สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1521หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1361
“โจ๋ซวน คุณเป็นอะไร! ทำไมเป็นแบบนี้” ติงยียีคาดไม่ถึงเลยว่าไห่โจ๋ซวนจะเป็นถึงขั้นนี้
ไห่โจ๋ซวนยิ้มพลางเอาเหล้ากรอกใส่ปาก มือหนึ่งผลักเย่ชูฉิงที่ประคองตนเองอยู่ บ่นพึมพำว่า “พวกคุณไม่ต้องมายุ่งกับผม! มองเห็นพวกคุณผมก็เจ็บใจ! เหมือนกับเป็นการตอกย้ำว่าสิ่งที่ผมทำสิบปีมานี้เป็นเรื่องโง่เง่ามาก!”
เขาทุบอกตนเองแรงๆ แหงนหน้าดื่มเหล้าอีก โบกมือเดินไปทางปากซอย
“ชูฉิงขวางเขาไว้!” ติงยียีพูดพลางล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา ตอนนี้คนที่เธอนึกถึงมีเพียงคนเดียว——เย่เนี่ยนโม่
เพิ่งจะโทรติด โทรศัพท์มือถือก็ถูกแย่งไป ไห่โจ๋ซวนเอาโทรศัพท์มือถือทุกกับกำแพงอย่างแรง “ไม่ต้องไปตามเขา! รู้หรือเปล่าว่าคนที่ผมเกลียดที่สุดก็คือเขา! ทำไมเขามีความสุขได้ขนาดนั้น ทำไม!”
เย่ชูฉิงตกใจท่าทางของเขามาก เธอพูดพลางร้องไห้ว่า “ไม่ตามแล้วค่ะ ฉันไม่ตามใครทั้งนั้น พี่ให้ฉันตามไปข้างๆพี่ก็พอแล้ว”
เสียงร้องไห้ของเธอแฝงด้วยความสิ้นหวัง จู่ๆไห่โจ๋ซวนก็เงียบลง เขายื่นมือมาเช็ดน้ำตาเธอ
ติงยียีเหลือบมองโทรศัพท์มือถือที่ถูกทับจนแตกละเอียด ก็ถอนหายใจ “คุณจะจมอยู่ในความเจ็บปวดเสียใจตลอดไปไม่ได้ คุณต้องเดินออกมาโจ๋ซวน”
โจ๋ซวนส่ายหน้าให้เธอ หมุนตัวแล้วเดินไป เย่ชูฉิงตามไปข้างหลังเขาอย่างว่านอนสอนง่าย จนกระทั่งมองไม่เห็นทั้งสองคน ติงยียีหมุนตัวเดินจากไป แต่ละคนต่างก็มีความเจ็บปวดของตนเอง เธอช่วยเขาไม่ได้ ใครก็ช่วยเขาไม่ได้
ซือซือรอจนกระวนกระวายใจไม่ไหวแล้ว ตอนที่มองเห็นติงยียีกำลังคิดจะโวยวาย สุดท้ายก็สะกดกลั้นความโกรธลงได้
“ขอโทษที่ฉันมาช้าค่ะ” ติงยียีรีบวิ่งมา สีหน้าแดงเรื่อเพราะวิ่งมา
“นั่งสิ” ซือซือนั่งลงก่อน เธอหยิบเมนูพลางพูดว่า “จะดื่มอะไร”
“น้ำแอปเปิลค่ะ” เธอไม่รู้ว่าจะเข้าหาคนใกล้ชิดกับเธอทางสายเลือดที่สุด แต่กลับทำร้ายตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างไร เธอตัดสินใจเป็นฝ่ายรุกก่อน
“มาหาฉันทำไม” สายตาทั้งหมดของเธอจับจ้องไปที่น้ำตาลก้อนบนโต๊ะ สั่นไปทั้งตัวด้วยความตื่นเต้น
ซือซือไม่อ้อมค้อม พูดตรงๆว่า “เรื่องนั้นของตระกูลเย่เป็นยังไงบ้าง”
ติงยียีถามอย่างแปลกใจว่า “ทำไมคุณถึงเป็นห่วงเป็นใยตระกูลเย่ขนาดนั้น”
ซือซือคิดไว้แต่แรกแล้วว่าเธอจะต้องถามแบบนี้ ยิ้มพลางคนกาแฟในแก้วแล้วพูดว่า “ต่อไปๆไม่ว่าเธอหรืออ้าวเสว่ใครจะแต่งเข้าบ้านตระกูลเย่ ฉันก็ต้องสนใจสถานการณ์ของบ้านสามีพวกเธอด้วย”
คำพูดของเธอทำให้ติงยียีอยากหัวเราะ พนักงานนำน้ำแอปเปิ้ลมา เธอดื่มไปอึกใหญ่ “สบายใจเถอะค่ะ คนที่ลูกสาวคุณจะแต่งงานด้วยไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้น ปัญหาถูกแก้ไขแล้ว”
คำพูดของเธอทำให้ซือซือคลายความกังวลลง เธอดื่มกาแฟอึกหนึ่งปกปิดความยินดีในใจ แสร้งทำเป็นพูดอย่างไม่ตั้งใจว่า “ฉันอยากจะหาเวลามาพบกับพ่อเธอหน่อย”
เมื่อเอ่ยถึงติงต้าเฉิน สีหน้าติงยียีก็หดหู่ลงทันที เธอพูดอย่างเสียใจว่า “พ่อล้ม ตอนนี้ยังหมดสติ ช่วงนี้ไม่สะดวก”
ซือซือมองเธอด้วยสีหน้า ก้อนหินในใจหล่นร่วงลงพื้นในทันที เธอยืนขึ้นสีหน้ากลับไปเป็นเย็นชาแบบก่อนหน้านี้ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ถ้างั้นฉันไปก่อนนะ”
ติงยียีมองเธอที่อยู่ๆท่าทีก็เปลี่ยนไปอย่างนิ่งเงียบ แอบหัวเราะเยาะตัวเองในใจ นี้อาจจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอก็ได้ ความตื่นตกใจที่เสแสร้งออกมาเมื่อครู่ราวกับเป็นละครฉากหนึ่ง
ซือซือที่เดินมาเกือบถึงประตูแล้วกลับหันมา พูดอย่างดุดันว่า “จำไว้ อย่าบอกกับคนอื่นว่าเธอเป็นลูกสาวฉัน”
ติงยียีฉีกยิ้มกว้างออกมา “สบายใจเถอะค่ะ คุณน้าซือซือ”
หลังจากที่ซือซือไปนานมากแล้วเธอจึงรีงกลับไปที่โรงพยาบาล พอเปิดประตูห้อง เตียงผู้ป่วยที่พ่อนอนในห้องมีคนป่วยอีกคนนอนอยู่
“พยาบาลคะพ่อฉันล่ะคะ!” เธอรีบรั้งตัวพยาบาลเพื่อถาม
พยาบาลยิ้มพลางเอ่ยว่า “คุณผู้ชายท่านนี้ย้ายไปห้องวีไอพีแล้วค่ะ ที่ชั้นแปดค่ะ”
เธอรีบวิ่งไปที่ชั้นแปดอย่างรวดเร็ว เปิดประตู ก็มองเห็นผู้ชายที่นั่งหันหลังให้เธออยู่บนโซฟา ผู้ชายคนนั้นต่อให้เห็นเพียงแวบเดียวก็ลืมไม่ลง
ติงยียีพุ่งเข้าไปที่หน้าเตียง พ่อยังไม่ฟื้น แต่เสื้อผ้าที่สวมอยู่เห็นชัดว่าถูกเปลี่ยนไปแล้ว และข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องพักผู้ป่วยก็ดูหรูหราขึ้นมาก
เธอหมุนตัวไปมองเขา ถอนหายใจ “เย่เนี่ยนโม่ คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้”
เย่เนี่ยนโม่เก็บหนังสือที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ทำไมต้องโมโหขนาดนั้นด้วย”
ติงยียีถลึงตาใส่เขา เบนหน้าหนี “ฉันเปล่าเสียหน่อย”
เย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้นค่อยเข้าใกล้เธอ ขมวดคิ้ว“เปล่าเหรอ”
บนร่างเขามีกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่รู้สึกคุ้นเคย เธอผลักแผ่นอกที่เข้ามาใกล้ของเขาอย่างแรง พูดอย่างดุดัน “คุณไปให้พ้น!”
“อย่าไล่ผมได้มั้ย” เย่เนี่ยนโม่เองก็เหนื่อยมาก,สองสามวันมานี้พอนึกถึงเรื่องที่ไห่โจ๋ซวนทรยศหักหลังตนเอง ในใจเขาก็เจ็บปวด นั่นคือรสชาติของการทรยศของเพื่อน
“ผัวะ!” ติงยียียกฝ่ามือที่ชาขึ้น สั่นไปทั้งตัว เธอผลักเขาออก เดินไปเดินมาในห้องอย่างหงุดหงิด ร้องตะโกนอย่างไม่สนใจอะไรว่า “คุณไล่ฉันออกมาจากบริษัทเย่ซื่อ ฉันจะบอกคุณให้นะ เพราะเหตุผลที่มีคนจะทำร้ายฉัน แต่กลับไม่รู้เลยว่าฉันยอมถูกคนทำร้ายดีกว่าจะยอมออกจากวงการเครื่องประดับ
คุณผลักไสให้ฉันไปอยู่ข้างหายไห่โจ๋ซวน เพราะเขาพูดมาประโยคเดียวว่า ‘เขาชอบฉัน’ ส่วนตอนนี้อุปสรรคอย่างไห่โจ๋ซวนไม่อยู่แล้ว คุณก็กลับมาหาฉัน ตกลงว่าคุณเห็นฉันเป็นอะไรกันแน่ ฉันไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆ ฉันก็เหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกคุณปั่นหัวเล่น!”
เธอตะคอกด้วยเสียงที่ตะเบ็งใส่เขา สิ่งเหล่านี้ที่เดิมควรจะเขียนลงในบันทึกประจำวันกลับถูกเธอใช้ปากพูดออกมาแทน หอบหายใจ เธอพิงกับผนังทิ้งตัวไหลลงมาที่พื้น
เย่เนี่ยนโม่ย่อตัวลง ตรงหน้าเธอ จ้องมองตรงๆไปยังดวงตาเธอ น้ำเสียงอ่อนโยน “ในใจของผม ความปลอดภัยของคุณสำคัญยิ่งกว่าความฝันของคุณตอนแรกที่ผมตัดสินใจผลักไสคุณไปกับไห่โจ๋ซวน ผมก็เตรียมใช้ชีวิตตัวคนเดียว นี่คือวิธีที่ผมแสดงว่ารักคุณ”
คำพูดเขาเบาขนาดนั้น ก็เหมือนกับเมฆที่ลอยละล่องอยู่ในท้องฟ้า คำพูดของเขาจริงจังมาก ความรู้สึกระหว่างบรรทัดนั้นลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายได้
ทันใดนั้นเธอก็หลบซ่อนใบหน้าที่ร้องไห้ “คุณไม่รู้หรอก ว่ามีมากมายหลายครั้งขนาดไหนที่ฉันอยากจะบอกความลับในใจตัวเองให้คุณฟัง แต่ว่าฉันกลับกลัวคุณลำบากใจ จนทำให้ฉันจะเป็นบ้าแล้ว”
มือใหญ่อันอบอุ่นกุมลงบนหลังมือเธอ เย่เนี่ยนโม่พูดเบาๆว่า “คุณจะบอกอะไรผมก็ฟังทุกอย่าง”
“ไม่ คุณไม่เข้าใจ นี่มันเหลือเชื่อเกินไป คุณคงไม่เชื่อ” ติงยียีบ่นพึมพำ เธอในตอนนี้อ่อนแออย่างยิ่ง
เย่เนี่ยนโม่ไม่ใจร้ายพอที่จะบีบบังคับเธออีก “ถ้าคุณหมายถึงเรื่องที่คุณกับอ้าวเสว่เป็นพี่น้องกัน นั่นผมไม่ถือสาจริงๆ”
“คุณรู้เหรอ!” เธอเงยหน้าอย่างแปลกใจ ร้องไห้จนดวงตาบวมแดง
เย่เนี่ยนโม่กำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เสียงของเย่ป๋อดังมาจากด้านหลัง “คุณนาย!”
ทั้งสองคนรีบหันไป ตะกร้าผลไม้ในมือเซี่ยชีหรั่นหล่นลงบนพื้น แอปเปิ้ลลูกกลมๆกลิ้งอยู่บนพื้น เธออดเป็นห่วงคนที่ช่วยเอาไว้กลางทางไม่ได้ อยากมาเยี่ยมสักหน่อย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ
“แม่!” เย่เนี่ยนโม่รีบลุกขึ้นเดินไปหาเธอ
แววตาเซี่ยชีหรั่นมองไปยังติงยียี น้ำเสียงแฝงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “เธอก็เป็นลูกสาวของ····ลุงสวีเหรอ”
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ติงยียีไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป เธอพยักหน้าอย่างนิ่งเงียบ เซี่ยชีหรั่นหันไปมองลูกชาย “นี่ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรกันแน่”
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว “เรื่องนี้จะเล่าก็ยาวครับ แต่อ้าวเสว่กับติงยียีเป็นลูกสาวของลุงสวีจริงๆครับ ยียีถูกพยาบาลอุ้มหนีไปในตอนแรก”
“แม่จะไปถามลุงสวีของลูกดู” เซี่ยชีหรั่นรีบหมุนตัวไป เย่เนี่ยนโม่รีบเดินมาตรงหน้าติงยียีกอดเธอเอาไว้อย่างแรง
“รอผมกลับมานะ” เขารีบทิ้งท้ายประโยคนี้ ตามออกไปอย่างรวดเร็ว
สวีเห้าเซิงรู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีคนรู้เข้าสักวัน เขาไม่ได้คิดจะปกปิด เมื่อก่อนเพราะอาหารป่วยของอ้าวเสว่ แต่ตอนนี้เขาคิดได้แล้ว ไม่ว่าใครก็คือลูก เขาสงสารอ้าวเสว่ แต่ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อติงยียีได้
“พ่อ พ่อจะไปไหน!” อ้าวเสว่ตอนนี้หวาดระแวงไปหมด พอสวีห้าวเซิงรับโทรศัพท์ เธอก็รู้สึกได้ว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้ว
สวีเห้าเซิงสวมเสื้อคลุมไปพลางพูดพลางว่า “ไม่มีอะไร ก็แค่จะไปหาน้าเซี่ยของลูกหน่อย อีกไม่นานก็กลับมา”
“ไปหาน้าเซี่ยทำไมคะ!” เสียงเธอแหลมสูงขึ้นมารีบวิ่งมาตรงหน้าเขาด้วยเท้าเปล่า
สวีเห้าเซิงลังเลในใจ ตัดสินใจว่าจะปิดบังเธอ “อัญมณีของลูกเพิ่งวางขายในตลาด ต่อไปยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ พ่อให้น้าเซี่ยของลูกช่วยแนะนำหน่อย”
อ้าวเสว่จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ จนกระทั่งแน่ใจว่าเขาไม่ได้โกหกตนเองจึงค่อยๆกลับไปยังโซฟานั่งเหม่อลอยเพียงลำพัง
สวีเห้าเซิงรีบออกไป มองเห็นเงาของใครคนหนึ่งผ่านไปแวบๆ ผู้ชายคนนั้นช่วงนี้มักจะเดินป้วนเปี้ยนอยู่ที่ประตูบ้าน เขาเห็นว่าเขาใส่เสื้อผ้าดูดี จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ในใจคิดแต่เรื่องที่จะคุยกับเซี่ยชีหรั่น รีบขับรถไปทันที
บ้านตระกูลเย่
สวีเห้าเซิงพอเข้าประตูมาก็พูดอย่างเข้าประเด็นเลย “ติงยียีเป็นลูกสาวผมจริงๆ”
เซี่ยชีหรั่นตอนแรกรู้สึกตกใจจากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลใจ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “พี่สวีฉันอยากจะถามว่าผู้หญิงที่อยู่กับพี่ตอนนี้ดีจริงหรือเปล่า ทำไมเธอถึงได้เอาอ้าวเสว่กับติงยียีไปทิ้งคนละที่กัน ทำให้พวกเธอคนหนึ่งต้องอยู่ในสถานสงเคราะห์ อีกคนถูกคนเก็บไปเลี้ยง”
สวีเห้าเซิงยิ้มอย่างขมขื่น “เธอเป็นคนดีมาก คนผิดคือผมเอง ตอนแรกพวกเราเป็นความรักชั่วข้ามคืน ต่อมาผมไปต่างประเทศ เธอต้องเลี้ยงลูกคนเดียวอย่างลำบากมาก ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของผม”
เซี่ยชีหรั่นพยักหน้าอย่างเข้าใจ “มีเวลาว่างให้เธอมาทานข้าวที่บ้านตระกูลเย่สิคะ” สวีเห้าเซิงส่ายหน้าอย่างขมขื่น “ค่อยว่ากันเถอะ” สถานะเธอกระอักกระอ่วนมากเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตระกูลเย่เปิดฉากนองเลือดขึ้นมาอีก เขาก็เลือกที่จะช่วยเธอปกปิดตัวตนเอาไว้
“ใช่แล้ว เนี่ยนโม่ ร่างกายของอ้าวเสว่เป็นยังไงบ้าง ไม่ไหวก็ให้เธอมาพักฟื้นที่บ้านตระกูลเย่” แม้ว่าเซี่ยชีหรั่นจะรู้ว่าติงยียีเป็นลูกสาวของพี่สวี ก็ยังเป็นห่วงอ้าวเสว่อยู่โดยไม่รู้ตัว
เย่เนี่ยนโม่ไม่พูดไม่จา “ไม่ต้องครับ ผมจะไปเยี่ยมเธอเอง แต่เธอเก็บตัวไม่ออกไปพบใคร นอกจากลุงสวีและเหยนหมิงเย้าไอ้หมอนั่นแล้ว ก็มองไม่เห็นใครคนไหนอีก แต่ว่าเหยนหมิงเย้าไอ้หมอนั่นมาหาอ้าวเสว่ทำไม
เขาคิดจนใจลอย กระทั่งเซี่ยชีหรั่นเรียกหลายครั้งก็จึงตั้งสตกลับมาได้ เซี่ยชีหรั่นคิดว่าเขากำลังคิดถึงติงยียี ก็ถอนหายใจพูดว่า “สิ่งที่ลูกพูดที่โรงพยาบาลแม่ได้ยินหมดแล้ว แต่อ้าวเสว่ป่วยก็เพราะลูก ที่ถูกคนร้ายรังแกก็เพราะลูกอีก ความรักและความรับผิดชอบ แม่หวังว่าลูกควรจะชั่งน้ำหนักให้ดีๆ”