวัง” นายท่านใหญ่หวางลูบหนวดตัวเองเบาๆ อำนาจแผ่ออกมาบนตัวของเขา นายท่านใหญ่หวางพูดอย่างเด็ดขาด!
จากคำสั่งของนายท่านใหญ่หวาง คำสั่งลับออกจากตระกูลหวังแห่งเยี่ยนจิง และแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน เมืองหู้ไห่ตื่นจากการหลับใหล ประกายแสงสีแดงส่องมาจากทิศตะวันออกและค่อยๆ ส่องสว่างไปทั้งเมืองที่หรูหรา
ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงเช้า แต่เฉินเป่ยยังนอนหลับอยู่บนเตียง วันนี้เขานอนตื่นสายอีกแล้ว
“นายท่าน ไอ้นั่นโทรมาอีกแล้ว นายท่าน ไอ้นั่นโทรมาอีกแล้ว” จู่ๆ เสียงมือถือก็ดังขึ้นทำลายความเงียบ เฉินเป่ยสะดุ้งขึ้นจากการหลับใหล
เขารีบหยิบมือถือ ประธานเทพธิดาโทรมา
“เฉินเป่ย นี่เก้าโมงแล้ว นายอยู่ไหน” เสียงก้องกังวานของหลีชิงเยียนดังออกมาจากโทรศัพท์ แต่เสียงของเธอดูเย็นชา
“ขอโทษที ผมตื่นสาย”
คนปลายสายอย่างหลีชิงเยียนไม่ได้พูดอะไรมาก เธอพูดเพียงประโยคเดียวว่า “นายรีบมาที่นี่ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
เฉินเป่ยอึ้งไป ทำไมเขารู้สึกว่าวันนี้เธอแปลกไป
เมื่อวางสาย เฉินเป่ยบิดขี้เกียจ เขาปวดเมื่อยไปทั้งตัว แค่ขยับนิดหน่อยมันก็เจ็บลามไปทั้งตัว มันเจ็บเหมือนถูกฉีก
การสู้กับสองพี่น้องตระกูลฉินเมื่อวาน เป็นการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดหลังจากที่เขากลับมาที่หัวเซี่ย การร่วมมือของสองพี่น้องตระกูลฉินมันน่ากลัวเป็นอย่างมาก แม้แต่เฉินเป่ยก็ยากที่จะต้านทานได้ หลังจากการต่อสู้ เขาบาดเจ็บภายใน นี่เป็นเหตุที่ทำให้เขาตื่นสายในวันนี้ ตอนนี้เขาเหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่ง
เฉินเป่ยอดทนกับความเจ็บปวด เขาสวมสูทและรองเท้าหนัง จากนั้นจึงออกจากโรงแรม
รถยนต์มายบัคเคลื่อนตัวช้าๆ และมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลี
หลีชิงเยียนยืนรออยู่ที่สวนหน้าประตูอย่างเงียบๆ
ไม่นานรถยนต์มายบัคก็เคลื่อนตัวเข้ามา
“ขึ้นรถสิ เทพธิดา” เฉินเป่ยลดกระจกลงและเอ่ยทักทายเธอ
แววตาของหลีชิงเยียนวูบไหว เธอพูดเนิบๆ ว่า “ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
เฉินเป่ยอึ้งและมองเธออย่างสงสัย
“ข้อพิพาททางธุรกิจระหว่างฉันกับกรุ๊ปป๋อจินจัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ฉันไม่มีอันตรายอะไรอีก ภารกิจที่นายต้องปกป้องฉันก็สำเร็จลงแล้ว” ใบหน้าของหลีชิงเยียนราบเรียบ และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เมื่อเฉินเป่ยได้ยินเช่นนั้น เขาก็อึ้งไปและเหม่อมองเทพธิดา “คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม”
หลีชิงเยียนส่ายหน้าเบาๆ “เฉินเป่ย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายเป็นอิสระแล้ว”
“ค่าคอมมิชชั่นสำหรับงานที่เหลือ ฉันจะจ่ายให้นายทีเดียว” หลีชิงเยียนลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดออกมา
เฉินเป่ยขมวดคิ้ว เขาฟังออกว่าน้ำเสียงของหลีชิงเยียนไม่ได้ล้อเล่น นี่เธอเอาจริงเหรอ
“อย่าเล่นสิชิงเหยียน ตอนนี้คุณกำลังถูกจับตามองจากคนมากมาย ถ้าไม่ปกป้องจะเป็นอันตรายมาก” เฉินเป่ยพูดอย่างจริงจัง
หลีชิงเยียนเม้มปาก จากนั้นก็ชี้ออกไปไกลๆ
ข้างๆ โรงจอดรถที่คฤหาสน์ มีบอดี้การ์ดในชุทสูทยืนเรียงเป็นแถวอยู่ตรงนั้น รถยนต์ส่วนตัวสุดหรูสีดำที่สามารถกันกระสุนจอดอยู่ตรงนั้น
“ฉันได้จ้างทีมบอดี้การ์ดมืออาชีพที่สุดในวงการมาด้วยเงินจำนวนมาก พวกเขาสามารถปกป้องฉันได้” หลีชิงเยียนพูดอย่างจริงจัง
เฉินเป่ยเหลือบมองบอดี้การ์ดเหล่านั้น เขาพูดอะไรไม่ออก
“ชิงเยียน เราอย่าเป็นอย่างนี้สิ ผมทำอะไรให้คุณโกรธ คุณบอกผมได้ อย่างมากผมก็ให้คุณกัดเพื่อระบายความโกรธ คุณอย่าเอาความปลอดภัยของตัวเองมาล้อเล่นสิ”
สีหน้าของหลีชิงเยียนราบเรียบ เธอพูดเนิบๆ ว่า “ฉันไม่ได้ล้อเล่น อีกอย่างพวกเขาปฏิบัติงานรักษาความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญระดับประเทศมามากมาย ฉันไม่กังวลกับความสามารถของพวกเขา”
เฉินเป่ยไม่รู้จะพูดยังไงดี
“ชิงเยียน ไม่ใช่เพราะเรื่องเมื่อวาน…” เฉินเป่ยพูดอย่างระแวดระวัง
“หยุด นี่ก็สายแล้ว ฉันต้องไปประชุมที่บริษัท!” หลีชิงเยียนพูดตัดบท จากนั้นจึงเดินอย่างสง่างามบนรองเท้าส้นสูงไปหาทีมบอดี้การ์ดที่เพิ่งจ้างมาใหม่
บอดี้การ์ดเปิดประตูรถส่วนตัว และส่งหลีชิงเยียนเข้าไปในรถ
รถโฟล์กสวาเกนทั้งสี่คันของบอดี้การ์ดรักษาความปลอดภัยเจ้าของรถยนต์ส่วนตัวที่อยู่ตรงกลาง และเคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์ตระกูลหลี
เฉินเป่ยนั่งกลุ้มใจอยู่ในรถมายบัค ให้ตายเถอะ นี่เขาถูกทิ้งอย่างนั้นเหรอ ตกกระป๋องแล้วอย่างนั้นเหรอ
เฉินเป่ยสบถออกมาในใจ และขับรถมายบัคตามออกไป จะงอนก็งอนไป แต่เขาต้องปกป้องความปลอดภัยของเธอ
รถยนต์ส่วนตัวเคลื่อนตัวไปบนถนนอย่างเงียบๆ หลีชิงเยียนนั่งอยู่ข้างในและมองไปข้างหลังอย่างไม่ได้ตั้งใจ เธอเห็นรถยนต์มายบัคขับตามหลังมาติดๆ
หลีชิงเยียนรู้สึกสับสน เธอรีบละสายตาออก ตอนนี้เธอไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างประหลาด
เธอสูดหายใจเบาๆ เพื่อตั้งสติ หญิงสาวพึมพำออกมาในใจว่า เขาเป็นแค่บอดี้การ์ดและคนขับรถเท่านั้น เป็นสามีปลอมๆ เท่านั้น ฉันกับเขาอยู่ในฐานะของลูกน้องกับเจ้านาย แค่นี้เท่านั้น หลีชิงเยียน เธอต้องตื่นได้แล้ว อย่าเลอะเลือนจนไม่มีสติ
เพื่อที่จะปกปิดความรู้สึกในใจ เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองถลำลึกลงไปอีก เธอจึงตั้งใจจ้างทีมบอดี้การ์ดมาโดยเฉพาะ เพื่อจะได้ห่างกับเฉินเป่ย หวังว่าจะสามารถไล่ผู้ชายที่เหมือนปีศาจคนนี้ออกไปได้ ขอแค่ไม่ต้องเจอหน้าเขา เธอจึงจะสงบจิตใจของตัวเองได้
ณ ห้องทำงานของทีมตำรวจอาชญากรรมแห่งสถานีตำรวจเมืองหู้ไห่
เย่ชวงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ข้างหน้าของเธอมีกองเอกสารกองใหญ่วางอยู่ มันเป็นรายงานการสืบสวนที่เกี่ยวกับเฉินเป่ยทั้งหมด
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอได้รวบรวมการสืบสวนและการวิเคราะห์มากมาย โดยมุ่งเน้นไปที่การสืบสวนของเฉินเป่ย เธอต้องการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของการฆาตกรรมของเฉินเป่ย
ยิ่งเธอได้สัมผัสกับเฉินเป่ยมากขึ้น เธอยิ่งรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีความลึกลับ นี่ทำให้เย่ชวงเป็นกังวล ถ้าเขาเป็นผู้บงการในคดีฆาตกรรมคดีใหญ่จริงๆ งั้นก็ยิ่งทำให้เย่ชวงสับสนเข้าไปอีก ดังนั้นเธอต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน
ขณะนั้นเย่ชวงได้รับข้อความลึกลับข้อความหนึ่ง
เนื้อหาในข้อความมีอยู่ว่า ‘ออกมาหน่อย มีเบาะแสเกี่ยวกับเฉินเป่ยจะให้เธอ!’
สีหน้าของเย่ชวงนิ่งไป เธอตกใจและสงสัยเป็นอย่างมาก ใครเป็นคนส่งข้อความนี้มา
ดวงตาคู่สวยมองไปยังเหล่าเพื่อนร่วมงาน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครกำลังเล่นตลกกับเธอ ใครกันแน่ที่ส่งข้อความมาในเวลาสำคัญแบบนี้
เย่ชวงนิ่งอยู่นาน เธอลังเลอยู่ไม่กี่วินาที จากนั้นก็แอบเอาปืนตำรวจซ่อนไว้ในชุดเครื่องแบบของตัวเอง เธอหยิบมือถือและเดินออกจากสถานีตำรวจด้วยความสงสัย
เย่ชวงเดินออกจากสถานีตำรวจอย่างระแวดระวัง ดวงตาคู่สวยกวาดมองรอบๆ ไม่มีใครสักคน
ขณะนั้นก็มีข้อความเข้ามาอีก ‘เลี้ยวซ้าย จะรอเธออยู่ที่มุมซอย ฉันมีสิ่งที่เธอต้องการ’
แววตาของเย่ชวงทั้งตกใจและสงสัย เธอลังเลและพิมพ์ข้อความตอบกลับไปว่า ‘แกเป็นใคร!’
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมา
นี่ยิ่งทำให้เย่ชวงสงสัยเข้าไปใหญ่
เธอค่อยๆ ย่องไปที่ซอยทางด้านซ้าย
เมื่อเดินใกล้เข้าไปในซอย กลับเห็นเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใครสักคน
เย่ชวงทั้งสงสัยและตกใจ เธอค่อยๆ เอามือไปวางที่ปืนตรงเอว ลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ
ภายในซอยมีกลิ่นอ่อนๆ ลอยอยู่ในอากาศ มันเหมือนกับกลิ่นของดอกไม้อะไรสักอย่าง เบาบางมาก แต่กลิ่นกลับแรงขึ้นเรื่อยๆ
แววตาของเย่ชวงฉายแววสงสัย จู่ๆ เหมือนเธอนึกอะไรได้ ใบหน้าของเธอนิ่งและหยิบปืนออกมา
แต่ทว่ามันสายไปเสียแล้ว เธอรู้สึกร่างกายอ่อนแรงและล้มลงไปบนพื้น
ไม่รู้ว่าสลบไปนานแค่ไหน เย่ชวงลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ เธอพบว่าตัวเองถูกมัดติดกับเสาหินต้นหนึ่ง ดวงตาคู่สวยฉายแววอ่อนแรง
เธอกวาดตามองไปรอบๆ เป็นอันดับแรก ที่นี่เป็นโรงงานร้าง ไม่มีใครสักคน มีเพียงน้ำมันเครื่องเต็มพื้น และฝุ่นที่เกาะอยู่ในใยแมงมุม
โรงงานอับและมืด อีกทั้งยังมีกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ เย่ชวงมองผ่านช่องแคบๆ ที่อยู่บนหัว ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งสามนาฬิกา ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงบ่าย
เธอออกมาจากสถานีตำรวจตอนสิบโมงเช้า แต่ตอนนี้บ่ายสามแล้ว เธอสลบไปตั้งหลายชั่วโมง
เย่ชวงหน้าซีดเผือด เธอคิดถึงข้อความลึกลับนั่น คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในซอย ยาสลบที่อยู่ในอากาศ เรื่องทั้งหมดเหมือนถูกวางแผนมาอย่างดี
เธอถูกลักพาตัว!
เย่ชวงใช้แรงดิ้น เพื่อที่จะทำให้โซ่เหล็กบนตัวหลุดออก แต่โซ่เหล็กรัดแน่นมาก จนไม่มีทางหลุดออกได้เลย
ความกลัวและสงสัยเริ่มฉายออกมาจากแววตาของเธอ ทำไมเธอต้องถูกลักพาตัว ใครเป็นคนทำกันแน่ เธอเป็นแค่หัวหน้าทีมตำรวจอาชญากรรม ไม่มีอำนาจอะไร และไม่มีข้อมูลลับอะไรอยู่ในมือด้วย ทำไมอีกฝ่ายต้องลักพาตัวเธอด้วย เขาทำไปเพื่ออะไร
เย่ชวงสูดหายใจลึก ตอนนี้เธอต้องใจเย็น
เธอต้องช่วยตัวเอง!
เย่ชวงกวาดตามองไปยังทุกมุมของโรงงานร้าง เธอพยายามหาวิธีที่จะหลุดออกจากการโดนมัด แต่ว่าไม่มีอะไรสามารถทำลายโซ่เหล็กได้เลย
จู่ๆ เย่ชวงก็เห็นวัตถุสีดำที่วางอยู่ตรงมุมเสาอีกต้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆ นั่นคือมือถือของเธอ ทำไมมือถือของเธอถึงไปอยู่ตรงนั้น เย่ชวงขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่ามันจะหล่นตอนที่อีกฝ่ายลักพาตัวเธอมา และไม่ทันได้สังเกต
นี่คือเรื่องบังเอิญหรือว่า…
ตอนนี้เย่ชวงไม่มีเวลามาคิดอะไร ตอนนี้เธอต้องพยายามคิดหาวิธีเอามือถือมาให้ได้ จากนั้นจึงค่อยโทรขอความช่วยเหลือ มือถืออยู่ห่างจากเย่ชวงประมาณหนึ่งเมตร ตอนนี้เธอถูกมัดอยู่กับเสาโดยไม่สามารถขยับไปไหนได้ เธอลองยื่นขาออกไป ตอนนี้ขาของเธอถูกมัดเอาไว้ด้วยกัน แต่ไม่ได้มันจนแน่น จึงสามารถขยับออกจากกันได้
เย่ชวงพยายามยื่นขาออกไปหยิบมือถือ แต่มันยังเหลืออีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น
เย่ชวงหน้าซีดเผือด เธอพยายามทำใจให้เย็นลง และคิดหาวิธีอื่น
ใช่สิ รองเท้า!
เย่ชวงสวมรองเท้าหนังของตำรวจ ส้นข้างหลังสูงมาก มันสามารถทดแทนช่องว่างที่ขาดหายไปได้
เธอพยายามสลัดรองเท้าให้หลุด จากนั้นจึงใช้ฝ่าเท้าส่วนบนเกี่ยวรองเท้าเอาไว้ และใช้รองเท้าเขี่ยมือถืออีกที
มันพอดีเป๊ะเลย
เย่ชวงค่อยๆ เกี่ยวมือถือมาข้างๆ อย่างระวัง ตัวของเธอถูกมัดกับเสาจนไม่สามารถขยับไปไหนได้ เธอใช้ปลายนิ้วเท้าขาวกดรหัสปลดล็อกมือถือ จากนั้นจึงรีบโทรไปหาเพื่อนร่วมงานที่สถานีตำรวจ
แต่ทว่าวินาทีต่อมา เย่ชวงก็จิตใจแหลกสลาย ที่หน้าจอมือถือบอกว่าไม่สามารถโทรออกได้
อย่าบอกนะว่าโดนบล็อกสัญญาณ!
เย่ชวงไม่พอใจ เธอกดไปที่ปุ่มฉุกเฉินเพื่อพยายามโทรไปยังสถานีตำรวจ แต่ก็ยังติดต่อไม่ได้
เหมือนกับว่าสัญญาณในโรงงานไม่ค่อยเสถียร
เย่ชวงกัดริมฝีปากดวงตาของเธอแน่นิ่งและโทรออกไปยังหมายเลขหนึ่ง
จู่ๆ ก็โทรติด
เย่ชวงทั้งตกใจและสงสัย เธอดูหมายเลขที่กดโทรออกไป มันคือเบอร์ของเฉินเป่ย
ทำไมกัน เมื่อกี้ยังโทรไม่ติดอยู่แล้ว จู่ๆ ทำไมถึงโทรติดขึ้นมาได้ เย่ชวงมีลางสังหรณ์แปลกๆ ขึ้นในใจ ทำไมมันถึงบังเอิญขนาดนี้
ในห้องทำงานชั้น 99 ที่อาคารตระกูลหลี
เฉินเป่ยนั่งสูบบุหรี่อยู่ในห้องทำงานด้วยความกลุ้มใจ วันนี้ทั้งวันหลีชิงเยียนทำหน้าไม่ดีใส่เขา และเอาแต่ไล่เขาออกมา นี่ทำให้เขากลุ้มใจมาก
ขณะนั้นมือถือของเฉินเป่ยก็ดังขึ้น
เขาหยิบมือถือขึ้นมาอย่างสงสัย เย่ชวงโทรมา
เฉินเป่ยกดรับสาย
“เฉินเป่ย นายมาช่วยฉันได้ไหม ฉันถูกลักพาตัว” เสียงอ่อนแรงของเย่ชวงดังออกมาจากปลายสาย
“อะไรนะ!” สีหน้าของเฉินเป่ยเปลี่ยนไปทันที ตำรวจหญิงอย่างเย่ชวงถูกลักพาตัวอย่างนั้นเหรอ
“ตอนนี้เธออยู่ไหน” เฉินเป่ยรีบถามขึ้น
“ฉันไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ฉันถูกขังอยู่ในโรงงานร้าง…” เสียงของเย่ชวงดูไร้หนทาง
“เธออย่าวางสาย! ฉันกำลังตรวจจับตำแหน่งสัญญาณของเธอ!” เสียงของเฉินเป่ยจริงจังเป็นอย่างมาก เขากดเปิดหน้าจอนาฬิกาข้อมือดิจิตอล จากนั้นก็ใส่เบอร์โทรศัพท์ของเย่ชวงเข้าไปและเริ่มตรวจจับตำแหน่งสัญญาณของเธอ โรงงานร้างแห่งหนึ่งที่อยู่ชานเมืองหู้ไห่ โรงงานอยู่ห่างจากตำแหน่งที่เฉินเป่ยอยู่เกือบร้อยกิโลเมตร!
เฉินเป่ยตัดสินใจอย่างเด็ดขาด และรีบออกจากห้องทำงาน
เขาหันไปมองประตูห้องของประธานที่อยู่ข้างๆ เหล่าบอดี้การ์ดในชุดสูทเต็มตัวยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู เฉินเป่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเข้าไปข้างในห้องประธาน หลีชิงเยียนอยู่ข้างในพอดี
“ชิงเยียน เพื่อนผมกำลังลำบาก ผมต้องไปช่วยเขา” เฉินเป่ยพูดอย่างจริงจัง
หลีชิงเยียนมองหน้าจอคอมพิวเตอร์และกำลังพิมพ์ข้อมูลอยู่ เธอไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “นายอยากไปก็ไป ตอนนี้นายเป็นอิสระแล้ว ไม่จำเป็นต้องมารายงานฉัน”
“ดูแลตัวเองด้วย อย่าออกจากบริษัทตามใจชอบ” เฉินเป่ยกำชับอย่างจริงจัง
หลีชิงเยียนยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมา เธอพูดเนิบๆ ว่า “มีบอดี้การ์ดมืออาชีพล้อมหน้าล้อมหลัง ฉันไม่เป็นอันตรายหรอก”
“สรุปว่า ตอนที่ผมออกไป คุณอย่าชะล่าใจเด็ดขาด!” เฉินเป่ยพูดพลางหันหลังวิ่งออกไป
หลังจากที่เฉินเป่ยออกไปแล้ว หลีชิงเยียนจึงเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์ ดวงตาของเธอมองไปที่ประตูอย่างสับสน ทำไมเวลาที่เขาปรากฏตัว ต้องทำให้เธอจิตใจสับสนด้วยนะ ทำไมไอ้หมอนี่เอาแต่ผุดเข้ามาในหัวของเธอ นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาเสียเลย!
รถยนต์มายบัคเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงสุด มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เย่ชวงถูกลักพาตัว
แววตาของเฉินเป่ยเย็นยะเยือกจนผิดปกติ เขาคาบบุหรี่อยู่ในปาก และคิดอย่างลุ่มลึก เย่ชวงถูกลักพาตัวอย่างนั้นเหรอ คิดไม่ถึงว่าในเมืองหู้ไห่มีคนที่กล้าลักพาตัวตำรวจด้วย นี่ทำให้เฉินเป่ยรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี