สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1542 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1382
น้ำเสียงของอ้าวเสว่ได้ซอฟลงมา เธอพูดจาช้าลง“เอาล่ะๆ จะร้องไห้ไปทำไม รถได้เตรียมให้เธอเรียบร้อยแล้ว เธอหนีไปให้ไกลๆหน่อย และอย่าติดต่อกับคนในบ้าน”
โม่ซวนหลินเช็ดน้ำตาพร้อมพยักหน้า พอเอาถุงเงินที่อ้าวเสว่เตรียมไว้ให้ก็ได้เดินออกจากห้องไป นอกห้องมีรถฮอนด้าจอดอยู่คันนึง
“ขอบใจเธอนะ”เธอหันมาพูดกับอ้าวเสว่ที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างลังเล อ้าวเสว่โบกมืออย่างหงุดหงิด ในใจคิดคำนวณอยู่ว่ากลับบ้านตอนนี้ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่
โม่ซวนหลินขับรถไปที่สนามบิน เธอเตรียมจะหนีไปกบดานที่ต่างประเทศ ในถุงเงินมีพาสปอร์ตและบัตรประจำตัวประชาชนปลอมเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว
ยิ่งใกล้สนามบินเท่าไหร่ เธอยิ่งผ่อนคลายลงเท่านั้น เธอเลื่อนกระจกรถลง ข้างๆคือคูเมือง คูเมืองมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา เธอได้เลื่อนกระจกรถขึ้นด้วยความรังเกียจอีก เธอคิดๆแล้วสุดท้ายก็ได้ยกหูโทรหาแม่ตัวเอง“แม่ หนูซวนหลินค่ะ”
“ซวนหลิน ลูกไปไหนเนี่ย?วันนี้จะกลับมาทานข้าวมั้ย แม่ได้ทำกุ้งมังกรน้อยที่ลูกชอบกินไว้ด้วยนะ”
“แม่กินเถอะค่ะ หนูไปทำธุระทางการค่ะ!”เธอพูดต่ออย่างค่อนข้างหงุดหงิด:“ช่วงนี้หนูไม่กลับบ้านแล้ว หนูมีธุระต้องทำค่ะ”
“ลูกจะไปไหน?···”คำพูดของแม่ยังพูดไม่จบเธอก็ได้วางสายทิ้งไปแล้ว เพิ่งวางสายลง เธอเห็นด้านหน้ามีรถเสียจอดชิดอยู่ข้างทางคันนึง เจ้าของรถยืนโบกมือให้เธออยู่ข้างๆ ส่งสัญญาณให้เธอเปลี่ยนเลน
เธอเหยียบเบรคอยากจะลดความเร็วลง กลับพบว่าเบรคไม่ทำงานแล้ว เธอเหยียบแรงๆไปหลายที เห็นทีท่ายิ่งอยู่ยิ่งใกล้เข้าหารถที่จอดชิดอยู่ข้างถนน มือสองข้างของเธอคุมพวงมาลัยไม่อยู่ รถได้เอียงไปทางคูเมือง
รถได้ชนเข้ากับราวกั้นหัวสะพานของคูเมือง ด้านหน้าของรถได้พุ่งออกจากหัวสะพานและโงนเงนจะตกมิตกแหล่ เนื่องจากรถได้พุ่งชนกับหัวสะพานทำให้ศีรษะของโม่ซวนหลินเลือดไหลไม่หยุด เธอลืมตาที่ถูกเลือดสีแดงสดบดบังจนพร่ามัวขึ้นอย่างยากลำบาก มือสองข้างคอยล้วงจับรอบๆ
ในที่สุดก็ล้วงเจอมือถือ เธอโทรศัพท์อย่างหมดเรี่ยวแรง ตัวเลขสุดท้ายยังไม่ทันได้โทรออกไป รถก็ได้โยกอย่างแรงทีนึง เธอทันแค่กรีดร้องคำนึง
ตระกูลเย่
ไม่เพียงแต่เย่เชินหลินเท่านั้นที่อยู่บ้าน เซี่ยชีหรั่นกับสวีเห้าเซิงก็อยู่ด้วย
อ้าวเสว่แอบอิงอยู่ที่ข้างกายของเซี่ยชีหรั่น มือสองข้างจับท้องไว้และยิ้มอย่างอ่อนหวาน
“เนี่ยนโม่”อ้าวเสว่เห็นเขาแล้วได้รีบลุกขึ้น เซี่ยชีหรั่นก็ได้ลุกขึ้นตามพร้อมกำชับว่า:“มีลูกต้องระมัดระวังหน่อย คราวหน้าอย่าลุกเร็วแบบนี้อีก”
อ้าวเสว่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เย่เชินหลินถามเสียงทุ้มต่ำอยู่ข้างๆ“เตรียมจะแต่งงานเมื่อไหร่?”
“ผมไม่มีแพลนที่จะแต่งงานครับ”เย่เนี่ยนโม่พูดเสียงทุ้มต่ำ
เพิ่งพูดจบ เย่เชินหลินก็ได้ขัดจังหวะด้วยสีหน้าบูดบึ้ง“เหลวไหล”
เซี่ยชีหรั่นกับสวีเห้าเซิงต่างก็มองเขาอย่างเจ็บปวดใจ พวกเขาไม่เชื่อว่าเย่เนี่ยนโม่จะเป็นเด็กที่ไม่มีความรับผิดชอบ
อ้าวเสว่รีบก้าวไปข้างหน้าก้าวนึง“คุณอาเย่อย่าโทษเนี่ยนโม่เลยค่ะ เป็นความผิดของหนูเอง หนูควรให้เขาได้เตรียมใจก่อน”
เย่เนี่ยนโม่หันไปมองหน้าเธอ สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยการสำรวจ ในใจเขาสงสัยสุดๆว่าคำพูดของอ้าวเสว่จริงหรือเปล่า ผ่านไปสักพักเขาได้พูดว่า:“ผลตรวจล่ะ?”
เย่เชินหลินโมโหจนเกือบจะลงไม้ลงมือ แต่เซี่ยชีหรั่นได้รีบห้ามเขาไว้ น้ำเสียงก็มีความโกรธอยู่เสี้ยวนึง“เนี่ยนโม่ พ่อกับแม่ได้ดูผลตรวจแล้วว่าตั้งครรภ์จริงๆ อ้าวเสว่รักลูกขนาดนี้ เธอไม่ผิดต่อลูกหรอก”
เหตุการณ์ได้เข้าสู่สถานการณ์ที่อึดอัด อ้าวเสว่ร้องไห้อย่างเบาเสียง เย่เนี่ยนโม่นึกถึงลูกในท้องของเธอตั้งครรภ์ตอนที่ตัวเองทะเลาะกับติงยียีทีไร ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทุกที
เขาจ้องท้องของเธอไว้ ข้างในมีชีวิตน้อยๆอยู่ชีวิตนึง เป็นลูกคนแรกของเขา เขาไม่เอาอ้าวเสว่ แต่กลับไม่เอาลูกคนนี้ไม่ได้
เย่เชินหลินโบกฝ่ามือใหญ่“อ้าวเสว่เข้ามาฝากครรภ์ที่ตระกูลเย่ก่อน ฤกษ์แต่งงานค่อยปรึกษาและตกลงกันโดยเร็ว”
“ผมเคยบอกแล้วว่าผมไม่แต่งงานกับเธอ”สายตาที่เย่เนี่ยนโม่เพ่งมองเขาไม่ยอมถอยเลย เย่เชินหลินอุทานด้วยเสียงเย็นชาทีนึง“เรื่องนี้แกจะตัดสินเองใจไม่ได้”
สงครามในที่เกิดเหตุตึงเครียดจนพร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ เย่เนี่ยนโม่สูดหายใจลึกๆทีนึง จากนั้นได้เดินจากไปอย่างเร็ว อ้าวเสว่อยากตามไป แต่ถูกสวีเห้าเซิงดึงตัวไว้
เย่ป๋อรีบตามคุณชายของตัวเองไป บนถนนทางรถยนต์ รถปอร์เช่คันนึงได้ขับอยู่บนท้องถนนอย่างเร็ว วิวสองข้างทางแว๊บผ่านอย่างไว ผู้คนทันมองเห็นแค่ไฟของรถยนต์ที่ขับผ่าน
หน้าโรงพยาบาล
ในที่สุดรถที่วิ่งแล่นอยู่แสนนานก็ได้จอดลงมาเสียที ไม่นานรถเบนซ์สีดำที่ตามอยู่ด้านหลังก็ได้จอดลงด้วยเช่นกัน เย่ป๋อวิ่งมาที่หน้ารถ
เย่เนี่ยนโม่ลงมาจากรถ บนตัวเขามีกลิ่นไอของความเย็นชาฟุ้งกระจายอยู่“ปิดเรื่องนี้ไว้ดีๆ”
“ครับ คุณชาย”เย่ป๋อหลุบตา ปกปิดความกังวลของตัวเองไว้แล้วตอบ
ในห้องผู้ป่วยไม่มีคน เย่เนี่ยนโม่หันมาด้วยสีหน้ามืดมน“คนล่ะ?”
เย่ป๋อดึงตัวพยาบาลที่เดินผ่านมาไว้ หลังจากสอบถามแล้วได้รีบบอกสถานการณ์ของติงยียีให้กับเขา
เย่เนี่ยนโม่ก้าวเท้าเดินไป เขารู้ว่าตอนนี้อารมณ์ของตัวเองก็เหมือนถังดินปืน และคนที่สามารถดับไฟก็มีแค่คนเดียวเท่านั้น
โซนเด็กเล็ก
เด็กผู้ชายที่ซูบผอมให้น้ำเกลือไปด้วยและกำขนช่วงคอของแพนด้าไว้ แพนด้าหมอบอยู่บนพื้น ให้เขากำอย่างเชื่อฟัง
ติงยียีมองดูเด็กที่น่าสงสารคนนี้ พ่อแม่ของเด็กได้ทิ้งเขาไปเพราะเขาเป็นมะเร็ง เด็กตัวเล็กแค่นี้ก็ต้องรับความทุกข์ทรมานจากการทำคีโมแล้ว
เขาชอบเจ้าแพนด้ามาก หลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกับคุณหมอ คุณหมออนุญาติให้เขาเล่นกับเจ้าแพนด้าได้
จู่ๆเธอนึกถึงเย่เนี่ยนโม่แล้วเศร้าใจ ก็ไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นยังไงบ้าง
“พี่สาวกำลังคิดอะไรอยู่ครับ?”เด็กผู้ชายถามด้วยความใสซื่อ เธอรีบส่ายหัวแล้วยื่นน้ำที่อยู่ในมือให้เขาด้วยรอยยิ้ม เด็กผู้ชายที่เชื่อฟังรับน้ำมา พร้อมมองด้านหลังเธอและพูดว่า:“พี่ครับ ด้านหลังพี่มีพี่ชายคนนึงที่เคร่งขรึมมากจ้องพี่อยู่ตลอดเวลาครับ”
พี่ชายที่เคร่งขรึมมาก?
เธอหันไปมอง ทันใดนั้นขวดน้ำในมือได้ตกลงไปที่พื้น
โพรงหญ้าของโรงพยาบาล
มือทั้งสองข้างของติงยียีอดบิดไปมาไม่ได้“คุณเป็นยังไงบ้างคะ ยังโอเคอยู่มั้ยคะ?”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า จู่ๆได้ดึงข้อมือเธอมา และยันเธอไว้บนกิ่งไม้ บนกิ่งไม้มีหิมะที่ยังไม่ได้ละลายหลงเหลืออยู่ ติงยียีรู้สึกความหนาวได้แพร่จากแผ่นหลังมายังแขนขา
เขายื่นมือเรียวยาวยกคางของเธอขึ้น เธอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก และสบตากับดวงตาเร่าร้อนของเขา
“ติงยียี เรียกชื่อผม”เขาเข้าใกล้เธอ พร้อมพูดที่ข้างหูเธอเบาๆ ลมหายใจที่โชยออกมาทำให้หูของเธอรู้สึกร้อนผ่าว
“คุณเป็นอะไรคะ?”ท่าทีที่เผด็จการของเขาทำเธอตื่นเต้น น้ำหิมะหยดนึงไหลจากกิ่งไม้ลงมาที่คอเสื้อของเธอ เธอตัวสั่นไปทีนึง
“นะ เรียกชื่อผม”เขายิ่งเข้าใกล้มากขึ้น ทั้งๆที่เป็นมุขหยอดสาว แต่พอพูดออกมาจากปากของเขาแล้วมีความเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น
ติงยียีถูกบีบให้มองหน้าเขาไว้ ปลายลิ้นขยับอยู่ที่ในช่องปาก จากนั้นได้พูดออกมาทีละถ้อยคำ“เย่เนี่ยนโม่”
เสียงหัวระอันทุ้มต่ำดังขึ้นที่ข้างหู เธอถึงขั้นสามารถรู้สึกได้ว่ามีความสั่นสะเทือนส่งผ่านมาจากทรวงอก เขายิ่งเข้าใกล้เธอมากขึ้น น้ำเสียงก็เบาลงกว่าเดิมด้วย“เรียกผมเนี่ยนโม่”
เธออึ้งจนน้ำเสียงก็เริ่มติดขัดขึ้นมา“ไม่···ไม่เรียก!”เธอหันไปอีกทางอย่างไม่พอใจ เคลื่อนย้ายสายตาไปยังน้ำพุที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตร บนน้ำพุมีน้ำแข็งหนาๆปกคลุมอยู่ชั้นนึง เจ้าหน้าที่กำลังใช้เสียมเจาะออกอยู่
จู่ๆใบหูของเธอมีความเปียกชื้นแพร่มา เธอหันหน้าไปอย่างเหลือเชื่อ เย่เนี่ยนโม่จับสายตาของเธอไว้และไม่ปล่อยไปอีก อารมณ์ในแววตาเข้มข้นจนน่าตกใจ
ด้านหลังของทั้งสองคือรั้วไม้ทั้งแผ่น ได้บังทั้งสองไว้ลางๆ ที่ห่างออกไปไม่ไกลมีเสียงพูดคุยกันและเสียงฝีเท้าก้องมา เธอตกใจ มือสองข้างได้เริ่มขัดขืนขึ้นมา“มีคนมาค่ะ ปล่อยฉัน”
เขาจับเธอไว้อย่างชิวๆ ปล่อยให้เธอขัดขืนอยู่อย่างนั้น พร้อมทำสีหน้าใจเย็น เธอรู้สึกแย่สุดๆ ฟังเสียงฝีเท้าที่ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เธอก้มหน้าไว้และอ้าปากเล็กน้อย“เนี่ยนโม่”
ในใจเธอกล้ำกลืนสุดๆ ฟันได้กัดริมฝีปากนิ่มนวลของตัวเองไว้ แต่ได้ละเลยรอยยิ้มและความอ่อนโยนที่แว๊บผ่านแววตาของเย่เนี่ยนโม่
เสียงของนอกรั้วค่อยๆไกลออกไป เธอรู้สึกโล่งอกไปที ร่างกายอดไหลลงไปไม่ได้
มือที่เย่เนี่ยนโม่จับแขนเธอไว้ได้คลายออก เธอกำลังอยากจะหนี จู่ๆมีการพลิกหมุนตัว ตอนที่เธอรู้ตัวอีกทีก็ได้เปลี่ยนที่กับเขาแล้ว
หมอบอยู่บนทรวงอกที่อบอุ่น แผ่นหลังถูกโอบไว้เบาๆ เสียงดังจากด้านบนมายังด้านล่าง“เรียกผมอีกครั้งได้มั้ย?”
เธอกระหืดกระหอบ หมัดได้ทุบไปที่ทรวงอกของคนตรงหน้าและถอยหลังไปหลายก้าวติดๆกัน ระยะห่างของทั้งคู่ถูกดึงออกจากกัน เธอมองเขาอย่างระมัดระวัง จู่ๆพบว่าแววตาของเขาน่ากลัวมาก
“คุณอยากไปจากผม?”แววตาของเย่เนี่ยนโม่เฉียบคม แต่เสียงกลับยิ่งอยู่ยิ่งอ่อนโยน เหมือนกำลังพูดกับเธออยู่ และเหมือนกำลังพูดเองเออเอง
ติงยียีรู้สึกกลัว ไหล่ของเธอสั่นเล็กน้อย ดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมา“วันนี้คุณเป็นอะไรกันแน่?”
เย่เนี่ยนโม่เห็นน้ำตาของเธอแล้วอึ้งเล็กน้อย จากนั้นได้หันไปชกใส่กิ่งไม้หมัดนึง ส่งเสียงปังออกมา หิมะบนกิ่งไม้ถูกสะเทือนจนร่วงลงมาไม่น้อย
“ผมขอโทษ”พอเขาหันหน้ามาอีกครั้ง สีหน้าแววตาของเขาได้กลับมาสงบนิ่งแล้ว มีแค่นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ยิ่งอยู่ยิ่งลุ่มลึก
ติงยียีพยายามถอยหลังไปหลายก้าว เห็นเขายืนตัวตรงอยู่ใต้ต้นไม้ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ก็ได้ถอยหลังไปอีกหลายก้าว ทันใดนั้นสายตาของเธอได้มองไปยังมือของเขา เนื่องจากท่าทางของเมื่อครู่ ข้อนิ้วมือของเขาชกจนมีรอยช้ำ แผลมีเลือดซึมเล็กน้อย ไม่นานเลือดก็ได้แข็งตัวอยู่บนผิว
เธอไม่มีเวลามาคิดอะไรมาก ได้หันหลังวิ่งไปอย่างไว เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้มองดูเธอวิ่งไปไกล บนตัวเขายังมีหิมะที่เมื่อครู่ร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ไหลอยู่
เขายืนอยู่ตรงนั้น รู้สึกเลือดทั้งร่างกายได้แข็งตัวไปหมด ดูกลมกลืนกับหิมะสีขาวทั้งแผ่นของรอบๆ
จู่ๆห่างออกไปไม่ไกลมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบก้องมา ร่างเงาได้โผล่อยู่ที่สุดทางอีกครั้ง
จู่ๆพระอาทิตย์ได้ทะลุก้อนเมฆ แสงอาทิตย์ที่ริบหรี่สาดส่องจากช่องโหว่กิ่งไม้มายังบนตัวเขา เขามองผู้หญิงที่ยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้ตัวเองขึ้นมาทุกที มุมปากเผยรอยยิ้มที่มีความสุขออกมา ได้อบอุ่นพระอาทิตย์ของฤดูหนาว และได้อบอุ่นหัวใจของตัวเอง
“คุณยังหัวเราะได้อีก!”ติงยียีโกรธจนย่ำเท้า เธอจับแขนของเขาไว้แล้วลากเข้าไปในโรงพยาบาล เย่เนี่ยนโม่ปล่อยให้เธอจับแขนไว้
ติงยียีเดินอยู่ข้างหน้า จู่ๆฝีเท้าได้ช้าลงมา“ต่อไปห้ามทำแบบนั้นอีก”
“ทำอะไรครับ?”เย่เนี่ยนโม่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยให้เธอสัมผัสกับพระอาทิตย์ และถามอย่างเกียจคร้าน
มือที่ติงยียีจับแขนเขาไว้ได้แน่นขึ้นทันที เสียงที่พูดออกมาเบาเหมือนยุง“ต่อไปอย่าให้ฉันเรียกคุณแบบนั้นอีก”