สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1513 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1353
หลังจากเย่เนี่ยนโม่เปิดประตูรถแล้วก็ยืนหันข้างอยู่อีกด้าน สายตาอ่อนโยน “คุณยียี เชิญขึ้นรถครับ”
ติงยียีขึ้นรถอย่างกระอักกระอ่วนท่ามกลางสายตาที่อิจฉาของผู้คน เย่เนี่ยนโม่เอี้ยวตัวไปช่วยเธอคาดเข็มขัดนิรภัย
“เย่เนี่ยนโม่ คุณคิดจะทำอะไร!” ติงยียีมองดูเขา ในใจก็เกิดความโมโหขึ้นมา ในข่าวเห็นชัดว่าเขากับอ้าวเสว่ใกล้ชิดสนิทสนมกันขนาดนั้น ตอนนั้นทำไมยังจะมาอ่อยเธออีก
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่” เขาเข้ามาใกล้เธอ สายตากลับมองไปที่IPADที่อยู่บนเบาะ บนiPadยังเปิดภาพของเขาและอ้าวเสว่ที่ถูกนักข่าวถ่ายได้ขณะอยู่บนเรือสำราญ
เขามองเธอ ขมวดคิ้ว “คุณกำลังหึงเหรอ”
ติงยียีเงยหน้าขึ้นมาสบตากับดวงตาที่กำลังโกรธของเขา เขายิ้ม ค่อยๆโน้มเข้ามาใกล้ขึ้น ยื่นมือกั้นให้เธออยู่ในที่นั่งแคบๆ “คนที่หึงคือผม อยากจะเอาคุณมาเป็นเชลย จะได้ไม่มีใครแย่งชิงคุณได้”
ติงยียีหน้าแดงก่ำ บ่นพึมพำเบาๆว่า “ตอนเย็นยังมีงานปาร์ตี้หน้ากากอีกหนึ่งงาน”
เธอรู้ว่าเขากำลังมองเธอ แต่เธอกลับไม่หันหน้ามา คอยังคงรู้สึกปวดเมื่อยเล็กน้อย ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ จึงดึงสายตากลับมา
ปาร์ตี้หน้ากากไม่ได้เป็นกฎระเบียบข้อหนึ่งในวงการบันเทิง โดยเริ่มจากดาราดังที่อยู่แถวหน้า ก็แค่เชื้อเชิญดารามา ดาราสวมใส่หน้ากากก็สามารถพูดคุยกันภายในงานได้ ต่อให้ถูกจำได้ว่าใครก็ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของอีกฝ่ายได้
เพราะสามารถปลดปล่อยความเครียดได้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลานี้ของทุกๆปี ดาราทั่วประเทศก็จะพากันมารวมตัวที่นี่เข้าร่วมงานปาร์ตี้หน้ากากนี้
พวกดาราสองสามคนยืนพูดคุยอยู่ด้วยกันเงียบๆ ประตูถูกเปิดออก บริกรพาคนเดินเข้ามา
ผู้หญิงที่เข้ามาสวมชุดกระโปรงยาวสีเบจ บนกระโปรงยาวนั้นไม่ได้มีการประดับตกแต่งมากนัก เทียบกับดาราคนอื่นๆในงานไม่ได้เลย แต่ผู้ชายสวมชุดสูทธรรมดาที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ แม้จะสวมหน้ากากการ์ตูนอยู่ แต่บุคลิกท่าทางโดดเด่นมาก คนจำนวนไม่น้อยกำลังคาดเดาว่าคือดาราคนไหน
ติงยียีหลังจากเดินเข้ามาแล้วก็ไปหามุมสงบเงียบมุมหนึ่งรองานเลิก เธอมองไปทางที่ไกลจากเธอไม่กี่ก้าว เย่เนี่ยนโม่ถูกดารารุมล้อม แม้แต่ดาราชื่อดังอันดับต้นๆอย่างแซ่ถิงถิงยังเป็นฝ่ายมาพูดคุยกับเขาก่อนเลย
เธอยิ้ม ทองแม้จะเคลือบด้วยน้ำตาลชั้นหนึ่งแล้วไม่นานก็ยังถูกมองออก มีมือหนึ่งยื่นมาขวางตรงหน้า ในมือถือแก้วไวน์หนึ่งแก้ว
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างหล่อละมุน ดวงตาสีเข้มแบบลูกครึ่งทำให้คนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ติงยียีรีบตอบว่า “สวัสดีค่ะ”
“ตั้งแต่ที่คุณเดินเข้ามาเมื่อกี้ผมก็สังเกตเห็นคุณแล้ว ในวงการบันเทิง คนที่ชอบหามุมส่วนตัวอยู่น่าจะมีน้อยมาก” เขาจิบค็อกเทลช้าๆแล้วพูดออกมา
ติงยียีมองที่นิ้วมือเขา รอยสักที่นิ้วนางมีเพียงศิลปินในวงการนักร้องคนหนึ่งเท่านั้นที่มี ผู้ชายหนึ่งเดียวที่โด่งดังมีสถานะเท่าเทียมกับอันหรันแห่งวงการนักแสดง
ชายหนุ่มเห็นเธอมองนิ้วมือของตนเอง ก็ยิ้มอย่างรู้ทัน เอานิ้วชี้กดไว้ที่ริมฝีปากเธอ “วันนี้พูดออกมาไม่ได้นะ”
“ผมแนะนำให้เอามือออกจากเธอ” อันหรันยืนตัวตรงอยู่ด้านหลังทั้งสองคน เขาใส่หน้ากากครึ่งหน้า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จำได้ง่าย
ชายหนุ่มยืดตัวหันไป ส่วนสูงที่ไล่เลี่ยกับอันหรันก็แฝงด้วยลมหายใจของความดุร้ายเช่นกัน “คนดีสบายดีมั้ย”
ดวงตาอันหรันแววตาล้ำลึก “คนเขาสบายดีมาก ไม่ต้องรบกวนคุณหรอก”
“จริงเหรอ” เขายิ้ม หันข้างไปพูดกับติงยียีว่า “หวังว่าต่อไปจะมีโอกาสได้ร่วมงานกันนะครับ”
ติงยียีรีบพยักหน้า อันหรันจับมือซ้ายเธอเอาไว้ สีหน้าไม่สู้ดีนัก น้ำเสียงกลับอ่อนลง “ไป ผมพาคุณไปกินของอร่อยๆ”
เธอถูกเขาดึงให้หมุนตัวไป มือขวารู้สึกถึงแรงดึง เธอหันกลับไป เย่เนี่ยนโม่จับมือขวาเธอเอาไว้ สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากการ์ตูนนั้นคือความบ้าคลั่ง
ติงยียียืนอยู่ตรงกลาง อันหรันและเย่เนี่ยนโม่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ไม่มีใครยอมปล่อยมือ อันหรันขมวดคิ้ว แม้เขาจะมองไม่เห็นใบหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากาก แต่สายตาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของคู่นั้นได้เป็นตัวแทนแสดงให้เห็นแล้ว
“โฆษณาเครื่องดื่มนั้นถ่ายได้ไม่เลวเลย” เย่เนี่ยนโม่เป็นฝ่ายเอ่ยก่อน
อันหรันยิ้มพลางเอ่ยว่า “ภายในไม่กี่วันก็ไต่ขึ้นมาเป็นแชมป์ยอดขายสูงสุด ขอบคุณที่ชม”
เย่เนี่ยนโม่ไม่พูดอะไร มือค่อยๆออกแรงมากขึ้น ติงยียีเหล่มองเขาด้วยความคุ้นเคย อันหรันขมวดคิ้ว ออกแรงที่มือมากขึ้นเหมือนจะไม่ยอมแพ้อย่างนั้น ติงยียีเหล่มองไปทางเขาอีก
“พอแล้ว!” เธอตะคอก สองมือสะบัดให้หลุดออกจากการพันธนาการของทั้งสองคน ตอนแรกเย่เนี่ยนโม่ก็ห่วงว่าเธอจะเจ็บ ดังนั้นจึงได้แต่กำที่ข้อมือเธอเอาไว้อย่างหลวมๆ เห็นอย่างนั้นแล้วก็ปล่อยไป
ติงยียีโมโหจนทนไม่ไหว “พวกคุณพูดอะไรกันฉันไม่เข้าใจเลย ฉันว่าพวกคุณน่าจะคุยภาษาเดียวกัน! พวกคุณไปคุยกันเอง ฉันไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว!”
เธอยืดอกหลังตรงเดินไปที่โต๊ะอาหารบุฟเฟต์ หยิบซูชิขึ้นมาชิ้นหนึ่งจิ้มไปที่น้ำจิ้มสีเขียวอย่างมั่วๆใส่เข้าปากคำใหญ่
“ระวังเผ็ด!” ตอนที่เย่เนี่ยนโม่เอ่ยปากบอกก็สายไปแล้ว ติงยียีเผ็ดจนหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า เธอรีบหยิบแก้วเครื่องดื่มที่วางอยู่ข้างๆโต๊ะมาดื่มรวดเดียวหมด
“เหล้านั้นมันแรงมาก!” อันหรันรีบหุบปากเพราะรู้ว่าคำพูดนี้ของตนเองสายไปแล้ว ติงยียีที่ถือแก้วเหล้าอยู่มองเขาอย่างงงๆ ค่อยๆหันหน้ามา สีหน้าไร้เดียงสาน่ารัก “หืม”
อันหรันกุมขมับ หันไปพูดกับเย่เนี่ยนโม่ว่า “เธอคอแข็งมั้ย”
เย่เนี่ยนโม่ตอบเบาๆ “ไม่เคยเห็นเธอดื่มเหล้าเลย”
อันหรันเดินมาข้างหน้าคิดจะมาประคองติงยียีที่โอนไปเอนมา เย่เนี่ยนโม่เร็วกว่าไปประคองเธอเอาไว้แล้ว มือของเขาเหมือนจะโอบรอบเอวเธอ แต่กลับแผ่ออร่าที่ห้ามใครเข้าใกล้
ติงยียีรู้สึกเวียนหัว กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อนๆลอยมาจากข้างตัวทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยมาก เธอสะบัดศีรษะ พิงแนบไปที่ช่วงลำคอของเขา
เย่เนี่ยนโม่ตกตะลึง ทันใดนั้นก็เกิดความอ่อนโยนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดภายในใจ เขาพาเธอหมุนตัวไป ใช้กำลังแขนของตนเองประคองติงยียีที่ตัวอ่อนปวกเปียกเล็กน้อย
ครั้งนี้อันหรันไม่ได้ขัดขวางแซ่ถิงถิงที่อยู่ข้างๆกลับอดไม่ไหว แม้ว่าเธอจะจัดอยู่ในสาวสวยอันดับต้นๆของวงการบันเทิง และก็เคยคบหากับไฮโซมาหลายคนแล้วก็ตาม แต่ไม่เคยมีผู้ชายสักคนที่ทำให้เธอหวั่นไหวมาก่อนเลย ผู้ชายคนนั้นที่ปรากฏตัวพร้อมกับติงยียี เป็นคนแรก
เธอบีบกระโปรงเบาๆก้าวไปข้างหน้า พูดเบาๆว่า “แม้งานปาร์ตี้นี้จะไม่อนุญาตให้เปิดเผยชื่อนามสกุล แต่คุณจะทำลายกฎเกณฑ์นี้เพื่อฉันสักครั้งได้มั้ย”
แซ่ถิงถิงนั้นเป็นคนสวยอย่างไม่ต้องสงสัย สายตาสดใสแพรวพราวของเธอในตอนนี้ เหมือนมีลำแสงสายน้ำแห่งฤดูใบไม้ร่วง พอดีกับชุดราตรีที่ออกแบบมาเน้นรูปร่างส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างชัดเจน ผู้หญิงที่ครองบัลลังก์เทพธิดาสุดเซ็กซี่จะไม่ดีได้อย่างไร
ติงยียีสัมผัสได้ว่าฝีเท้าหยุดชะงักลงแล้ว ก็ถูคนข้างๆอย่างไม่พอใจนัก เย่เนี่ยนโม่แววตาเคร่งขรึมลง เขาเปลี่ยนท่าทำให้เธอนอนสบายยิ่งขึ้น หันข้างมองแซ่ถิงถิง ริมฝีปากใต้หน้ากากเผยอ “ผมเป็นแค่ผู้จัดการของเธอเท่านั้นเองครับ”
ลมเย็นเยือกของฤดูใบไม้ผลิ ฤดูหนาวค่อยคืบคลานเข้ามาใกล้ พอติงยียีออกมาก็ถูกอุ้มขึ้นมาในแนวขวาง เธอซุกอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น นอนหลับสนิท
พนักงานขับรถมา เย่เนี่ยนโม่อุ้มติงยียีเข้าไปในรถ จ่ายทิปแล้วก็หมุนตัวขึ้นรถ
เขาเอี้ยวตัวไปรัดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ ข้างทางมีรถขับผ่านมาหนึ่งคัน ไฟหน้ารถสาดส่องเข้ามาในรถ เขาพบว่ามีตุ่มสีแดงเล็กๆขึ้นบนใบหน้าเธอ
อาการแบบนี้เขาเคยเห็นครั้งหนึ่ง เปิดดูตรงแขน บนแขนเธอก็เริ่มแดงเป็นปื้นขึ้นมาแล้วจริงๆ
“คัน” ติงยียีทั้งเมาทั้งเวียนหัว ยื่นมือออกมาอยากจะเกา แต่ก็ถูกเขาขวางเอาไว้กลางคัน เย่เนี่ยนโม่จับมือเธอไว้ มืออีกข้างขับรถ “รออีกเดี๋ยว ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
อาจจะเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือ เธอบ่นพึมพำเล็กน้อย แล้วก็สงบลง
ไปโรงพยาบาลแล้ว ตอนกลับมาที่บ้านตระกูลติงก็เกือบจะตีสามแล้ว เขาอุ้มเธอลงจากรถ หยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าเธอมาเปิดประตู
แม้ว่าบ้านตระกูลติงจะซ่อมแซมปรับปรุงใหม่แล้ว แต่ก็ยังคงเรียบง่ายเหมือนที่ผ่านมา เขาวางเธอเบาๆลงบนโซฟา ลุกขึ้นไปเอาผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำ
ขณะที่เดินผ่านห้องรับแขก ภาพถ่ายที่ติดอยู่บนผนังก็ดึงดูดเขาไว้ เธอที่อยู่ในภาพเป็นเด็กตัวเล็กๆ ถักเปียสองข้าง ในปากฟันหน้าหลอหนึ่งซี่อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังคงยิ้มอย่างมีความสุข ข้างๆเธอ มีผู้ชายหนึ่งคนผู้หญิงหนึ่งคนยิ้มอย่างอ่อนโยน
มองลงมาด้านล่างอีก ผู้หญิงหายไปแล้ว เหลือเพียงติงยียีกับพ่อของเธอ ฟันใหม่เธอโผล่ออกมาแล้ว ผมกลับตัดสั้นเหมือนผู้ชายอย่างนั้น,บนใบหน้าแม้จะมีรอยยิ้ม แต่กลับมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น
มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากโซฟาตัวเก่า เขารีบไปจับมือที่อยากจะเกาหน้าของติงยียีไว้
ถูกเขาจับอยู่ ติงยียีก็สงบนิ่งลง รอพอเขาปล่อยมือ เธอก็ยกมือขึ้นมาเตรียมจะเกาตัวเองอีก
เขาหมดหนทาง ตีหลังมือเธอเบาๆเป็นการลงโทษ เขาไม่ยอมปล่อยมือเลย นั่งลงบนพื้น
เขากุมมือของเธอ เธอหลับสบาย เขามองอย่างหลงใหลเคลิบเคลิ้ม ติงยียีขยับเล็กน้อย สิ่งที่อ่อนนุ่มตรงหน้าอกเกือบจะโผล่ออกมา จู่ๆเขาก็หอบหายใจขึ้นมา
เขาละสายตาไปมองที่ลำคอสวยได้รูปของเธอ กระดูกไหปลาร้าเรียวเล็กน่าหลงใหล ลำคอเขาตีบตัน ท้องน้อยส่วนล่างเกร็งแน่นทำให้เขาขมขื่น ค่อยๆลุกขึ้นโน้มตัวไปหาเธอ ยื่นมือไปหยิบเสื้อโค้ทที่พนักเก้าอี้ เอามาปกปิดสิ่งที่ทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ให้หมด
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ร่างที่อยู่ใต้เสื้อโค้ทขยับตัว เย่เนี่ยนโม่รีบกดโทรศัพท์
“อ้าวเสว่ถูกทำร้าย ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”
“ฮัดชิ้ว!” ติงยียีจามจนตื่นขึ้นมา มองไปรอบๆอย่างงุนงงก่อน จากนั้นจึงนึกได้ว่าตนเองน่าจะถูกเย่เนี่ยนโม่ส่งกลับมา
แพนด้ากระดิกหางหมอบอยู่บนโซฟา มันเกือบจะครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่เกินครึ่งไปแล้ว ติงยียีหยิบเสื้อโค้ทของเย่เนี่ยนโม่ออก สวมรองเท้าแตะไปเตรียมอาหารหมา
ฝนที่กำลังตกอยู่นอกหน้าต่าง พัดพาเอาความหนาวเย็นไปถึงกระดูกของปลายฤดูใบไม้ร่วง เธอจึงกระชับเสื้อคลุมบนตัวให้แน่น
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชิวไป๋ตำหนิชุดใหญ่ เธอรีบขอโทษ หลังจากวางสายแล้ว ทันใดนั้นภายในห้องก็เงียบลงจนทำให้เธอไม่คุ้นเคยเล็กน้อย
เธอเดินมาที่ระเบียงหน้าต่าง นิ้วมือขีดเขียนอยู่บนหน้าต่างกระจกที่มีไอน้ำปกคลุมโดยไม่รู้ตัว รอจนเธอรู้สึกตัว บนกระจกก็เขียนคำว่า‘เย่เนี่ยนโม่’ เต็มไปหมดแล้ว
ฝนที่ตกนอกหน้าต่าง ความเงียบงันภายในบ้าน ชื่อบนขอบหน้าต่างทำให้เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที และกดหมายเลขโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้น
“ฮัลโหล ฉันคือติงยียี”
“นอนหลับสบายมั้ย” ในน้ำเสียงของเย่เนี่ยนโม่ที่อยู่ปลายสายนั้นก็แฝงด้วยความเหนื่อยล้า นี่ทำให้จู่ๆหัวใจเธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี