สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1499 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1399
“ตอนเด็กๆ คุณแม่เคยบอกกับฉันว่า หากวันหนึ่งฉันกับนายชอบผู้หญิงคนเดียวกัน ฉันห้ามแย่งกับนายเด็ดขาด” เย่เนี่ยนโม่พูดด้วยเสียงแผ่ว
แก้วของโต๊ะข้างๆตกลงพื้น เสียงกระแทกดังสนั่น ในไม่ช้าก็มีพนักงานมาเก็บกวาด เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว พูดต่อว่า “ตอนเด็กๆ เด็กที่กลุ่มคนพวกนั้นจะลักพาตัวคือฉัน คุณลุงสวีก็ถือว่าเสียชีวิตไปเพราะฉัน”
ไห่โจ๋ซวนนั่งฟังอย่างเงียบๆ มือที่อยู่ใต้โต๊ะกำหมัดไว้อย่างแน่น “นายอยากพูดอะไร?”
เย่เนี่ยนโม่สูดหายใจลึก “หากสุดท้ายแล้วคนที่เธอเลือกคือนาย ฉันก็จะปล่อยมือ”
หลังจากพูดจบแล้ว เย่เนี่ยนโม่ก็เหมือนใช้พลังในตัวไปเกือบหมด ภาพเมื่อวานที่คุณแม่ร้องไห้อยู่บนระเบียงผุดขึ้นมาในสมองของเขา เขาไม่อยากให้เธอเสียใจแล้ว
“เนี่ยนโม่ ฉันหวังว่านายจะสามารถปล่อยวางเธอได้อย่างแท้จริง อย่าปรากฏตัวต่อหน้าเธออีก แบบนั้นเธอถึงจะลืมนายได้ แล้วมีความเป็นไปได้ที่เธอจะยอมรับฉันใหม่ นี่คือสิ่งที่นายติดค้างฉัน เนี่ยนโม่” ไห่โจ๋ซวนพูดออกมาทีละคำ ในใจเต็มไปด้วยความซะใจ
ในที่สุดเขาก็รอมาถึง การเห็นตระกูลเย่เจ็บปวดแบบนั้น เขาจ้องเย่เนี่ยนโม่โดยไม่ละสายตา ทว่ากลับพูดอย่างเฉยชาว่า “ตอนเด็กๆ ขอแค่คุณพ่อกับคุณแม่ทะเลาะกัน ฉันก็รู้เลยว่าต้องเป็นเพราะคุณน้าเซี่ย แต่ว่าฉันไม่โทษเธอ เธอเป็นหญิงงาม ผู้ชายจะหวั่นไหวกับเธอก็เป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้ว่าจะสละชีวิตที่ตาม”
“ฉันตกลง จะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเธออีก” เย่เนี่ยนโม่ดื่มไวน์ที่อยู่ในแก้ว พูดด้วยความยากลำบาก
ข้างๆโต๊ะมีเสียงดังลุกขึ้น นัยน์ตาของเย่เนี่ยนโม่หดเล็กลงทันที ติงยียีเดินมายังข้างหน้าของเธอ มองทั้งสองด้วยนัยน์ตาที่เยือกเย็น “อะไรของพวกนายกัน!เห็นฉันเป็นสิ่งของ แล้วจัดการกันเองเป็นส่วนตัว? ”
“ยียี!” เย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้น ติงยียียกมือขึ้น ตบเขาไปหนึ่งทีอย่างแรง “เย่เนี่ยนโม่ นี่เป็นครั้งที่สองที่นายทิ้งฉัน!”
เย่เนี่ยนโม่โดนตบจนศีรษะเอียงไปเล็กน้อย แสงไฟในช่วงยามเย็นเขามองเห็นน้ำตาในนัยน์ตาของเธอ ติงยียีวิ่งออกไป เขาหันหลังไปเห็นไห่โจ๋ซวนที่กำลังจิบไวน์อยู่ “ไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้ ฉันตกลงกับนายแล้ว ก็ทำได้แน่นอน”
ไห่โจ๋ซวนเห็นติงยียีจากไป เย่เนี่ยนโม่จากไป ก็ดื่มไวน์ที่อยู่ในแก้วให้หมด เงยหน้าขึ้นมองหลอดไฟLEDหลากหลายสีสันบนผนัง ก้มหน้าแล้วยิ้มออกมา
ซ่งเมิ่นเจ๋เดินไปยังตรงหน้าเขาแล้วมองเขาด้วยความเศร้าใจ ไห่โจ๋ซวนปิดหน้าด้วยความเหนื่อยล้า “ไปเถอะ ฉันคือคนแบบนี้แหละ เธอไปเถอะ”
“ถึงแม้ว่าจะเป็นนายแบบนี้ ฉันก็ยังคงรักนายเหมือนเดิม” ซ่งเมิ่นเจ๋พูดอย่างเงียบสงบ ยกเท้าแล้วเดินจากไป ไห่โจ๋ซวนมองภาพข้างหลังของเธอด้วยความนิ่งงัน หัวเราะด้วยเสียงต่ำ รัก ช่างเป็นสิ่งที่แปลกมากจริงๆ !
ติงยียีไม่รู้ว่าตัวเองดื่มไวน์ไปเท่าไหร่แล้ว ในตอนที่โทรศัพท์ดังขึ้นเธอเดินไปรับสายด้วยความมึน กดไปหลายรอบมากจึงจะกดติด
“ติงยียีเธอรู้หรือเปล่าว่าคืนนี้มีฉากของแพนด้า!” เสียงตะโกนของอันหรันดังผ่านมาจากโทรศัพท์
“ขอโทษค่ะ ฉันขอโทษจริงๆ ฉันไปตอนนี้เลย จะรีบนั่งจรวดไปเดี๋ยวนี้เลย!” เธอลุกขึ้นขึ้นอย่างเซไปเซมา จากนั้นก็นั่งกลับไปอย่างเซไปเซมา
“เธอดื่มไวน์? เธอไปดื่มไวน์โดยที่ไม่เรียกฉันเหรอ!” อันหรันพูดตะโกนด้วยความโกรธ ในโทรศัพท์ไม่มีเสียงตอบกลับ เขารู้ว่าติงยียีน่าจะดื่มมากเกินไปแล้ว รีบถามเธอว่าอยู่ที่ไหน
ในโทรศัพท์ไม่มีการตอบกลับ มีเพียงแต่เสียงวุ่นวายรางๆ เหมือนมีแขกกำลังพูดว่า “เทียนติง” นั่นเป็นแถวถนนพันธมิตร ในตอนที่เขายังไม่ดังเขามักจะไปทานข้าวที่นั่นบ่อยๆ
อันหรันรู้ว่าติงยียีน่าจะเมาแล้ว ในใจก็ยิ่งเป็นห่วงไปใหญ่ หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาสองสามวันนี้ เขาเห็นเธอเป็นเหมือนน้องสาวของตัวเองตั้งนานแล้ว
หยิบโทรศัพท์และกุญแจรถแล้วเขาก็ออกไปเลย ผู้ช่วยห้ามเขาไว้ “อันหรัน ก่อนที่พี่สวีจะไปโรมได้กำชับไว้แล้วว่าให้ดูนายไว้ให้ดี ถ้านายไปแล้วตอนเขากลับมาต้องด่าฉันตายแน่!”
อันหรันไม่มีเวลาพูดเรื่องไร้สาระกับเขา พูดขึ้นว่า “ตอนกลางคืนไม่มีฉากของฉันแล้ว พรุ่งนี้ฉันหยุดงาน ไม่เกิดอะไรขึ้นแน่นอน ฉันระวังหน่อยก็ได้แล้ว”
ผู้ช่วยยังอยากจะพูดอะไรต่อ ทว่าอันหรันวิ่งหายไปดั่งลมแล้ว
บนถนนที่คึกคักมีโต๊ะและเก้าอี้วางอยู่ข้างๆ สิ่งที่ไม่เหมือนกับความหวือหวาในเมืองคือ ที่นี่จะใช้ชีวิตแบบติดดินกว่า
ลุงคนหนึ่งที่กำลังดื่มโซจูอยู่เห็นชายคนหนึ่งสวมหมวกแก๊ปแว่นกันแดดกรอบดำและผ้าหน้าป้าปิดปากขนาดใหญ่เดินไปยังข้างหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งอย่างลับๆ ล่อๆ เขายื่นมือไปแตะไหล่ของผู้หญิง เห็นว่าผู้หญิงไม่มีการตอบสนองใดๆ ก็แบกผู้หญิงขึ้นมาแล้วเดินออกไปทางข้างนอก
กลางดึกแบบนี้สวมแว่นกันแดดและผ้าปิดปากจะเป็นคนชั่วหรือเปล่า สมองของคุณลุงมีข่าวเกี่ยวกับการค้าอวัยวะของมนุษย์ลอยขึ้นมา คุณลุงที่ดื่มจนมึนๆเมาๆ รีบได้สติขึ้นมาทันที
“ไม่ได้เด็ดขาด เด็กผู้หญิงคนนี้น่าสงสารเกินไปแล้ว” คุณลุงรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามข้างหลังผู้ชายคนนั้นไป
อันหรันดึงแว่นกันแดดและผ้าปิดปากลง แบกติงยียีไปยังข้างรถด้วยความยากลำบาก พึ่งเอามือออกมาจะเปิดประตู ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากข้างหลัง “หยุดนะ! วางเด็กผู้หญิงคนนั้นลง!”
เขาหันกลับไปด้วยความแปลกใจ เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งจับเบียร์อยู่ในมือแล้วจ้องเขาด้วยความโหด แอบรู้สึกในใจว่าแย่แล้ว รีบเผยรอยยิ้มตามมืออาชีพออกมา พลางยัดติงยียีเข้าไปในรถด้วย
คุณลุงเสียสติเพราะฟันที่ขาวใสของเขา จนกระทั่งรถขับออกไปไกลแล้วจึงจะพึมพำขึ้นว่า “คนเมื่อกี้คือ…ซุปเปอร์สตาร์อันหรัน? ?”
ในโรงแรม ติงยียีหลับอย่างสบาย อันหรันนวดไหล่ที่ปวดเมื่อย กำลังเตรียมตัวจะกลับบ้าน
จู่ๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ติงยียีพลิกตัว โทรศัพท์ตกออกมาจากกระเป๋าของเธอ เขามองดูหน้าจอที่กะพริบ เดินเข้าไปด้วยความแปลกใจ หลังจากเห็นชื่อที่กะพริบอยู่บนหน้าจอก็เข้าใจแล้ว ติงยียีดื่มจนเมาก็เพราะว่าเขาสินะ
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “ยียี” เสียงที่แหบในโทรศัพท์ทำให้อันหรันตะลึงงันไปเลย ทำไมเสียงของเย่เนี่ยนโม่ฟังแล้วเหนื่อยล้าแบบนี้?
“เธอกำลังหลับอยู่”
“อันหรัน”
น้ำเสียงในโทรศัพท์เยือกเย็นขึ้นมากะทันหัน เหมือนดั่งลมหนาวในเดือนสองที่เย็นไปถึงกระดูก อันหรันตกใจมาก ถึงแม้จะรู้ว่าไม่สามารถสร้างเรื่องบาดหมางกับฝ่ายตรงข้ามได้ ทว่าก็ยังตั้งใจพูดขึ้นว่า “ถูกแล้ว ฉันเอง มีอะไรก็รีบพูด ฉันจะไปอาบน้ำแล้ว”
ตอนแรกเขาคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะโมโห คิดไม่ถึงว่าน้ำเสียงของฝ่ายตรงข้ามเย็นชาจนทำให้รู้สึกผิดว่าเหมือนเขาวางสายไปแล้ว
“อันหรัน” เย่เนี่ยนโม่พูดออกมาทีละคำอย่างเย็นชา “หากวันนี้นายกล้าแตะต้องเธอแม้แต่นิด ฉันก็จะให้นายเจ็บปวดสิบเท่า”
“เห่อ นายมีสิทธิ์อะไร?” อันหรันนั่งถามชิวๆอยู่บนเก้าอี้ ทางโทรศัพท์มีเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังผ่านมา สามคำที่ดังผ่านมาอย่างชัดเจน “สวี! เหวย !เหริน!”
“นายกล้าหรอ!” อันหรันรีบนั่งตัวตรง นัยน์ตาสีน้ำตาลเริ่มมืดลงเพราะความเย็นชา นิ้วที่ถือโทรศัพท์มีเส้นเลือดเผยออกมาเพราะความหึงหวงและความโกรธ “ตู๊ด” ทางโทรศัพท์มีเสียงที่ยุ่งวุ่นวายดังออกมา
เขาจับโทรศัพท์ที่ถูกวางสาย มองดูติงยียีที่ยังคงหลับคาน้ำลายไหล ส่ายหัว ยิ้มที่มุมปากด้วยความจนปัญญา “เขาที่เธอสร้างเรื่องบาดหมางด้วยนี่รับมือยากจริงๆ ”
“ติงยียีฉันไม่เอาเธอแล้ว เธอเป็นของไห่โจ๋ซวน”
“ติงยียีฉันไม่เอาเธอแล้ว เธอเป็นของไห่โจ๋ซวน!”
ติงยียียืนอยู่ในห้องที่ว่างเปล่า ในห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์ มีเพียงแต่ผนังที่ทาสีเทาไว้ เสียงที่คุ้นเคยและเย็นชาดังขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เธอสติจะแตกแล้ว
“ฉันไม่ใช่ของเขา!” เธอกรีดร้องแล้วตื่นขึ้นมา ชุดชั้นในของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อตั้งนานแล้ว เปียกจนแนบติดบนผิวหนัง
เธอหันหลัง แสงแดดนอกหน้าต่างสว่างมาก ส่องไสวลงมาจนทำให้อารมณ์ดีขึ้นตาม ข้างๆมือมีกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งวางไว้ “ยัยโง่! ฉันจะไปหาเหวยเหรินที่โรมแล้ว ครั้งหน้าเมาขนาดนี้อย่าโทรหาฉันอีก ฉันไม่รับ!!!”
ติงยียีมองดูเครื่องหมายอัศเจรีย์ที่เน้นย้ำบนกระดาษโน้ต ยิ้มโค้งขึ้นตรงมุมปาก รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วเช็คเอาท์ห้องออกไป แพนด้ายังอยู่ในบ้าน ช่วงนี้มันดูซึมๆ ล้าๆ เธอกังวลมาก
ผ่านช่วงเวลาเข้างานแล้วในรถไฟใต้ดินจึงเหลือเพียงไม่กี่คน ติงยียีเลือกที่นั่งตำแหน่งหนึ่งแล้วนั่งลง หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ สวมแว่นใหญ่กำลังอ่านหนังสืออยู่ ทางเดินมีคนเดินผ่าน เธอขยับตูดเล็กน้อย หนังสือพิมพ์ที่อยู่ข้างกายตกลงพื้น
ติงยียีเห็นว่าเธอตั้งใจอ่านหนังสือเกินไป จึงโค้งตัวลงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา นัยน์ตาของเธอหยุดอยู่บนภาพนั้น และไม่ได้ละสายตาอีก
“คู่รักลึกลับของซุปเปอร์สตาร์อันหรันปรากฏตัว อาศัยอยู่ห้องเดียวกันอย่างสนิทสนม ฝ่ายหญิงเคยมีข่าวลอกเลียนแบบผู้อื่น”
ตัวหนังสือสีดำกระทบไปยังประสาทตาของเธอ มือของเธอสั่นไม่หยุด นัยน์ตามีความเบลอสองสามวินาที ประโยคสองสามประโยคตรงข้างๆของหน้าหนังสือพิมพ์ รูปภาพที่อัดแน่นใช้พื้นที่ไปเกือบทั้งหน้า
ภาพที่อันหรันให้กล่องข้าวเธอในกองถ่าย ภาพที่เธอขึ้นรถอันหรันหลังถ่ายภาพยนตร์เสร็จ แล้วก็ยังมีภาพที่อันหรันช่วยเธอจัดผม ตรงกลางของหน้า ภาพที่เธอและเขาออกมาจากโรงแรมพร้อมกันยิ่งน่าตกใจไปใหญ่
หนังสือพิมพ์ถูกดึงไปต่อหน้าต่อตาเธอ เธอรีบคว้าไว้ หญิงสาวที่สวมแว่นตกใจมาก แววตาของเธอมองผ่านไปผ่านมาระหว่างหนังสือพิมพ์และหน้าของเธอ พูดขึ้นว่า “คุณคือ…”
“ไม่ใช่ฉัน!” ติงยียีตกใจมาก คนรอบๆข้างต่างก็มองเธอด้วยความแปลกใจ เธอสั่นไปทั้งตัว อยากจะรีบลงจากรถ
ถึงสถานีพอดี เธอรีบออกจากประตูรถโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ระหว่างนั้นไม่รู้สึกเลยว่าวิ่งชนผู้คนมากมาย
บนชานชาลา เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ไหน สถานที่นี้แปลกมาก เธอกลัวมาก เธออดไม่ได้ที่จะมองไปยังหนังสือพิมพ์ของคนที่เดินผ่านไปมา รูปหน้าข้างของเธอบนหนังสือพิมพ์ช่างน่าตกใจมาก
เธอในตอนนี้ก็เหมือนถูกเปลือยเสื้อผ้ายืนอยู่ใต้แสงแดด เธอก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ออกมา อยากจะโทรหาคนที่เชื่อใจที่สุด
“ตู๊ดๆๆ …” โทรศัพท์ดังแล้วดังเล่า เธอเดินวนไปวนมาอย่างกระวนกระวาย หวังว่าน้ำเสียงที่แน่วแน่จะดังขึ้น แล้วมาช่วยเหลือเธอ
“สวัสดีค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” เสียงที่อ่อนหวานนี้สำหรับติงยียีแล้วก็เหมือนกับบทเพลงที่น่าเศร้า
เธอกดโทรต่อ นิ้วสั่นจนกดผิดไปหลายครั้ง “สวัสดีค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกปิดเครื่องอยู่ในขณะนี้”
ผิดหวัง โมโห อารมณ์ด้านลบๆ ผุดขึ้นมาทั้งหมด เธออยากจะตะโกนร้องออกมาดังๆ ทว่ากลับไม่กล้า สายตาของผู้สัญจรไปมาเป็นครั้งคราวก็ทำให้เธอกลัวจนตัวสั่น
เย่เนี่ยนโม่เดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นอ้าวเสว่หยิบโทรศัพท์ของตัวเองแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้น “เธออยู่ที่นี่ได้ยังไง?”