สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1525 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1365
ติงยียีเห็นเธอรับปาก ก็โล่งใจ เกาะโซฟาลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ตะลึงอ้าปากค้างที่เห็นอ้าวเสว่คุกเข่าต่อหน้าตนเอง
“ยียีเนี่ยนโม่ไม่ได้มาหาฉันที่นี่นานแล้ว หรือว่าเธออยากจะตัดบัวไม่เหลือใยเลยเหรอ” อ้าวเสว่เงยหน้ามองเธอ ร้องไห้จนน้ำตานองหน้า
“เธอกำลังพูดอะไร” ติงยียีมองเธออย่างแปลกใจ
“คนที่เนี่ยนโม่ชอบคือเธอ ฉันขอแค่ได้เฝ้ามองเขาอยู่ข้างๆ เธอได้โปรดอย่าแย่งชิงความหวังเดียวของฉันไปเลยนะ ”อ้าวเสว่ร้องไห้ฟูมฟาย
สวีเห้าเซิงเปิดประตูพอดี เห็นภาพนี้ก็ตกใจร้องว่า “พวกลูกกำลังทำอะไรกัน!”
พออ้าวเสว่เห็นเซี่ยชีหรั่นที่อยู่ข้างหลังสวีเห้าเซิงก็สะใจยิ่งขึ้น แต่สายตากลับตื่นตระหนกอย่างยิ่งเธอรีบลุกขึ้น ก้มหน้าพูดว่า “ไม่มีอะไรค่ะ”
สวีเห้าเซิงเดินมาตรงหน้าทั้งสองคน ขมวดคิ้วมองติงยียี “มีอะไรทำไมไม่พูดคุยกันดีๆ ยังไงก็ตามพวกเธอก็เป็นพี่น้องกัน แล้วนี่มันอะไร”
เซี่ยชีหรั่นรีบเดินมา อ้าวเสว่ก็พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดเธอ เอียงคอมองตรงซอกคอเธอ
เธอเอียงคอมองติงยียี มุมปากทำปากพูดอย่างไม่มีเสียง ติงยียีมองเธออย่างเยือกเย็น เธอรู้ว่าหล่อนคิดจะเอาเรื่องที่ตนเองขอให้ไปเยี่ยมพ่อมาข่มขู่ตนเอง แต่ที่น่าขันก็คือ เธอทำสำเร็จแล้ว
“ยียี! ที่พ่อพูดลูกได้ยินหรือเปล่า” สวีเห้าเซิงปวดใจมาก ภาพเมื่อครู่นั้นทิ่มแทงจิตใจของเขา
ติงยียีดึงสายตากลับมา มองเขาพลางเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ฉันขอคุยกับคุณหน่อยได้มั้ยคะ”
สวีเห้าเซิงข่มความโกรธเอาไว้รับปากเธอ หันไปพูดกับอ้าวเสว่อย่างอ่อนโยนว่า “เสี่ยวเสว่พักผ่อนนะลูก ไม่นานเดี๋ยวพ่อกลับมา”
ไม่อยากเห็นภาพนี้อีก ติงยียีหันไปก่อน ในสวนปลูกต้นไม้เขียวขจี แมวตัวหนึ่งมุดออกมาจากรั้ว มองสองคนที่อยู่ข้างหน้าอย่างเกียจคร้าน
สวีเห้าเซิงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน “ยียี พี่สาวลูกนิสัยเธอค่อนข้างอ่อนโยน อีกทั้งก่อนหน้านี้เธอถูกคนร้ายรังแก ทิ้งบาดแผลที่เลวร้ายทางจิตใจเอาไว้”
เขาพูดไม่หยุด แค่อยากให้ติงยียีเคารพอ้าวเสว่บ้าง ติงยียีขมวดจนกลายเป็นปม พูดตัดบทเขาว่า “วันนี้ฉันอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณ”
สวีเห้าเซิงมองเธออย่างแปลกใจ ในใจเขาติงยียีเป็นคนที่จิตใจดีมีมารยาทมาตลอด แต่เมื่อครู่การแสดงออกของเธอทำให้เขาปวดใจมากจริง!
ติงยียีมองความเหลือเชื่อในสายตาเขา เกิดความรำคาญขึ้นในใจทันที วันนี้ตอนแรกเธอแค่อยากจะมาขอร้องเขาดีๆเท่านั้น ใครจะรู้ว่าสุดท้ายจะเละไม่เป็นท่า
เธอแทบจะพูดด้วยการลดเกียรติตัวเอง “คุณได้โปรดไปพบคุณพ่อของฉันหน่อยได้มั้ยคะ”
“พ่อเธอเหรอ เขาเป็นอะไรเหรอ” สวีเห้าเซิงมองความเจ็บปวดที่ฉายในดวงตาของเธอ ก็รีบถามขึ้น
ติงยียีพูดรวดเดียวจบ ย้ำอีกครั้งว่า “ขอให้คุณช่วยไปพบกับพ่อฉันหน่อยได้มั้ยคะ”
สวีเห้าเซิงพยักหน้าอย่างแรง “นี่ได้แน่นอน เดิมทีพ่อก็ควรจะไปเยี่ยมเขาอยู่แล้ว ยังไม่ได้โอกาสที่เหมาะสมเลยสักที ลูกนัดเวลามาเลย”
ติงยียีพยักหน้า หัวข้อสนทนานี้ทำให้เธอหายใจไม่ออก รีบพูดว่า “งั้นก็คืนนี้หนึ่งทุ่ม ขอบคุณค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ” สวีเห้าเซิงตอบกลับด้วยจิตใต้สำนึก จึงพบว่าบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนเกรงใจกันจนห่างเหิน
“ลาก่อนค่ะ” ติงยียีรับหมุนตัวไป น้ำตาอดไหลออกมาไม่ได้ เธอปาดน้ำตาก้าวยาวๆไปข้างหน้า
จะเจ็บปวดอีกแค่ไหน ต้องผ่านไปสักวัน รุ้งกินน้ำจะสวยงามแค่ไหน ก็ต้องมีวันที่สลายหายไป เธอ ติงยียีไม่ยอมถูกกักขังด้วยสิ่งเหล่านี้!
รีบเดินกลับโรงพยาบาล ติงยียีเปิดประตูห้องผู้ป่วยก็พบว่าที่พื้นมีกล่องขนาดใหญ่มหึมาวางอยู่ก็ตกใจมาก
“ยียี ไอ้หมอนี่ไม่รู้ทำอะไร ไม่ทันไรก็เอากล่องใหญ่นี้เข้ามา แล้วก็ไม่บอกว่าคืออะไร”ติงต้าเฉินกำลังให้น้ำเกลืออยู่ มองเห็นเธอก็รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น ถูกพยาบาลขวางไว้
เย่ป๋อยิ้มพลางมองเธอ “คุณยียี รีบเปิดดูสิครับ”
ติงยียีเปิดกล่องอย่างลังเล พยาบาลอยู่ด้านข้างโน้มตัวมาดู หลังจากมองเห็นของในกล่องแล้วก็ตกใจร้องว่า“ทำไมมีโทรศัพท์มือถือมากมายขนาดนี้”
ตอนแรกติงยียีตกใจ ความตกใจภายในใจก็ถูกแทนที่ด้วยความปีติยินดี เขาจำได้ จำได้ว่าตนเองเคยบอกว่าโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้มีความหมายกับเธอมากขนาดไหน ที่แท้แล้วการที่มีคนให้ความสำคัญกับคำพูดของตนเองนี่มันมหัศจรรย์ขนาดนั้นเลย
เย่ป๋อที่ยืนอยู่ข้างๆพูดอย่างมีนัยยะว่า “ตอนนี้โทรศัพท์รุ่นนี้กลายเป็นรุ่นที่เลิกผลิตในตลาดแล้วนะครับ”
ติงยียีลุกพรวดพราดขึ้นมา พูดตะกุกตะกักวิ่งไปข้างนอก “ฉันไปโทรศัพท์!”
ในระเบียงทางเดิน เธอกดเบอร์โทรศัพท์ด้วยมือที่สั่นเทา แต่เมื่อโทรติดแล้วกลับไม่รู้จะพูดอะไร เย่เนี่ยนโม่ที่อยู่ปลายสายเป็นฝ่ายเอ่ยก่อนว่า “ยียี”
เสียงเขาเหมือน นํ้าอมฤต ทำให้ในใจเธอสงบนิ่ง “อืม ฉันเอง”
เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเธอตัดบทก่อนว่า “พรุ่งนี้มาสักครั้งได้มั้ย ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
“ได้” เย่เนี่ยนโม่ตอบอย่างรับอย่างรวดเร็วชัดเจน ขอแค่เป็นเธอ ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็รับฟังทั้งนั้น Bakerที่อยู่ข้างๆเห็นท่าทางอ่อนโยนของเขา ก็รู้สึกประหลาดใจมาก
เขาเดินไปตรงหน้าเครื่องชงกาแฟกดปุ่ม เครื่องชงกาแฟมีกาแฟออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ขยับเขยื้อน
“ไอ้ของเล่นนี่ควรจะต้องเปลี่ยนแล้ว” เขายื่นมือไปตีเครื่องชงกาแฟ เกิดเสียงดังปึงๆ
มือคู่หนึ่งกดที่เครื่องชงกาแฟขัดขวางการกระทำรุนแรงของเขา เย่เนี่ยนโม่คุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “บริษัทเย่ซื่อช่วยสงเคราะห์เครื่องชงกาแฟหนึ่งเครื่องได้ แต่ว่าบนเครื่องชงกาแฟต้องมีคำโฆษณาของบริษัทในเครือบริษัทเย่ซื่ออยู่ด้วย”
Bakerกดส่วนหัวเครื่องชงกาแฟอย่างเฉยเมย พูดว่า“ขอแค่คุณยอมบริจาค จะแปะชื่อคุณข้างบนก็ได้”
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว “ผมยังไม่ได้มีงานอดิเรกแบบนี้”
ประตูถูกผลักเข้ามา เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งกำลังพลิกเปิดเอกสารในมือ “ไห่โจ๋ซวนไปได้แล้ว”
เย่เนี่ยนโม่หมุนตัวเดินไปทางประตู Bakerพูดที่ด้านหลังเขาว่า“ไม่เอาเรื่องจริงเหรอ ในเมื่อที่อยู่ข้างตัวก็เป็นอันตรายที่แฝงตัวอยู่ ”
เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้หันมา มือที่กุมลูกบิดประตูค่อยๆจับแน่น “ถ้าเขาอยากได้บริษัทเย่ซื่อก็เอาไปได้เลย”
ด้านนอกสถานีตำรวจ ไห่โจ๋ซวนหรี่ตามองแสงอาทิตย์ “รับไว้” มีของแบบเดิมโยนมาตรงหน้า เขารับไวด้วยสัญชาตญาณ
เย่เนี่ยนโม่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ชูฉิงรอนายที่บ้านตระกูลเย่อยู่ตลอด”
ไห่โจ๋ซวนยิ้ม จู่ๆก็พูดขึ้นว่า “ฉันไม่ได้ให้อภัยแกนะ สำหรับฉันแกยังเป็นแผลเป็นในชีวิตของฉันตลอดไป”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า “แล้วแต่แก ครั้งต่อไปแกคิดจะทำอะไรก็พูดตรงๆ ฉันจะสู้ให้ถึงที่สุด”
รอบๆมีคนเดินผ่านไปผ่านมา บางครั้งก็มีคนเหล่มองผู้ชายสองคนที่หน้าตาโดดเด่นนี้ ไห่โจ๋ซวนเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงก่อน “ไปเถอะ ฉันมีเรื่องที่ต้องไปทำจริงๆ”
บ้านตระกูลเย่ ตอนที่เย่ชูฉิงมองเห็นไก่โจ๋ซวนก็พุ่งตัวไปเลย ดวงตาเธอบวมเป็นลูกวอลนัท เพราะร้องไห้ ตอนนี้กลับยิ้มหวานมาก
เซี่ยชีหรั่นเห็นเขาก็สงสาร “เกิดอะไรขึ้น ถึงได้ผอมขนาดนั้น มีใครทำอะไรไม่ดีกับคุณรึเปล่า”
สายตาเย่เชินหลินเองก็มองมา พูดเสียงเข้มว่า “มีปัญหาก็บอกมา”
หลินหลิงเองก็สงสาร สายตาของเธอก็มองไปที่ไห่โจ๋ซวน มุมปากเม้มเป็นเส้น ยากที่จะเปล่งคำพูดออกมาจากช่องว่างที่ริมฝีปาก “ประธานเย่ เรื่องที่เขาทำเขาก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง”
“ผมตัดสินใจว่าจะไปเรียนต่างประเทศ” ทันใดนั้นไห่โจ๋ซวนก็พูดขึ้นมา ทุกคนต่างตกใจมาก เย่เนี่ยนโม่พูดเสียงนิ่งๆว่า “ไปเมื่อไหร่”
ไห่โจ๋ซวนมองเขาด้วยสายตานิ่งๆ “ยิ่งเร็วยิ่งดี”
ภายในห้องรับแขกกว้างใหญ่ก็ไม่มีใครพูดอะไรชั่วขณะ เหลือเพียงเสียงลมหายใจครืดคราด หนึ่งในนั้นเย่ชูฉิงเสียใจมากที่สุด แม้ว่าตนเองจะเต็มใจยอมนอนกลางดินกินกลางทรายลำบากมากับเขา ก็ยังไม่เหลือพื้นที่เล็กๆในใจของเขาไว้บ้างเลยเหรอ
เธอจมดิ่งลงในโลกของความเศร้าเสียใจไม่สามารถถอนตัวได้ จนกระทั่งมีร่างหนึ่งมายืนตระหง่านตรงหน้า เธอเงยหน้าขึ้นทันที ไห่โจ๋ซวนสูงมาก เธอจำเป็นต้องแหงนหน้าถึงจะมองเห็นเขาได้ชัดเจน จู่ๆความกลัวก็ผุดขึ้นในใจเธอ กลัวว่าริมฝีปากบางจะพูดปฏิเสธอะไรตนเอง
“เธออยากจะไปเรียนที่ไหน” เย่เนี่ยนโม่ทนไม่ได้ที่ต้องให้น้องสาวตนเองทรมานแบบนี้ จึงเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน
ไห่โจ๋ซวนมองเย่ชูฉิง เอ่ยเบาๆว่า “ประเทศแรกฝรั่งเศสแล้วกัน”
ฝรั่งเศส! เธอเงยหน้า กลืนน้ำลาย ในใจลิงโลดด้วยความดีใจ ไห่โจ๋ซวนยิ้ม พูดเบาๆว่า “เตรียมตัวไว้ให้ดีล่ะ”
หลินหลิงถอนหายใจ ลุกขึ้น “เรื่องของบริษัทลูกไม่ต้องเป็นห่วง แม่รับผิดชอบเอง รอลูกกลับมา”
ไห่โจ๋ซวนหันไปมองเธอ เธอชราภาพแล้ว แม้จะแต่งหน้าสวยงาม รักษารูปร่างได้ดีมาก แต่สีหน้าเผยให้เห็นท่าทางชราภาพโดยไม่รู้ตัว นั่นคือร่องรอยที่กาลเวลาบ่มเพาะออกมา
เขามองเธออย่างพิจารณา พูดช้าๆว่า “แม่ครับ สามบริษัทนั้นผมคิดว่าจะปิด”
ไม่ได้!” หลินหลิงปฏิเสธทันควัน ในสามบริษัทนั้นมีสองบริษัทที่เป็นชีวิตจิตใจของไห่ลี่หมิน เธอเคยบอกไว้แล้วว่าจะบริหารสามบริษัทนี้ต่อไป จนกระทั่งตนเองจากโลกนี้ไปแล้ว ใครก็จะมาปิดไม่ได้
ไห่โจ๋ซวนถอนหายใจ ไม่พูดอะไรอีก พ่อบ้านรีบเดินมาจากด้านนอก ยิ้มพลางเอ่ยว่า“ดูสิครับใครมา”
หลี่ยี่ซวนลากกระเป๋าวิ่งเข้ามา หลังจากรีบทักทายกับคนที่นั่งอยู่แล้วก็ตรงดิ่งไปข้างๆเย่ชูฉิง “คุณเกิดเรื่องอะไรเหรอ ทำไมคุณไม่กลับมาเลย ผมเป็นห่วงมาก”
บนใบหน้าเย่ชูฉิงแฝงด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข และความตื่นเต้นแต่เธอไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าแววตาของหลี่ยี่ซวนแฝงด้วยความรักอย่างลึกซึ้ง เธอยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่นานฉันก็จะกลับไปแล้ว ไปพร้อมกับพี่โจ๋ซวน”
ลมหายใจของหลี่ยี่ซวนติดขัดอย่างแรง นานพักใหญ่จึงฝืนฉีกยิ้มออกมาได้ “จริงเหรอ งั้นก็ดีมากเลย ฉันก็เบื่อจะคอยตามช่วยเหลือเธอจะแย่แล้วเขามาก็ดี”
เย่ชูฉิงพูดอย่างเสียนิสัยว่า “ฉันเปล่าซะหน่อย!”
บนระเบียงของบ้านตระกูลเย่ เย่เนี่ยนโม่โยนเบียร์กระป๋องหนึ่งให้หลี่ยี่ซวน เขารับไปอย่างนิ่งเงียบ ดึงฝาเปิดออก ฟองเบียร์ล้นออกมา ไหลซึมเข้าไปที่นิ้ว
“ต่อไปคิดจะทำยังไง” เย่เนี่ยนโม่จิบเบียร์แล้วมองไปไกลๆ แสงแดดส่องทะลุมาจากหลังคา เหมือนดาบนับหมื่นที่ทิ่มแทงเข้ามาทุกซอกทุกมุม แต่กลับยังคงไม่สามารถเอาชนะลมหนาวได้
นิ้วมือหลี่ยี่ซวนลูบที่ขวด พูดช้าๆว่า “ไปด้วยกันแล้วกัน ไม่อย่างนั้นผมเป็นห่วงว่าตอนที่เธอน้อยใจจะไม่มีใครให้เธอได้ระบาย”