สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1537 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่1377
ติงยียียังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาหา เย่เนี่ยนโม่มองมาที่เธอด้วยสายตาแวววาว แช่ถิงถิงที่อยู่ด้านหลังเธอมีสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย
แร็ปเปอร์บอยที่อยู่ด้านข้างก็พูดหยอกล้อ “ดูเหมือนว่าวันนี้พิธีกรของเราจะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ นักแสดงชายกับคุณชายเย่จะทิ้งกิ่งใบสมอพร้อมกัน ยียีจะเลือกใครกัน?”
ติงยียียืนนิ่ง แขนซ้ายที่เข้าใกล้ทางเย่เนี่ยนโม่กระตุกเบาๆ แร็ปเปอร์บอยพูดต่อไป : “ยียีต้องเลือกให้ดีนะ ช่วงต่อไปจะเป็นช่วงเพลง คุณชายเย่ค่อนข้างมีความรู้ลึกซึ้งทางด้านดนตรี”
ติงยียียื่นมือขวาออกเตรียมไปจับอันหรัน เพิ่งยกมือได้ครึ่งหนึ่ง ก็ถูกแรงหนึ่งจับเอาไว้แน่น
เย่เนี่ยนโม่มองมาที่เธอ นัยน์ตาของเขาสว่างขึ้นเล็กน้อยเมื่ออยู่ใต้แสง เธอคิดว่าเขาจะโกรธเคือง เขากลับยิ้มออกมาน้อยๆ
เธอรู้สึกว่าฝ่ามือตนเองมีอาการคันเล็กน้อย เธอหดนิ้วของเธอเพื่อหลีกเลี่ยงการคุกคามของนิ้วมือในฝ่ามือของเธอ แต่หลังจากที่มือคู่นั้นดึงเธอไปข้างกายตนเองแล้วกลับปล่อยออกทันที
“ดูเหมือนยียีของพวกเราเลือกคุณชายเย่แล้ว มีแฟนภาพยนตร์อิจฉาไม่น้อยเลย” แน่นอนว่าแร็ปเปอร์บอย เห็นฉากนั้น แต่ว่าเขาเลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่ง
ผลการคัดเลือกสุดท้ายคือแช่ถิงถิงกับหูเพ่ยเพ่ย ตัดสินใจที่จะจับคู่กัน และอันหรันกับหลินกึ่งก็ฟอร์มทีม
“การรวมตัวกันในวันนี้น่าสนใจจริงๆ ดูแล้วเหมือนว่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างผู้ชายและผู้หญิงเลย มาเริ่มกันที่คำถามแรก”
แร็ปเปอร์บอยเพิ่งพูดออกไป เสียงเพลงก็ดังขึ้นบนหน้าจอ เสียงดนตรีเป็นคลื่นเสียง ทุกคนในเหตุการณ์เงียบ แช่ถิงถิงมองไปยังหูเพ่ยเพ่ย แต่เธอเล่นดนตรี ควรจะค่อนข้างเข้าใจ หูเพ่ยเพ่ยส่ายหัวอย่างรู้สึกผิด ดนตรีนี้แม้แต่ฟังเธอก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ตอนนี้ บนเวทีของแขกรับเชิญก็มีเสียงกระดิ่งดังขึ้น
เย่เนี่ยนโม่พูดว่า “ทริโอของFrançois Coupland”
มีเสียงดนตรีที่ตอบคำถามถูกดังขึ้นบนหน้าจอขนาดใหญ่ ตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง แม้แต่อันหรันก็ยังไม่เชื่อ คิดไม่ถึงว่าเย่เนี่ยนโม่ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ แล้วยังเก่งกาจในด้านดนตรีจริงๆ แม้แต่หูเพ่ยเพ่ยที่จบจากโรงเรียนฝึกสอนงิ้วก็ยังมีความชื่นชม
ข้อที่2 เมื่อเพลงดังขึ้นทุกคนต่างก็ขมวดคิ้ว เพราะว่าเพลงนี้เล่นแบบถอยหลังอย่างชัดเจน ติงยียีได้รับผลกระทบจากความโมโหที่ตึงเครียดในบริเวณนั้น ก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางคิดอย่างหนัก สายตากวาดไปยังบนที่นั่งข้างตัวพอดี แช่ถิงถิงกำลังมองไปยังเย่เนี่ยนโม่ ความรักใคร่ในการแสดงออกดูชัดเจนมาก
ในใจของเธอทันใดนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ มาพร้อมกับอารมณ์ด้านลบที่ปรากฏออกมาไม่ชัดเจน เธอเบือนหน้าหนีช้าๆ ยืนเขย่งบังเย่เนี่ยนโม่เอาไว้
แม้ว่าจะบังสายตาของแช่ถิงถิงไว้แล้ว แต่เวลานี้เธอกับเย่เนี่ยนโม่กลับอยู่ใกล้กันมากขึ้นกว่าเดิม
“หวังให้สายตาของฉันมีแต่เธอขนาดนั้นเลยเหรอ?” เย่เนี่ยนโม่หมุนตัวมาหาเธอตรงๆ พูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม
เธออธิบายออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว “ฉันเปล่านะ!” เขายิ้ม กดเสียงต่ำลง “แต่ใจของฉันน่ะมีแค่เธอจริงๆ นะ”
เธอตัวแข็งค้าง จนกระทั่งกระดิ่งตรงหน้าถูกนิ้วมือเรียวยาวของเย่เนี่ยนโม่กดดังขึ้น “ลมแรง”
บนหน้าจอใหญ่ก็เสียงดนตรีที่ตอบถูกดังขึ้นมาอีกครั้ง ในฐานะแขกรับเชิญเพียงหนึ่งเดียวที่มาจากตระกูลที่ร้องเพลง หน้าของหูเพ่ยเพ่ย ก้มลงจนจะถึงบนเวทีของแขกแล้ว แช่ถิงถิงปลอบใจอยู่ข้างๆ
แร็ปเปอร์บอยถามอย่างประหลาดใจ : “แม้ว่าคำตอบจะไม่ผิด แต่คุณชายเย่ค้นพบได้ยังไง?”
เย่เนี่ยนโม่มองเขาแวบหนึ่ง “ฟังแล้วคล้ายๆ นิดหน่อย”
ในใจของทุกคนสงสัย สรุปแล้วเหมือนกันตรงไหน! เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงของกระดิ่งที่ดังขึ้น ฉากนี้แทบจะกลายเป็นรายการเพลงของเขาแล้ว ผู้กำกับที่อยู่ล่างเวทีร้อนใจจนต้องทำสัญญามือให้แรปเปอร์กะทันหัน
แร็ปเปอร์บอยเองก็ลำบากใจ วันนี้คนที่เชิญมาล้วนเป็นคนที่เป็นคนมีชื่อเสียงมากๆ ทั้งนั้น คนมีชื่อเสียงเหล่านี้ไม่บ่อยเลยที่จะมาเข้าร่วมวาไรตี้โชว์แบบนี้ อีกทั้งครั้งนี้ออกแบบให้คะแนนออกมาเสมอกัน หูเพ่ยเพ่ยสูญเสียคะแนนในเกมแรก หลังจากนั้น เกมทายชื่อหนังทำให้อันหรันกับแช่ถิงถิงได้คะแนน เกมทายดนตรีทำให้หูเพ่ยเพ่ยกับเย่เนี่ยนโม่ได้คะแนน หลินกึ่งจะต้องมากินวาซาบิกับซูชิอย่างคิดไม่ถึง ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นสุดท้ายจะคุมฉากเหล่านี้ไม่อยู่
รายการจบลง เย่เนี่ยนโม่ได้คะแนนไปมากที่สุดด้วยความได้เปรียบหลายๆ อย่าง ดาราในที่นี้เกิดความคับแค้นใจที่ตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม แม้แต่อันหรันก็กินซูชิวาซาบิไปชิ้นหนึ่ง
แร็ปเปอร์บอยลงโทษทุกๆ คนอย่างเร่งรีบเสร็จแล้ว กินซูชิที่ควรกิน ดื่มน้ำที่ควรดื่ม พูดอีกไม่กี่คำก็ใกล้จะสิ้นสุดการถ่ายทำแล้ว พอนึกถึงเรตติ้งของตอนนี้อาจจะพุ่งสุด แต่ว่าพุ่งสูงสุดหรือต่ำสุดอารมณ์ของเขาก็ไม่ค่อยดีเท่าไร
รถผู้ดูแลของอันหรันพึ่งขับออกจากโรงจอดรถ ด้านหน้าก็มีเงาของคนรีบออกมากวักมือเรียกมาทางรถ รถหยุดลง สวุเหวยเหรินมองมายังเธอที่กระโดดขึ้นรถด้วยความตกใจ พูดอย่างแปลกใจ “ทำไมหรือ?”
“ไม่มีอะไร พาฉันไปด้วยได้มั้ย?” ติงยียีมองซ้ายมองขวา ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อันหรันรู้ จึงพูดเบาๆ อยู่ข้างๆ “ฉันว่าเธอต้องการหลบเย่เนี่ยนโม่ล่ะสิ”
ติงยียีชะงัก ก้มหน้าอย่างไร้ข้อโต้แย้ง ที่จริงแล้วเธอหมุนตัวหนีเขาตอนที่เขาเดินเข้ามาหาตนเอง ทันใดนั้นอันหรันยันมือไปยังพนักเก้าอี้ เธอจึงถูกล้อมไว้ในที่แคบๆ มองไปยังแขนที่วางอยู่ข้างหูเธอ พูดอย่างตะกุกตะกัก “ทำไมหรือ?”
“เธอยินยอมจะหลบไปไกลสักหน่อยมั้ย?” สีหน้าของอันหรันจริงจังพอสมควร แม้กระทั่งมีความประหม่านิดหน่อย สีหน้าของเขานั้นไม่อ่อนโยนเหมือนกับตอนเจอแฟนคลับเลย แล้วก็ไม่ใจร้ายใจดำเหมือนกับตอนนั้นที่อยู่ด้วยกันกับติงยียี นั่นคือความจริงจังแบบหนึ่งที่ติงยียีไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอแค่เงียบไม่พูดจาไปสองสามวิ ส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ เธอใช้แรงที่สามารถใช้ได้หลอกเย่เนี่ยนโม่ไปหมดแล้ว เธอไม่อยากโกหกและไม่สามารถโกหกคนอื่นได้อีกแล้ว
“ยัยโง่!” อันหรันวางแขนลง ดึงประตูรถด้วยตนเอง แสงไฟส่องเข้ามาด้านใน เขาชี้ไปยังรถพอร์ชคันหนึ่งที่รออยู่เงียบๆ ด้านหน้ารถ ยิ้มพลางพูดว่า “ดูเหมือนเธอจะหลบไม่พ้นแล้ว”
ติงยียีมองรถที่จอดอยู่ด้านหน้า เย่เนี่ยนโม่พิงกระจกรถ มองตรงไปยังข้างหน้า แต่เธอก็รู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายจับได้
เธอถอนหายใจออกมา ลงจากรถ กระจกรถถูกเลื่อนลง เสียงของอันหรันดังออกมา “ยัยโง่ ฉันเตรียมไปเติบโตที่ฮอลลีวูดแล้ว หลังจากนี้ คงไม่ได้เจอกันอีกนานเลย ถ้าเขารังแกเธอก็โทรหาฉันแล้วกัน”
ติงยียีสะเทือนใจ ถ้อยคำห่วงใยเหล่านั้นทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว เธอหันหลังกลับ อันหรันปิดหน้าต่างรถขึ้น รถขับผ่านประตูออกไป
เธอค่อยๆ เดินไปที่รถ ยิ่งเข้าใกล้หัวใจก็ยิ่งเต้นเร็ว จนกระทั่งระยะห่างระหว่างสองคนถูกคั่นด้วยรถคันหนึ่งเท่านั้น เย่เนี่ยนโม่เปิดประตูรถ “ขึ้นรถ”
ติงยียียืนอยู่ต่อหน้าเขา แต่กลับก้าวถอยหลังออกมาสองสามก้าว เธอไม่กล้ามองตาเขา พูดอย่างเร่งรีบ “ฉันบอกแล้วไง ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งกับคุณอีก”
แขนของเย่เนี่ยนโม่วางอยู่บนประตูรถหยุดลงชั่วคราว เขายืดตัวขึ้น สีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง “งั้นมองตาฉันแล้วพูด”
ติงยียีบิดสายสะพายไหล่ของกระเป๋าด้วยมือทั้งสองข้าง เนื้อแท้ภายในของเธอเหมือนจะส่งเสียงตะโกน ต่อต้าน ไม่ให้เธอหันหน้าไป
สุดท้าย สายสะพายของกระเป๋าสะพายไหล่ก็ถูกบีบอย่างดูไม่เป็นทรง เธอมองไปที่ดวงตาสีน้ำตาลของเขา 1วินาที 2วินาที 3วินาที
“ได้แล้วสินะ” เธอฟังเสียงที่ออกจากปากตนเองราวกับต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา ดูแหบแห้งราวกับไม่มีการบำรุงสักนิด
ไม่รอให้เขาตอบ เธอรีบร้อนออกห่าง เธอในตอนนี้ก็เหมือนลอยไปลอยมาอยู่กลางทะเล และแสงสว่างของทางออกเป็นเพียงเศษไม้ที่ลอยอยู่เท่านั้นที่เธอสามารถคว้าได้ในตอนนี้
กลางคืนหน้าจอโทรทัศน์กำลังส่องแสงสีฟ้า อ้าวเสว่ขดตัวอยู่บนโซฟา ในโทรทัศน์เย่เนี่ยนโม่กับอันหรันยื่นมือออกไปหาติงยียีพร้อมกัน เย่เนี่ยนโม่มองเธอ ยิ้มให้กับเธอ สายตาอ่อนโยน สุดท้ายสายตาของเธอก็ไม่ยอมขยับหนีจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มือขวายกที่ตรวจครรภ์ขึ้นมาอย่างสั่นๆ เธอจ้องเส้นสีแดงเข้มและสีอ่อนอย่างละขีด
“ไสหัวออกไป!” เธอคำรามต่ำๆ ราวกับสัตว์ป่า มือทั้งสองข้างของเธอบีบหน้าท้องอย่างแรง อยากที่จะบีบให้ชีวิตน้อยๆ ออกไป
เสียงเพลงสดใสในโทรทัศน์ยังดังอยู่ แช่ถิงถิงมองเย่เนี่ยนโม่ด้วยความหลงใหลที่ไม่สามารถละเลยได้ ทันใดนั้นเธอปล่อยมือทั้ง2ข้างลง ออกแรงหยิบจานผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะปาไปยังโทรทัศน์
เสียงกระเบื้องแตกเสียงดังกังวาน เธอมองดูเศษผลไม้และเศษจานกระเบื้องที่แตกอยู่บนพื้น ความคิดในใจนี้คลุ้มคลั่งไปแล้ว เธอไม่มีวันที่จะยอมแพ้แบบนี้โดยเด็ดขาด
เธอคว้ากระเป๋าใบเล็ก พุ่งออกไปจากประตู ในเขตที่พักที่ไม่ค่อยดีนัก มีผู้หญิงคนหนึ่งถือผักมองเพื่อนบ้านที่เดินมาจากฝั่งตรงข้ามกับเธอแต่ไกล เธอรีบไปที่ลานอุปกรณ์กีฬาด้านข้าง วนรอบหนึ่งถึงจะกลับเข้าบ้าน
โม่เสี่ยวหนงกลับมาถึงบ้าน วางตะกร้าลง เอาผักเข้าตู้เย็นพลางพูดออกมาไม่หยุด “ซวนหลิน วันนี้ไปหาจิตแพทย์แล้วรึยัง ถ้าว่างก็ออกไปเดินเล่นหน่อย”
“ออกไปเดินเล่น? ออกไปให้เพื่อนบ้านหัวเราะเยาะรึไง?” โม่ซวนหลินกำลังนอนอยู่บนโซฟาอย่างสบายๆ สายตาของเธอทอดไปยังรายการบันเทิงอันหนึ่งและไม่สามารถละสายตาไปไหนได้อีก
ติงยียี?! ทำไมเธอถึงเข้าร่วมรายการวาไรตี้ได้ เธอเพิ่งจะเป็นดารา! ในใจยิ่งรู้สึกโกรธ เธอหยิบมือถือออกมา กดเบอร์โทรศัพท์อย่างบ้าคลั่ง “ฉีเหวิน ฉันเอง คุณเคยบอกว่าจะช่วยให้โอกาสฉันในการแสดงใช่มั้ย? ฉันไม่เกี่ยง อะไรก็ได้”
เสียงจากโทรศัพท์เจือไปด้วยความเย็นชา “บอกคุณตามตรง เรื่องของคุณเกือบจะรู้กันไปทั้งวงการแล้ว ตอนนี้โดนหิมะกลบไปแล้ว คุณควรมีกำลังใจและหางานทำเถอะ”
โม่เสี่ยวหนงเห็นลูกสาวถือมือถือไม่พูดจาอะไรเลย จึงเดินไปดูว่ามีอะไรผิดปกติ รู้สึกตกใจที่มือถือถูกปาออกไปอย่างกะทันหัน เธอกรีดร้อง “แกเป็นอะไรไป!”
โม่ซวนหลินกุมหัวแล้วร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด กริ่งที่ประตูดังขึ้น โม่เสี่ยวหนงได้แต่ไปเปิดประตูก่อน หลังจากมองเห็นผู้มาเยือนเธอก็เหมือนมองเห็นผู้ช่วยชีวิต
“คุณอ้าวเสว่ มาได้ยังไงคะเนี่ย?”
โม่ซวนหลินทันทีที่ได้ยินชื่อเธอ ก็วิ่งกะเผลกๆ เข้ามา ดึงมือของเธออย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ร้องไห้พลางพูดว่า “อ้าวเสว่ ตอนนั้นที่ฉันข่มขู่เธอเป็นความผิดฉันเอง เธอว่ายังมีวิธีไหนอีกมั้ยที่จะสามารถทำให้ฉันกลับเข้าสู่วงการบันเทิงได้ ฉันยอมเธอหมดเลย”
อ้าวเสว่มองดูรอยน้ำผลไม้บนเสื้อผ้าของเธอด้วยความรังเกียจ ดึงมือออกอย่างเงียบๆ เธอเดินไปที่โซฟาแล้วนั่งลง “ไม่มีโอกาสแล้ว ตอนนี้Emilกลายเป็นอดีตไปแล้ว”