สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1517 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1357
ติงยียีตกใจกับท่าทางที่น่ากลัวของเขา ถอยกรูดไปข้างหลังสองสามก้าว มองเขาด้วยความตกใจสงสัยเล็กน้อย ทันใดนั้นไห่โจ๋ซวนก็หัวเราะขึ้นมาเหมือนคนเสียสติ หัวเราะพลางตบเบาๆที่หลุมฝังศพพลาง
ติงยียีมองเขา แม้ว่าเขาจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็มีเสี้ยววินาทีนั้นที่เธอมองเห็นเม็ดใสๆที่หางตาของเขา ตอนที่เจ็บปวดจนพูดไม่ออกได้แต่ใช้เสียงหัวเราะแทน ทันใดนั้น เธอก็ไม่กลัวแล้ว ติงยียีพูดว่า “คุณกำลังหัวเราะอะไร”
รอยยิ้มของไห่โจ๋ซวนจางหายไป สวมแว่นตา กลับสู่ท่าทีที่สง่าผ่าเผยตามปกติอีกครั้ง เขาทีละคำว่า “อย่าให้ผมเห็นความสงสารเห็นใจบนสีหน้าคุณอีก”
ติงยียีรู้ว่าความแค้นที่มีต่อตระกูลเย่ของเขานั้นซึมลึกเข้าไปในกระดูกแล้ว แต่กลับไม่ปล่อยโอกาสสุดท้ายที่จะช่วยตระกูลเย่อธิบาย “โจ๋ซวน พวกเราไปคุยกับเนี่ยนโม่กันนะ พวกคุณเป็นเพื่อนรักกันมาสิบกว่าปี”
ไห่โจ๋ซวนหันไปจัดหลุมฝังศพ เอาดอกไม้สดที่ถูกลมพัดเละเทะจัดวางใหม่ให้ดี เขาพูดเบาๆว่า “บริษัทเย่ซื่อจำเป็นต้องปิดตัวลงจึงจะสามารถดับความแค้นในใจผมได้”
“ฉันไม่มีทางปล่อยให้คุณทำสำเร็จ ฉันจะไปบอกเนี่ยนโม่!” ติงยียีหมุนตัวเดินไปข้างนอกอย่างโมโห
ไห่โจ๋ซวนมองแผ่นหลังเธอพูดอย่างช้าๆว่า “แม้ว่าผมจะแปลกใจมากที่เขาบอกเรื่องนี้กับคุณ แต่ความเป็นเพื่อนกับความรักสิ่งไหนสำคัญคุณก็น่าจะรู้นานแล้วไม่ใช่หรือ”
ติงยียีหันไปมองด้วยความโกรธ ทันใดนั้นสีหน้าก็อ่อนไหวขึ้นมา เธอพูดอย่างสงสัย “อย่างนั้นคุณก็ไม่เคยรักชูฉิงมาก่อนเลยเหรอ”
ไห่โจ๋ซวนที่กำลังจัดช่อดอกไม้ก็ชะงักงัน “เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรัก แต่ก็เธอเป็นผู้หญิงที่ผมเกลียดที่สุดเช่นกัน”
เพื่อแก้แค้น จงใจทำให้ลูกสาวของศัตรูมีชีวิตอยู่ในความทุกข์อยากจะรักก็รักไม่ได้ เพื่อแก้แค้น จงใจแย่งคนที่เย่เนี่ยนโม่ชอบ เพื่อแก้แค้น ในรอยยิ้มแฝงด้วยความอาฆาตอยู่ข้างกายศัตรูมาสิบกว่าปี ก็เพื่อที่จะสะสมพลังให้ปีกกล้าขาแข็ง
“คุณน่ากลัวมาก!” ติงยียีหน้าขาวซีด วิ่งโซซัดโซเซออกไปข้างนอก เธอต้องบอกทุกอย่างกับเย่เนี่ยนโม่
คฤหาสน์ตระกูลเย่ พ่อบ้านเดินเข้าไปที่ห้องรับแขกอย่างลำบากใจ “นายท่าน คุณนาย คุณชาย คุณติงยียีอยากจะขอพบทุกท่านครับ”
อ้าวเสว่ที่เดิมนั่งอย่างเรียบร้อยก็ลุกขึ้นยืนทันที สีหน้าหม่นหมอง“ขอโทษนะคะขอฉันตอบหน่อย ตอนนี้ฉันไม่อยากพบใครทั้งนั้น”
เซี่ยชีหรั่นรีบลากเธอมาปลอบเบาๆ เย่เนี่ยนโม่ที่เตรียมจะลุกไปข้างนอก เย่เชินหลินที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นมาก่อนว่า “ให้เธอเข้ามา”
ติงยียีรีบวิ่งพรวดพราดเข้ามา พอเข้ามาที่ห้องรับแขกก็พูดทันทีว่า “เรื่องศูนย์การค้าสากลเป็นแผนของไห่โจ๋ซวนค่ะ”
เธอคิดว่าทุกคนจะต้องตื่นตกใจจนเด้งตัวลุกขึ้นมา แต่ทักคนฟังแล้วสีหน้าเรียบเฉย พ่อบ้านพูดด้วยสีหน้าแปลกใจว่า “คุณยียีคุณกำลังพูดอะไรอยู่ครับ คุณชายโจ๋ซวนเป็นคนที่ตระกูลเย่เห็นตั้งแต่เล็กจนโต ”
ติงยียีวิ่งไปข้างๆเย่เนี่ยนโม่ เธอดึงแขนเสื้อเขาพูดอย่างร้อนใจว่า “เชื่อฉันนะ ทั้งหมดนี้เป็นแผนของโจ๋ซวน เขาต้องการให้บริษัทเย่ซื่อพังพินาศ”
เย่เนี่ยนโม่มองเธอ สายตาเคร่งขรึม หลังจากผ่านไปพักหนึ่งเขาก็ยื่นมือออกมากุมมือเธอ น้ำเสียงหนักแน่น “ยียี ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ผมรักคุณ ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะอยู่ข้างคุณ”
ติงยียีสะบัดมือเขาออกคำรามว่า “คุณคิดว่าฉันวางแผนสร้างความแตกแยกให้คุณกับไห่โจ๋ซวน จากนั้นยั่วยุให้คุณแย่งฉันกลับมาเหรอ”
เย่เนี่ยนโม่นิ่งเงียบ สีหน้ากลับแสดงทุกอย่างชัดเจน เซี่ยชีหรั่นที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “คุณยียี ตระกูลไห่กับตระกูลเย่ของพวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาสิบกว่าปีแล้ว”
ติงยียีเข้าใจแล้ว ดังนั้นก็ยิ่งเจ็บใจ อ้าวเสว่ก็เป็นคนที่ตระกูลเย่เห็นตั้งแต่เด็กจนโต ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าข้างเธอ ไห่โจ๋ซวนเองก็เป็นคนที่ตระกูลเย่เห็นมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นพวกเขาก็ยิ่งเชื่อในคนที่มีชีวิตมาสิบกว่าปี ส่วนเธอก็เป็นแค่ตัวตลกที่ไม่น่าเชื่อถืออะไรเท่านั้น
เธอเดินออกมาจากบ้านตระกูลเย่อย่างผิดหวัง เดินไปไม่กี่ก้าวข้อมือก็ถูกจับเอาไว้ เย่เนี่ยนโม่พูดเสียงขรึมว่า “ผมส่งคุณกลับบ้าน”
เธอส่ายหน้า เอามือเขาออก พูดเบาๆว่า “เขาพูดถูก ฉันกับเขา ความรักกับมิตรภาพ คำตอบของคุณยังไม่เคยเปลี่ยน ฉันแพ้อย่างราบคาบ”
เย่เนี่ยนโม่ตกใจกับความสิ้นหวังในดวงตาเธอ สองมือจับไหล่ของเธอไว้ “ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อคุณ แต่เรื่องนี้ยากที่จะเชื่อเหลือเกิน ผมรับปากคุณว่าจะสืบให้กระจ่าง”
เธอพยักหน้าอย่างหมดหนทาง ถอยไปข้างหลังสองสามก้าวให้หลุดออกจากพันธนาการของเขา “ฉันเหนื่อยแล้ว ฉันไปก่อนนะคะ ไม่ต้องไปส่งฉันหรอก”
ไม่รอให้เย่เนี่ยนโม่พูดอะไร เธอก็หมุนตัววิ่งหนีไป ไม่รู้ว่าวิ่งไปนานแค่ไหน รอจนเธอวิ่งไม่ไหวก็ค่อยๆออกจากหมู่บ้านไปหยุดที่ป้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
“นี่คือติงยียีเหรอเปล่าครับ เซ็นชื่อให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ ลูกสาวผมชอบคุณมากเลยนะครับ!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองเธอพลางหยิบสมุดออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ
เธอฝืนยิ้มพลางตอบรับ กำลังหยิบปากกามาเขียน มีรถขับมาอยู่ไกลๆ รถค่อยๆลดความเร็วเข้ามาใกล้ๆเธอ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทักทายกับคนในรถ “คุณไห่ กลับมาแล้วเหรอครับ”
ไห่โจ๋ซวนพยักหน้าทำเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “แม่ผมพักอยู่บ้านติดกับบ้านตระกูลเย่ ยียีถ้าคุณว่างไปนั่งคุยกันได้นะ”
รถยนต์ค่อยๆขับจากไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบ่นพึมพำว่า “ที่แท้คุณก็รู้จักกับคุณไห่นี่เอง บ้านตระกูลไห่กับบ้านตระกูลเย่เป็นเพื่อนบ้านกันมาสิบกว่าปีแล้ว”
ติงยียีก้มหน้ามองไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร ปากกาในมือขีดเขียนลงบนสมุดอย่างแรง หัวใจหนาวยะเยือกจนใกล้จะตายแล้ว
กลับมาที่บริษัท ติงยียีถูกชิวไป๋จับยึดเอาไว้ตำหนิครู่หนึ่ง “เธอเนี่ยนะ! เก่งจริงๆ หนีไปทั้งวันแม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่ติดต่อมา ฉันว่าเธอไม่ต้องมีผู้จัดการส่วนตัวแล้ว เธอต้องการชาวซุปเปอร์ไซย่า!”
เห็นติงยียีขอโทษอย่างเศร้าๆ เธอก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “มีปัญหากับคุณชายเย่เหรอ”
ติงยียีส่ายหน้า รู้สึกว่าตนเองอ่อนเปลี้ยไปทั้งตัว ทำอย่างไรก็ไม่เกิดความกระตือรือร้น เธอซุกตัวอยู่บนโซฟาในห้องพักของศิลปินนอนหลับไปโดยไม่สนใจอะไร
ชิวไป๋มองเห็นสภาพเธอก็สงสารเล็กน้อย รีบควักโทรศัพท์มือถือออกมาทันที “ตาทึ่ม! คุณชายของพวกนายทำอะไร ทำไมพอเธอกลับมาก็มีท่าทีเศร้าสร้อยเหมือนกับอกหัก”
ข้อความตอบกลับมาเร็วมาก เธอเปิดดู “คุณชายผมเองก็มีท่าทางเศร้าเหมือนคนอกหักเช่นกัน แล้วก็ อย่าเรียกผมว่าตาทึ่มด้วย”
เธอยิ้มมุมปาก นั่งลงบนอีกด้านของโซฟาส่งข้อความ กำลังจะส่งข้อความ โทรศัพท์มือถือของติงยียีก็ดังขึ้น
ขณะที่ชิวไป๋กำลังลังเลว่าจะเรียกติงยียีให้ตื่นขึ้นมาดีหรือไม่นั้นเธอก็ตื่นขึ้นมาเองแล้ว มองเห็นหมายเลขที่โทรมา ติงยียีลังเลเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็รับสาย
“พี่ยียีสบายดีมั้ยคะ” ในสาย เสียงเย่ชูฉิงยังคงอ่อนโยน เหมือนกับดอกซากุระที่ลออยบนผิวน้ำ
พอเอ่ยปากติงยียีตกใจกับเสียงแหบพร่าของตนเอง รีบทำให้ปากหายแห้ง “พี่สบายดี เธอล่ะ,”
เย่ชูฉิงบอกเล่าสถานการณ์คร่าวๆของตนเองที่ฝรั่งเศส แล้วจู่ๆก็เปลี่ยนหัวข้อ “พี่ยียี ฉันอยากให้พี่ช่วยฉันเรื่องหนึ่ง วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อพี่โจ๋ซวน ฉันอยากให้พี่ไปปลอบเขาหน่อย ในเมื่อเขาชอบพี่ อย่างนั้นการปลอบใจของพี่ต้องเป็นสิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุดแน่”
ทุกครั้งที่ได้ยินชื่อไห่โจ๋ซวนสามคำนี้ ติงยียีไม่ได้รู้สึกตื่นตัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ที่มีมากขึ้นคือความสงสารที่มีต่อเย่ชูฉิง ผู้หญิงที่ทุ่มเทให้ความรักอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ เธอจะรู้หรือเปล่าว่าความรักของเธอในตอนแรกแฝงด้วยแผนการทรยศหักหลัง
เธอไม่สามารถปกปิดมันได้ เธอเล่าเรื่องทั้งหมดในวันนี้ออกมา เมื่อพูดสาเหตุและผลที่ตามมาแล้วเสร็จ ติงยียีก็รอการตอบโต้ของเย่ชูฉิง เธอรู้เย่ชูฉิงไม่มีทางเชื่อตนเอง ดังนั้นเธอกำลังรอ รอความโกรธเธอ
“พี่ยียี พวกเราต้องขัดขวางพี่โจ๋ซวนนะคะ” เสียงที่หนักแน่นทำให้ติงยียีแปลกใจดังขึ้นอีกครั้งในสาย น้ำเสียงเธอแปลกไปเพราะความตื่นเต้น “เธอเชื่อที่พี่บอกเหรอ”
เสียงในสายโทรศัพท์แฝงด้วยการฝืนยิ้ม “ตอนเด็กๆฉันก็สังเกตท่าทีของเขาที่มีต่อฉัน บางครั้งก็อ่อนโยน บางครั้งก็เหมือนควบคุมความเย็นชาไว้ไม่ได้อย่างนั้น บางครั้งฉันก็แกล้งทำเป็นหลับแอบมองเขา บางครั้งเขาก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างนั้นเลย ฉันรู้ เขาเกลียดฉัน เกลียดตระกูลเย่”
ติงยียีพูดออกมาอย่างยากลำบาก “ในเมื่อเป็นแบบนี้เธอก็จะยังรักเขาเหรอ”
เย่ชูฉิงตอบกลับอย่างเร็วมาก “ใช่ค่ะ ฉันรักเขา พี่ยียี ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะกลับประเทศ ฉันหวังว่าพี่จะเก็บเป็นความลับ อย่าไปบอกคนในครอบครัวฉันนะคะ”
ติงยียีไปรับเย่ชูฉิงที่กลับประเทศ ด้วยอารมณ์วิตกกังวล ติงยียีก็นั่งรถไปที่สนามบินแต่เช้าตรู่
เมื่อถึงสนามบิน เธอมองเห็นท่าทีเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่พูดของคนขับรถ จึงถามอย่างเป็นห่วงว่า “ไม่ทราบว่าคุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
คนขับหยิบกระดาษโน้ตออกมา “คุณเป็นพรีเซนเตอร์ของร้านเฟรนไชส์บาร์บีคิวร้านหนึ่ง แล้วยังถ่ายโฆษณาด้วย คุณคีบเนื้อย่างกินอย่างมีความสุขใช่หรือเปล่าครับ”
ติงยียีพยักหน้า หลังจากเซ็นลายเซ็นให้คนขับรถแล้วจู่ๆเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าตนเองลงจากรถไปแบบนี้คนอื่นก็ต้องจำได้ ถึงเวลาชิวไป๋ก็ต้องมาว่าเธออีกแน่นอน!
คนที่ออกจากสนามบินมาจะโบกเรียกแท็กซี่ ทันใดนั้นก็พบว่ารถที่เพิ่งจอดเลี้ยวโค้งขับออกไปไกกล
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถก็จอดที่ด้านนอกสนามบินอีกครั้ง ผู้หญิงที่แต่งกายสุภาพเรียบร้อยลงจากรถ เธอสวมแว่นกันแดดขนาดใหญ่ ผ้าพันคอพันรอบศีรษะ เกือบปิดใบหน้าของเธอทั้งหมดแล้ว
ตอนนี้เองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เสียงหวานๆของเย่ชูฉิงพูดว่า “พี่ยียี ฉันออกมาด้านนอกสนามบินแล้ว พี่อยู่ที่ไหนคะ”
ติงยียีมองไปรอบๆ มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดกระโปรงสีชมพูก็กำลังมองไปรอบก็รีบโบกมือให้เธอ
เย่ชูฉิงมองผู้หญิงที่ห่อตัวเหมือนมัมมี่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักอย่างสงสัย คิดเอาเองว่าได้เรียกตนเอง
เธอขยับไปสองสามก้าว พบว่าไม่ว่าตนเองจะไปทางไหนสองมือนั้นก็ยังคงโบกไม้โบกมือมาทางตนเองอยู่ดี เธอเข็นรถกระเป๋าเดินทางเดินไปอย่างสงสัย
“ชูฉิง ฉันคิดถึงเธอจะตายอยู่แล้ว!” ติงยียีถอดแว่นออกมากอดเธอ ข้างถนนมีเด็กคนหนึ่งถือถุงขนมเดินอยู่ข้างๆแม่ มองเห็นเธอ เด็กน้อยก้มหน้ามองคนที่อยู่บนห่อขนมแวบหนึ่ง แล้วก็เงยหน้ามามองเธออีก
ติงยียีรีบสวมแว่นตาอีกครั้ง ก้มหน้าลากเย่ชูฉิงเดินไปที่มุมหนึ่ง เย่ชูฉิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “พี่ยียี พี่เป็นอะไรคะ”
ติงยียียิ้มอย่างเขินๆ “หึๆ ไม่มีอะไร ก็แค่งานที่ทำค่อนข้างพิเศษนิดหน่อย จะให้คนอื่นจำได้บ่อยๆไม่ได้”
เย่ชูฉิงตกใจมาก “พี่ยียี หรือว่าพี่ค้ายา!”
ติงยียี “····”
ในร้านอาหาร เย่ชูฉิงกำลังสั่งอาหารบนเมนู พูดกับติงยียีอย่างดีใจไปพลาง “อาหารร้านนี้อร่อยมาก ฉันเลี้ยงพี่ยียีนะ”