สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1524 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 136
“งั้นทำยังไงดี! เขาไม่ได้ตั้งใจนะคะ!” ติงยียีร้อนรนกระวนกระวาย Bakerมองอย่างชอบใจ ผู้หญิงที่ผู้ชายตระกูลเย่ชอบมักจะใสซื่อไร้เดียงสาขนาดนั้น ไห่โจ๋ซวนเป็นใคร เบื้องหลังเขาก็คือตระกูลเย่ จะอย่างไรตระกูลเย่ก็ต้องปกป้องเขา ตอนนี้ที่เขาเข้าไปก็แค่ทำเป็นพิธีเท่านั้น
เขาโบกไม้โบกมือให้เธอแล้วเดินไปตรงหน้าไห่โจ๋ซวน ย่อตัวลงพูดว่า “ไปได้แล้ว”
มือของเย่ชูฉิงที่จับเขาอยู่ไม่ยอมปล่อย “พี่ไปไหนฉันก็จะตามพี่ไปด้วย!” ในใจเธอหวาดกลัวมาก แม้จะคาดเดาได้ว่าต้องมีวันนี้สักวัน แต่เธอก็ไม่เต็มใจที่จะเชื่อ
ไห่โจ๋ซวนถอนหายใจ ยื่นมือมาแตะมือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวเธออีกข้างหนึ่ง นิ้วมืองอเล็กน้อย เกี่ยวนิ้วชี้เล็กๆของเธอเอาไว้ไม่เบาไม่แรงจนเกินไป
“เธอเนี่ย มักจะชอบร้องไห้ฟูมฟาย ตอนเด็กพี่ทำแบบนี้เธอก็ยิ้มทันทีเลย ตอนนั้นพอน้าเซี่ยเห็นเธอร้อง คนแรกที่นึกถึงก็คือพี่” เขายิ้มให้เธออย่างรักใคร่เอ็นดู พูดต่อไปว่า “ครั้งนี้ก็ไม่ต้องร้องไห้ฟูมฟายได้มั้ย”
เธอมองเขาอย่างสะอึกสะอื้น อุณหภูมิระหว่างนิ้วกับนิ้วยังไม่เข้ากันดี ก็ถูกดึงออก ไห่โจ๋ซวนจูบบนผมของเธอ แล้วลุกขึ้นยืน
เขาพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ข้างๆ หลังจากหมุนตัวไปก็ชะงักทันที “แม่”
หลินหลิงยังคงสวมชุดเครื่องแบบทำงาน หน้าสดไม่ได้แต่งหน้า สีหน้าซูบซีดเทียบกับคนที่เก่งกล้าสง่างามในช่วงปกติราวกับเป็นคนละคน
เธอเดินไปตรงหน้าไห่โจ๋ซวน ขอบตาแดงเล็กน้อย แต่น้ำเสียงกลับดุดันมาก “ลูกสำนึกผิดแล้วหรือยัง”
ทันใดนั้นไห่โจ๋ซวนก็ยิ้ม ไม่นานรอยยิ้มก็จางหายไป นำมาซึ่งความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดต่อเธอ “แม่ ขอโทษครับ”
รถยนต์ค่อยๆลับหายไปจากสายตาของผู้คน เย่ชูฉิงพิงไหล่ติงยียีสะอึกสะอื้น
เย่เนี่ยนโม่ออกมาเป็นคนสุดท้าย มุมปากเขายังเขียวช้ำ สีหน้าเป็นปกติ “พี่!” เย่ชูฉิงมองเขาด้วยตาบวมแดงทั้งสองข้าง
เขาลูบศีรษะเธอ พูดกับเย่ป๋อว่า “ส่งคุณหนูกลับบ้าน”
ชิวไป๋มองเย่ป๋อโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาเองก็กำลังมองตนเอง รีบหันหน้าไปแล้วเดินไปข้างๆติงยียี
ส่งหลินหลิงและเย่ชูฉิงแล้ว เย่เนี่ยนโม่ก็จ้องมองติงยียี เธอลังเลในตอนแรก จากนั้นก็เขินอายขึ้นมา คำพูดเหล่านั้นที่พูดในโรงแรมผุดขึ้นมาในหัวทันที
“ฉันไปก่อนนะ อย่าลืมรายการพรุ่งนี้ตอนบ่าย” ชิวไป๋พูดคุยกับเธอแล้วก็เดินตรงไปที่โรงจอดรถ วันนี้เธอพบว่าความรู้สึกของตนเองที่มีต่อเย่ป๋อนั้นยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เธอต้องการเวลาคิดทบทวนให้ดี
ทันใดนั้นก็เงียบสงบลง ลมแรงพัดมา พัดเอาทรายเข้าไปในตาเธอ เธอขยี้อย่างทรมาน
มือใหญ่มือหนึ่งคว้าข้อมือเธอเอาไว้ น้ำเสียงเธอแฝงด้วยความน้อยใจอย่างไม่รู้ตัว “เจ็บ”
เธอหรี่ตา น้ำตาทำให้การมองเห็นเลือนราง มองเห็นร่างหนึ่งเข้าใกล้อย่างรางๆ เย่เนี่ยนโม่โน้มตัวลงมาใกล้เธอ ลมเย็นพัดเข้ามาในดวงตาเธอ
“ดีขึ้นบ้างมั้ย” เขาถามเธอด้วยรอยยิ้ม แม้เธอจะมองเห็นไม่ชัด แต่กลับสัมผัสได้ว่าเขาอารมณ์ดี
เธอพยักหน้า เป็นฝ่ายดึงแขนเสื้อเขาไว้ เขาหัวเราะเบาๆ เอามือมากุมมือเธอไว้แล้วพาเธอเดินไปที่รถ
รถยนต์ขับมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล ภายในพื้นที่ว่างคับแคบเงียบสนิท ทันใดนั้นทั้งสองคนก็เอ่ยปากขึ้นมาพร้อมกัน
“คุณลุงเป็นยังไงบ้าง”
“โจ๋ซวนจะไม่เป็นอะไรนะ”
เย่เนี่ยนโม่ยื่นมือไปลูบศีรษะเธอ “ไม่เป็นไร มีตระกูลเย่อยู่เขาไม่มีทางเป็นอะไร”
ติงยียีพยักหน้า “พ่อก็ยังเหมือนเดิมค่ะ คุณหมอบอกว่าเลือดที่คั่งอยู่ในสมองยังไม่หมด”
พูดจบ ก็กลับเข้าสู่ความเงียบงันอีก แต่ทั้งสองคนไม่ได้รู้สึกอึดอัด ในทางกลับกันรู้สึกสบายๆเป็นตัวของตัวเอง
เวลานี้เองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ติงยียีพอเห็นว่าเป็นคนที่เฝ้าพ่ออยู่ ก็รีบรับสาย หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็วางสาย ความดีใจบนใบหน้าของเธออย่างจะปกปิดเอาไว้ได้ “พ่อฉันฟื้นแล้วค่ะ!”
รถยนต์พุ่งทะยานไปที่โรงพยาบาลราวกับจรวด ภายในโรงพยาบาล ติงต้าเฉินนอนอยู่บนเตียงด้วยสภาพอิดโรย สีหน้าเรียบเฉย
“พ่อ!” ติงยียีพุ่งตัวไป สายตาติงต้าเฉินมองทะลุผ่านเธอไปยังเย่เนี่ยนโม่ที่ยืนตรงประตู
“คุณเย่ ห้องนี้คงเป็นห้องที่คุณจองให้ล่ะสิ” พี่สาวของติงต้าเฉินเป็นพยาบาล เขาเองก็รู้ดีว่าถ้าพักห้องที่หรูหราของโรงพยาบาลต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยแน่นอน
“ยียีเคยร่วมงานกับบริษัทในเครือของพวกเรา นี่ถือว่าเป็นหนึ่งในสวัสดิการครับ” เย่เนี่ยนโม่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ติงต้าเฉินพยักหน้า มือของเขามีรอยฟกช้ำเป็นแผ่นใหญ่ แต่ก็ยังยกขึ้นมาลูบผมยาวของลูกสาวได้อย่างยากลำบาก ดวงตามองไปยังเย่เนี่ยนโม่
เย่เนี่ยนโม่รู้ว่าเขามีเรื่องอยากจะคุยกับติงยียี จึงพยักหน้าให้เขา แล้วเป็นฝ่ายเดินออกไปเพื่อให้เวลากับพวกเขา
“พ่อคะ ต่อไปพ่อจะไปไหนก็ต้องพาฉันไปด้วยนะคะ จะล้มอีกไม่ได้แล้ว” ติงยียีมองเขาด้วยขอบตาแดงก่ำ
ในแววตาติงต้าเฉินฉายความสับสน กลับมาพูดด้วยโทนเสียงเรียบๆว่า “ลูก ลูกรู้ใช่มั้ยว่าพ่อแท้ๆของลูกคือใคร”
ติงยียีตกใจ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ มือใหญ่ที่แห้งกร้านตบเบาๆบนหลังมือเธอ พอติงต้าเฉินขยับ ก็เจ็บแผลบนศีรษะ เขาพยายามอดทนต่อความเจ็บปวด พูดอย่างอ่อนโยนว่า “พรุ่งนี้ให้เขามาพบพ่อหน่อยได้มั้ย สภาพของพ่อตอนนี้ คงได้แต่รบกวนเขามาที่โรงพยาบาล”
ติงยียีถามอย่างแปลกใจมากว่า “พ่อ ทำไมพ่อต้อง··” คำพูดที่เหลือเธอยังพูดไม่จบ สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
ติงต้าเฉินฝืนเปลี่ยนเป็นท่าที่สบายขึ้นหน่อย พูดต่อไปว่า “ชีวิตคนเรามันช่างเปราะบางเหลือเกิน ถ้ามีวันหนึ่งที่พ่อจากไปแล้ว พ่อจำเป็นต้องรู้ว่าคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับลูกเป็นมิตรกับลูกหรือไม่”
ติงยียีรู้ว่าเธอจะร้องไห้ไม่ได้ แต่ว่าในใจกลับกลัวมาก เธอรู้ว่าต้องมีวันหนึ่งที่พ่อเธอต้องแก่ตาย จากนั้นก็กลายเป็นเถ้ากระดูกที่วางอยู่ภายในห้อง เธอไม่อยากจะคิด ความคิดใดๆที่เกี่ยวข้องล้วนทำให้เธอสั่นไปทั้งตัว
เธอแทบจะไม่ได้ยินเสียงพูดของตนเอง ได้แต่ตอบเป็นเครื่องจักรว่า “อืม”
ติงต้าเฉินมองเธอโล่งใจ “ถ้าลูกยังมีพี่น้องอีกให้พ่อได้เจอพร้อมกันเลยได้มั้ย”
ติงต้าเฉินมองใบหน้าที่อ่อนล้าและยังมีผ้าพันแผลหนาๆพันรอบศีรษะ พยักหน้าอย่างแรง
เสียงแผ่วเบาของคนเฝ้าไข้ดังมากพอจะปลุกคนที่นอนหลับไม่ค่อยหลับอย่างติงยียีให้ตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ สิ่งแรกที่เธอทำเมื่อลุกขึ้นมาก็คือไปดูพ่อ
เห็นเขายังนอนหลับสนิท เสียงลมหายใจหนักๆในโพรงจมูก จิตใจที่วิตกกังวลอยู่ตลอดจึงได้สงบลง
เมื่อคืนเธอฝันว่าพ่อจากไปแล้วในความฝัน ไร้ซึ่งความห่วงหาอาวรณ์ ไม่บอกอะไรกับเธอเลยสักคำเดียว เธอเศร้าเสียใจจนยากจะเอ่ยเป็นคำพูด หลังจากตื่นมา เธอก็รู้สึกขอบคุณสวรรค์เป็นครั้งแรกที่ทำให้เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน
เธอจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย ก็ทิ้งโน้ตไว้ให้พ่อ จึงได้ออกจากโรงพยาบาล หน้าประตูโรงพยาบาลเสียงดังเอะอะมาก พยาบาลรีบผลักเปลหามวิ่งผ่านเธอไป เธอเหลือบมอง นั่นคือชีวิตของวัยรุ่นคนหนึ่งและใบหน้าแทบไม่เหลือแล้ว
เสียงดังเอะอะค่อยๆห่างไกลออกไป เธอก้าวขา เสียงข้อความในโทรศัพท์มือถือดังขึ้น “นอนหลับสนิทดีมั้ย”
เธอยิ้มพลางปล่อยให้นิ้วโบกสะบัดบนแป้นพิมพ์ เธอเคาะเล็กน้อย “อืม ชูฉิงเป็นยังไงบ้างคะ” เธอเตรียมที่จะส่ง แล้วก็มองอย่างลังเลอีก นิ้วมือแก้ไขข้อความอีกครั้ง “อืม ชูฉิงเป็นยังไงบ้างคะ ฉันคิดถึงคุณมาก”
เธอยืนอยู่ที่เดิม อารมณ์หงุดหงิดไม่สบายใจเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมา เธอรีบรับอย่างกุลีกุจอ เสียงในโทรศัพท์เหมือนกับลมในเดือนเก้า ที่อบอุ่นและน่าหลงใหล“ผมก็คิดถึงคุณ”
ผ่านไปพักหนึ่ง เธอจึงตอบกลับว่า “อืม” แล้วก็รีบวางสาย หัวใจของเธอเหมือนกับกินน้ำผึ้งอย่างนั้น แหงนหน้ามองท้องฟ้า เธอรีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เธอไม่ได้อยากไป
คฤหาสน์สองชั้นตั้งตระหง่านอย่างเงียบสงบอยู่บนสนามหญ้าที่ตัดแต่งอย่างดี บางครั้งก็มีคนสองสามคนวิ่งผ่าน มองเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าประตูทาราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ด้วยสายตาแปลกประหลาด
ติงยียีสูดลมหายใจเข้าลึกๆสองครั้งแล้วจึงก้าวไปกดกริ่งที่ประตู เสียงกริ่งประตูดังหลายครั้งจู่ๆก็ถูกเปิดออก
อ้าวเสว่สวมชุดนอนเซ็กซี่อยู่ ผมปล่อยสยายอยู่บนหัวไหล่ เย้ายวนจนทำให้ผู้ชายทุกคนหวั่นไหว
“เธอมาทำอะไร” อ้าวเสว่ขวางอยู่ที่ประตู ถามอย่างไม่พอใจ
มือของติงยียีหยิกที่น่องของตนเองเพื่อบีบให้ตัวเองพูด “ฉันมีเรื่องหนึ่งจะขอให้เธอช่วย”
“ทำไมเธอต้องการความช่วยเหลือจากฉัน เธอไปหาเนี่ยนโม่ก็ได้” เธอกลอกตามองบนอยากจะปิดประตู หลายวันมานี้เธอไม่กล้าไปหาเนี่ยนโม่เลย
ติงยียีรีบยื่นมือเข้าไปในประตู ถูกหนีบอย่างแรง เธออดทนต่อความเจ็บปวด รีบพูดว่า “ก็แค่ไม่กี่นาที เรื่องนี้สำคัญกับฉันมาก”
อ้าวเสว่พินิจพิจารณาเธอ ขมวดคิ้วแล้วเปิดประตู ลากรองเท้าแตะเดินกลับไปที่ห้องรับแขก มองเธอด้วยสายตานิ่งๆ
ติงยียีเพิ่งจะนั่งลงก็ถูกเสียงสูงแหลมเสียงหนึ่งขัดจังหวะขึ้นว่า “ฉันบอกให้เธอนั่งแล้วเหรอ!”
“เธอ!” ติงยียีโมโหที่เธอกดขี่รังแกมากเกินไปแล้ว ความโกรธในใจถูกสะกดกลั้นเอาไว้ เธอข่มอารมณ์โกรธพูดว่า “จะขอให้เธอไปพบพ่อฉันที่โรงพยาบาลสักครั้งได้มั้ย”
อ้าวเสว่อึ้งไป “พ่อเธอเหรอ” เธอนึกถึงผู้ชายคนเจอที่บริษัทเย่ซื่อคนนั้น หัวเราะเยาะในใจ “ได้สิ เธอโขกศีรษะคำนับฉันสิ”
“อ้าวเสว่เธออย่าทำเกินไปนะ!” ติงยียีมองด้วยความโกรธ เธอมองเห็นความเฉยเมยในดวงตาหล่อน เธอไม่ได้คิดจะรับปากตนเองเลย
อ้าวเสว่สวมเสื้อโค้ท หยิบยาทาเล็บที่วางไว้ข้างโต๊ะมา หมุนฝาขวดพูดเนิบๆว่า “ในเมื่อเธอไม่เต็มใจทำ งั้นก็ไปได้แล้ว ฉันไม่ได้บังคับให้เธอทำเรื่องแบบนี้”
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ ในที่สุดติงยียีก็เอ่ยปากว่า “ถ้าฉันทำแล้ว ฉันหวังว่าเธอจะรับปากฉันเรื่องหนึ่ง ให้ความร่วมมือแสดงละครต่อหน้าพ่อฉันสักครั้ง”
อ้าวเสว่ขมวดคิ้วมองเธอ คุกเขาลงก่อนค่อยว่ากัน พอพูดจบก็มีเสียงกระทบพื้นสีไม้มะฮอกกานีหนักๆ เธอมองติงยียีที่คุกเข่าลงบนพื้นอย่างแปลกใจเล็กน้อย
“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย” เธอไม่เชื่อเรื่องความรักในครอบครัวอะไรทั้งนั้น ยิ่งไม่เข้าใจว่าติงยียีต้องทำถึงขนาดนี้เพื่อจะได้พบกันสักครั้ง เธองงเล็กน้อย ความรักความผูกพันในครอบครัวแบบไหนกันที่ทำให้เย่เนี่ยนโม่และติงยียีให้ความสำคัญมากที่สุด สามารถทำให้พวกเขาร้อนรนยื้อแย่งกันได้
“เขาสำคัญกับฉันมาก สำคัญมากจนทำให้ฉันทิ้งเกียรติศักดิ์ศรีได้” ติงยียีมองเธออย่างดื้อรั้น สองมือที่อยู่ข้างลำตัวกำหมัดแน่น
อ้าวเสว่หัวเราะเยาะในใจ ลุกขึ้นยืนเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง สายตาก็เหลือบมองไปยังรถที่จอดอยู่ด้านนอกหน้าต่าง สายตาเธอค่อยๆเปลี่ยนไป มุมปากมีรอยยิ้มขึ้นมาแบบไม่ตั้งใจ “ลุกขึ้นเถอะ”