สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1546 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1386
อ้าวเสว่เงยหน้าขึ้นมาอย่างลนลาน“คุณสงสัยว่าฉันเกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายของเธอ?ฉันไม่ได้เจอเธอมานานมากแล้ว ครั้งนั้นก็เจอกันโบบังเอิญเฉยๆ”
เย่เนี่ยนโม่มองหน้าเธอ“ผมไม่แคร์หรอกว่าคุณกับเธอมีความสัมพันธ์กันยังไง ยิ่งไม่เป็นห่วงว่าคุณได้ฆ่าเธอหรือเปล่ากันแน่”
คำพูดของเขาทำให้เธอข้องใจสุดๆ ได้แต่รอเขาไขปริศนาอย่างเงียบๆ
เย่เนี่ยนโม่เดินมาที่ข้างกายเธอ มองเธอจากที่สูงลงมาที่ต่ำ และพูดทีละถ้อยคำ:“อย่าไปหาเธอ ยิ่งอย่าพูดเรื่องใดๆที่คุณไม่ควรพูดกับเธอ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมขอคุณ”
อ้าวเสว่มองเขาด้วยสีหน้าแววตาที่ซับซ้อน ที่แท้อยู่ในใจเขา แม้แต่ตัวเองฆ่าคนก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้แล้วเหรอ?อยู่ในใจเขาตัวเองได้กลายเป็นนางมารร้ายไปแล้วเหรอ?
ยิ่งแค้น สมองของเธอยิ่งปลอดโปร่ง เธอน้ำตาคลอเบ้ามองหน้าเขาไว้พร้อมพูดเสียงต่ำ:“ฉันไม่ได้ฆ่าเธอจริงๆนะคะ อีกอย่างฉันรู้ว่าคุณชอบติงยียี ไม่เคยคิดที่จะพูดกับเธอเลย คุณวางใจเถอะ ฉันจะเก็บความลับไว้เป็นอย่างดีเลยค่ะ”
เย่เนี่ยนโม่มองดูเธอวิ่งจากไปแล้วได้ขมวดคิ้วหยิบมือถือขึ้นมา วินาทีที่รับสายได้ถูกตัดสายทิ้งทันที เขาถอนหายใจอย่างแรง ยอมให้เธอเกลียดก็ไม่อยากให้เธอรู้ความจริงนี้ คนที่ไม่อยากทำร้ายจิตใจที่สุดก็คือเธอ แต่ดันทำร้ายจิตใจเธอมากที่สุด
บนถนน ติงยียีน้ำตานองหน้ามองดูสายที่ไม่ได้รับ เธอรู้สึกตาของตัวเองบวมจนลืมไม่ขึ้น ไม่อยากให้พ่อเป็นห่วง เธอได้กลับมาที่บ้านเก่าตระกูลติง
เพิ่งเข้ามาในซอย เพื่อนบ้านที่เดินมาก็ได้พูดกับเธออย่างลับๆล่อๆว่า:“ยียี บ้านเธอมีงานศพหรือเปล่า ฉันเห็นมีคนนั่งเผากระดาษเงินกระดาษทองอยู่ที่บ้านเธอ”
ติงยียีอึ้งและรู้สึกแปลกใจสุดๆ หลังจากที่ทักทายกับเพื่อนบ้านเสร็จเธอก็ได้กลับบ้านไปอย่างเร่งรีบ
ท้องฟ้ามืดมากแล้ว กระแสไฟของหลอดไฟสีเหลืองนวลไม่ค่อยเสถียร ไฟติดๆดับๆ
หน้าบ้านของตระกูลติง หญิงวัยกลางคนๆนึงนั่งหันหลังให้กับติงยียีอยู่ที่มุมกำแพงของประตู แสงไฟที่ริบหรี่ชูใบหน้าด้านข้างของเธอ เธอกำลังก้มหน้าก้มตาเผาอะไรลงไปที่เตา ในปากคอยพึมพำไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่
ติงยียีก้าวไปมองเธออย่างแปลกใจ เธอไม่ได้รู้จักเธอ“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหาใครคะ”
ผู้หญิงหันหน้ามาอย่างช้าๆ แสงไฟสีส้มทำให้สีหน้าของเธอค่อนข้างดุร้าย สายลมเย็นพัดมา เปลวไฟวิบวับ จู่ๆเธอได้เอ่ยว่า“แกก็คือติงยียีสินะ”
ติงยียีพยักหน้า กำลังอยากจะเปิดปากพูด ผู้หญิงก็ได้ร้องไห้พร้อมกับพุ่งมาหาเธอ จากนั้นได้ล้วงกรอปรูปออกมาจากกระเป๋าสีดำแล้วยัดเข้ามาในอ้อมอกเธอ
ถูกความเคลื่อนไหวของเธอทำเอาตกใจ ติงยียีถือกรอปรูปไว้ด้วยจิตใต้สำนึก เธอก้มหน้าดู แววตาของโม่ซวนหลินที่อยู่ในกรอบรูปมีความเย็นชา เดิมที่เป็นรอยยิ้มที่สวยหวาน อยู่ใต้แสงไฟมี่มืดสลัวกลับมีความใจร้ายมากขึ้นเสี้ยวนึง
“อ๊า!”ติงยียีสลัดรูปถ่ายในมือออกไปด้วยจิตใต้สำนึก พร้อมพูดอย่างติดๆขัดๆ:“คุณคือใคร?ทำไมถึงทำแบบนี้!”
โม่เสี่ยวโนก้มไปเก็บกรอบรูปขึ้นมา เธอปัดหิมะบนกรอปรูปทิ้งเบาๆ พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็มีสีหน้าเยี่ยงหมาป่าแล้ว เธอพูดอย่างดุร้าย:“แกบอกมา แกเป็นคนทำร้ายลูกสาวฉันใช่มั้ย!”
“โม่ซวนหลินเป็นอะไรคะ?”หลังจากที่รู้ว่าถ่ายทำ《เวทมนตร์》ติงยียีนอกจากอยู่ตอนที่บ้านเธอเพื่อช่วยเจ้าแพนด้าได้เจอหน้าโม่ซซนหลินครั้งนึง จากนั้นก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย
“เธอตายแล้ว แกไม่รู้หรือไง!” โม่เสี่ยวโนพูดอย่างกระหืดกระหอบ
“ตายแล้ว เป็นไปได้ยังไงคะ?”ติงยียีมองเธออย่างประหลาดใจ ในใจมีอารมณ์ที่ซับซ้อนขึ้นมาทันที
โม่เสี่ยวโนหัวเราะเย็นชาพร้อมพูดว่า:“ก็แค่สาดน้ำกรดใส่แกเองไม่ใช่เหรอ แกก็ไม่ได้เสียโฉมไม่ใช่เหรอ!แกด่าเธอได้ตีเธอได้ แต่ทำไมต้องทำร้ายเธอด้วย เธอเป็นความหวังของฉันเชียวนะ!”
ติงยียีมองหญิงวัยกลางคนที่ร้องไห้คร่ำครวญ ในใจเธอสับสนมาก ในหัวมีเย่เนี่ยนโม่ที่พุ่งออกมาจากหมู่คนและอ้อมกอดที่อบอุ่นของเขาโผล่ขึ้นมาอีก
“คุณทำอะไรเธอกันแน่?”ด้านหลังมีเสียงทุ้มต่ำเบาๆดังขึ้น ตรงทางเลี้ยวในที่มืด เงาที่ผอมสูงเดินมา
“ชูหวิน!”กระเป๋าในมือของติงยียีได้ตกลงไปที่พื้นหิมะ เธอมองคนที่เดิมทีไม่ควรโผล่มาอย่างอึ้ง
แววตาของเย่ชูหวินเย็นชา รองเท้าบูทเหยียบจนพื้นหิมะเป็นรอยลึกๆ “เมื่อกี๊คุณบอกว่าโม่ซวนหลินเอาน้ำกรดสาดเธอ?”
โม่เสี่ยวโนดูออกว่านี่เป็นลูกของโม่เสี่ยวจุนกับไห่ฉิงฉิง เธอแค่อึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ได้อาละวาทเสียงดังขึ้นมา“ชูหวิน!น้องสาวแกตายอย่างน่าอนาถมาก ฉันสงสัยว่าผู้หญิงชั่วร้ายคนนี้เป็นคนทำ หลังจากที่มันไปหาซวนหลินแล้วซวนหลินก็ตายเลย ไม่ใช่มันแล้วยังจะใครอีก!”
โม่เสี่ยวโนโหยหวนอย่างเศร้าโศกเสียใจ เห็นหน้าตาที่ด้านชาของเย่ชูหวินแล้วปรี๊ดแตกขึ้นมาทันที จากนั้นก็ได้กระโจนไปอย่างแยกเขี้ยวยิงฟัน
“แกยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า นั่นมันน้องสาวของแกเชียวนะ แกไปช่วยคนนอกได้ยังไง!”เธอคอยโบกสะบัดแขนที่อ้วนใหญ่ แต่เย่ชูหวินได้จับมือของเธอไว้
“ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะกระจ่างผมไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเธอ แม้แต่คุณก็ไม่ได้!”เขาสลัดมือของเธอทิ้งอย่างเย็นชา
โม่เสี่ยวโนถอยหลังไปหลายก้าว สายตาจ้องมองอยู่ที่ทั้งสองอย่างโหด“ได้!วันนี้แกช่วยมัน ฉันไม่ปล่อยมันไว้แน่!”
จนกระทั่งคนวิ่งไปไกล เย่ชูหวินถึงก้มลงไปเอากระถางไฟกลัดที่ดิน ควันสีดำและกลิ่นที่รุนแรงโชยออกมาจากเตาเผา
ติงยียียืนอยู่ข้างหลังเขาและพูดอย่างระมัดระวัง:“ฉันเปล่านะคะ ฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเรื่องมันเป็นมายังไงบ้าง?”
เย่ชูหวินหันมามองหน้าเธอ จู่ๆได้ยิ้มขึ้นมา ใบหน้าที่ซูบผอมเสริมให้ตาสว่างมาก เขาพยักหน้า“ผมรู้ อีกอย่างนี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก”
“เพราะอะไรคะ?”ติงยียีเงียบไปครึ่งค่อนวันถึงถามออกมา เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่พื้นหิมะ เย่ชูหวินเดินมาถึงข้างกายเธอแล้วโน้มตัวลงมาเล็กน้อยมามองหน้าเธอ“ก็เพราะคุณคือติงยียีไงครับ”
เรื่องที่โม่ซวนหลินตายทำคนตื่นตะลึงเกินไป ตื่นตะลึงจนติงยียีไม่ทันถามว่าทำไมเย่ชูหวินครั้งนี้ถึงกลับมาได้
ทั้งสองเดินออกมาจากปากซอยเงียบๆ
KFCในระแวกปากซอย แสงไฟสว่างและน้ำเต้าหู้อุ่นๆทำให้นิ้วมือที่แข็งกระด้างของติงยียีค่อยๆกลับมาอุ่นขึ้น สายตาของเธอจ้องมองอยู่ที่บนชั้นวางหนังสือพิมพ์
บนหนังสือพิมพ์ รูปถ่ายที่กำลังยกรถออกมาจากแม่น้ำสะดุดตามากเป็นพิเศษ
เธอหยิบมาดูอย่างละเอียด ไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว หลังจากเห็นตำรวจเชื่อมั่นว่าคือการฆ่าตัวตายแล้วได้ถอนหายใจเบาๆทีนึง
เย่ชูหวินก็ได้หยิบหนังสือพิมพ์มาฉบับนึง ถึงเขาจะไม่ชอบโม่ซวนหลินเลย อยู่ต่างประเทศก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าเธอได้ดาราเบอร์รอง แต่จู่ๆคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขาตาย เขาก็อยากรู้เรื่องราวความเป็นมาอยู่เหมือนกัน
น้ำเต้าหู้ที่อยู่ตรงหน้าของติงยียีค่อยๆเย็นลง หนังสือพิมพ์ในมือถูกดึงออก เธอเงยหน้าขึ้นมามองเย่ชูหวินเอาหนังสือพิมพ์กลับไปวางที่เดิม เขาปกปิดความเศร้าที่มีต่อการตายของโม่ซวนหลินไว้แล้วยิ้มให้กับเธอ“ ไม่อยากคุยอย่างอื่นกับผมหน่อยเลยเหรอ?”
ติงยียีรู้ว่าเขากำลังช่วยตัวเองเบี่ยงเบนความสนใจอยู่ เธอพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จู่ๆพบว่าเขาซูบผอมกว่าคราวก่อนมาก และยังสามารถมองเห็นเส้นเลือดดำบนหลังมือเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่ว่าเขาดูกระปรี้กระเปร่ามาก เธอยังนึกว่าเขาป่วยเสียอีก
เย่ชูหวินกระพริบตาปริบๆ“จ้องผมทำไมครับ?”
ติงยียีรีบเคลื่อนย้ายสายตา เธอดื่มน้ำเต้าหู้ที่เย็นลงเล็กน้อยกรึ๊บใหญ่ แล้วเปิดปากพูดอีกครั้ง“คุณกลับมาคราวนี้ยังจะไปอีกมั้ยคะ?”
แววตาของเธอแฝงด้วยความเร่งรีบ แววตาของเย่ชูหวินอ่อนโนลงเยอะ“ไม่แล้วครับ ผมจะอยู่ที่นี่ตลอด จนกว่าจำใจต้องจากไป”
“จำใจต้องจากไปอะไรคะ?ถ้าคุณยากอยู่ที่นี่ก็อยู่ได้ตลอดนี่คะ?”ติงยียีไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเขา แต่กลับเข้าใจความเศร้าโศกที่จู่ๆแว๊บผ่านสายตาเขา
ไม่รู้เพราะอะไร เธอมองแววตาที่ค่อนข้างเหนื่อยล้าของเขาแล้ว ไม่นึกเลยว่าในใจจะกลัวเขาพูดคำตอบอะไรที่ทำให้เธอรับไม่ได้ออกมา แทบจะอยากปกปิดคำถามนึงด้วยจิตใต้สำนึก เธอใช้น้ำเสียงที่ล้อเล่นถาม:“แล้วคุณมารอฉันที่หน้าบ้านฉันได้ยังไงคะ?”
ที่ร้านKFCเปิดดนตรีไว้พอดี เสียงของนักร้องแหบพร่า เสียงเปียโนที่มีความเลื่อนลอยอยู่เสี้ยวนึงนี้ราวกับได้ก้องมาจากอีกมิตินึงยังไงอย่างงั้น สายตาของเขาเศร้าหมอง“ผมหาคุณไม่เจอ”
น้ำเสียงของเขามีความโศกเศร้า เหมือนกับว่าคำพูดเงียบง่ายไม่กี่คำนั้นยังแฝงด้วยความโศกเศร้าที่ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูด เธอแบกรับไม่ไหว อยากหลุดพ้นออกมาจากบรรยากาศเศร้าโศกที่เขาสร้างขึ้นมาด่วน จึงได้แกล้งกระพริบตาปริบๆและใช้น้ำเสียงที่โอเวอร์:“แล้วทำไมคุณถึงไม่โทรหาฉันล่ะคะ?”
เขามองเธออย่างจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ในแววตามีความเจ้าเล่ห์อยู่เสี้ยวนึง ติงยียีตกใจละรีบล้วงมือถือออกมา ที่แท้ในสายที่ไม่ได้รับ เบอร์ของเขาถูกเบอร์ของเย่เนี่ยนโม่กลบเอาไว้ ตอนนั้นเธอจิตใจสับสนเลยไม่ได้สังเกตในชั่วขณะ
เธอรู้สึกละอายใจ หูก็แดงก่ำเล็กน้อยและถึงขั้นรู้สึกตัวร้อนขึ้นมาด้วย นั่นเป็นอารมณ์ที่ชื่อว่าละอายใจ
เย่ชูหวินดูออกว่าเธอตกที่นั่งลำบาก เขากลั้นขำไม่อยู่อีกต่อไป เพื่อไม่ให้เธอโทษตัวเองต่อ เขาได้เปลี่ยนประเด็น“คุณกับเนี่ยนโม่เป็นยังไงบ้าง?”
เขารู้สึกได้อย่างหลักแหลมว่าร่างกายของติงยียีมีความแข็งทื่อเสี้ยวนึง น้ำเสียงของเขาก็ตึงเครียดขึ้นมาด้วย“เขาดีกับคุณหรือเปล่า?”
ติงยียีมองเขาแล้วยิ้มอ่อนๆ “ใช่ เขาคือไอ้สารเลว”
ทันใดนั้นเย่ชูหวินได้ลุกขึ้นมาทันที คว้าเสื้อคลุมบนเก้าอี้เสร็จก็จะเดินออกไปเลย“ผมไปหาเขา!”
ติงยียีรีบลุกแล้ววิ่งออกจากร้านKFCไปตามเขา จู่ๆสายลมเย็นได้พัดผ่านมา เธอจามทีนึง รอบด้านมีแต่เสียงลม ห่างออกไปไม่ไกล เธอเห็นร่างเงาที่กำลังจะนั่งเข้าไปในแท็กซี่ลางๆ เธอวิ่งไปอย่างไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น แต่เท้ากลับลื่นอย่างแรง
ก้นของเธอล้มไปกองกับพื้น มือได้ค้ำไว้ที่ด้านหลัง ฝ่ามือได้จมเข้าไปในหิมะขาวโพลนลึกๆ เสียงฝีเท้าของด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เธอเงยหน้าขึ้นอย่างลนลาน เย่ชูหวินได้ขมวดคิ้วพร้อมยื่นมือที่เธอ
“คุณไม่ได้ไปเหรอคะ?”ติงยียีรู้ว่าคำถามนี้แปลกมาก แต่เธออดถามไม่ได้
ถอนหายใจเบาๆและแสร้งทำเป็นปวดหัวมาก“ท้องฟ้ามืดขนาดนี้ ขืนปล่อยคุณไว้ที่นี่แล้วถูกคนอื่นจับจ้องไปจะทำยังไง?”
คำพูดที่ซุกซนคำนึง ได้ทำให้บรรยากาศของทั้งคู่กลมเกลียวขึ้นมาบ้าง แต่ทั้งสองต่างก็รู้ดีว่าคนๆนั้น เรื่องๆนั้นก็เหมือนก้างปลาที่ยังติดอยู่ในลำคอ
เย่ชูหวินส่งเธอกลับบ้าน เข้ามาถึงชุมชน เขาได้พูดอย่างทอดถอนใจ:“ตอนที่เจอคุณลุงครั้งแรก เขาเกือบจะอัดผมซะแล้ว”
ติงยียีล้อเล่น“ไม่แน่ตอนนี้เขาอาจจะรอคุณอยู่ที่หน้าบ้านนะคะ”
ทั้งสองเดินไปข้างหน้าพร้อมพูดไปหัวเราะไป จนกระทั่งเย่ชูหวินหยุดฝีเท้าลง ติงยียีได้มองเขาอย่างประหลาดใจก่อน จากนั้นก็ได้มองไปตามสายตาของเขา