สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1547 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1387
ข้างสวนหย่อมดอกไม้ ชายคนนึงพิงอยู่ที่หน้ารถและกำลังมองดูพวกเขาอย่างเงียบๆ สายลมเย็นพัดเสื้อคลุมของเขาส่งเสียงดัง
ติงยียีประหลาดใจ ได้ถอยหลังไปก้าวนึงด้วยจิตใต้สำนึก มือข้างนึงได้ปกคลุมมาที่แผ่นหลังของเธออย่างอบอุ่น จากนั้นได้ผลักเบาๆ
เธอหันไปมองเย่ชูหวิน แววตาของเขาเต็มไปด้วยกำลังใจ เธอได้แต่ยกฝีเท้าเดินไปข้างหน้าทีละก้าว
เย่เนี่ยนโม่เห็นเย่ชูหวินแล้วอึ้งเล็กน้อย เย่ชูหวินได้ยิ้มให้กับเขา
เสียงฝีเท้าเข้าใกล้มาเรื่อยๆ เขาจึงได้ดึงสายตากลับ
เขามองดูเธออย่างละเอียด ตาของเธอบวมเล็กน้อย เมื่อกี๊ต้องร้องไห้มาแน่ๆเลย แถมเสื้อผ้ายังเปียกชื้นด้วย หรือว่าเมื่อกี๊ลื่นล้ม?
เขาไปจับมือของติงยียีอย่างไม่อนุญาติให้มีข้อสงสัย เธออยากหลบ แต่เขากลับไวกว่าเธอก้าวนึง เขาจับมือของเธอไว้ ฝ่ามือมีแผลที่ถูกก้อนหินที่ปนอยู่ในหิมะข่วนใส่จริงๆด้วย บนแผลยังมีเศษหินติดอยู่ด้วย
เขาขมวดคิ้ว หลังจากปล่อยมือแล้วก็ได้ไปเปิดประตูเบาะนั่งหลัง ติงยียีฉวยโอกาสหันหลังหนีไป แต่ด้านหลังมีเสียงเรียบเฉยก้องมา:“ถ้าหนีไป พรุ่งนี้ผมจะไปดักรอที่บริษัทคุณ”
ฝีเท้าของติงยียีได้หยุดชะงักไว้ น้ำตากลับไหลงลงมาอย่างเงียบๆ ไหลจากคางแหลมของเธอเข้าไปในผ้าพันคอ
เย่เนี่ยนโม่เอาน้ำออกมาจากเบาะนั่งหลังขวดนึง จากนั้นได้ดึงเธอมาที่ข้างกายตัวเอง พอเปิดขวดน้ำแล้วได้ชำระล้างแผลอย่างระมัดระวัง
ผ่านไปสักพัก แผลได้ล้างสะอาดเรียบร้อย เขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นติงยียีกำลังกัดริมฝีปากไว้แน่นและร้องไห้อย่างเงียบๆอยู่ ริมฝีปากล่างถูกกัดเป็นรอยลึก
เขาถอนหายใจทีนึงแล้วยื่นมือมาที่ตรงหน้าเธอ“อยากกัดก็กัดเลย”
ติงยียีไม่มีการลังเล เธอจับมือของเขามาและรูดแขนเสื้อของเขาขึ้น จากนั้นก็ได้กัดลงไป
เธอกัดแรงมาก ไม่นานในปากก็มีรสคาวเลือด เย่เนี่ยนโม่แค่ตอนแรกขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็มีสีหน้าเรียบเฉยตลอด
จู่เธอได้ปล่อยเขา หันหลังอยากจะหนี จากนั้นก็ได้เข้าไปในอ้อมอกที่อบอุ่น“ผมขอโทษสำหรับเรื่องของวันนี้”
เย่เนี่ยนโม่พูดอยู่ข้างหูเธอช้าๆ ฝ่ามือคอยลูบคลำหลังมือของเธอ อยากปลอบเธอสุดๆ
“ปล่อยฉัน ฉันไม่รับคำขอโทษจากคุณ!”ติงยียีขัดขืนสุดฤทธิ์ ตอนที่รู้ว่าร่างกายที่อยู่ด้านหลังได้ดึงตัวออกไปจริงๆ น้ำตาที่เพิ่งหยุดได้ก็โผล่มาอีก
ไม่นาน มือคู่นึงได้จับไหล่ของเธอไว้ แววตาของเย่เนี่ยนโม่แฝงด้วยความสงสาร เสียงของเขามีความแหบพร่าอยู่เสี้ยวนึง“ให้อภัยผมได้มั้ย วันนี้เธอแค่จะล้ม แล้วผมไปประคองเธอไว้เฉยๆ”
ติงยียีพยายามเบิกตากว้างสุดฤทธิ์ อยากให้ตัวเองดูทรงพลังมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งเย่เนี่ยนโม่ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
หนุ่มสาวสองคนที่ร่างกายเร่าร้อนค่อยๆซบอยู่ด้วยกัน แสงไฟค่อยๆหลบเข้าไปในก้อนเมฆ ทำให้แสงจันทร์ที่เดิมทีเลือนลางอยู่แล้วยิ่งเลือนลางเข้าไปอีก
เย่ชูหวินยืนอยู่ในที่ๆแสงจันทร์ส่องไม่ถึง แววตาของเขาเหมือนคลื่นใต้น้ำ เร่าร้อนและพลุ่งพล่าน แต่สุดท้ายกลับหันหลังจากไป
วันถัดมา ติงยียีเพิ่งเข้ามาในลิฟท์ ลูกสาวของเพื่อนบ้านก็ได้เข้ามาในลิฟท์ด้วย เห็นเธอแล้วได้ถามอย่างลับๆล่อๆ:“พี่ติง ปกติพี่คงได้ใกล้ชิดกับผู้ชายที่ทั้งหล่อทั้งรวยเยอะมากเลยสินะคะ”
ติงยียีอึ้งไปครู่นึง เธอมองเด็กมัธยมที่สะพายกระเป๋าหนาๆและไว้ผมหน้าม้าแล้ว ได้ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม“ไม่ใช่หรอกจ้า พี่ไม่เคยเจอผู้ชายสูงหล่อรวยอะไรเลย”
เพิ่งพูดจบเธอก็ได้ชะงักไว้ จู่ๆนึกขึ้นได้ว่าเย่เนี่ยนโม่ก็คือผู้ชายอย่างที่พูดอยู่เนี่ยแหละ กำลังอยากจะเปิดปากอธิบาย จู่ๆรู้สึกตัวเองมัวแต่มาเถียงเรื่องพวกนี้กับเด็กดูเหมือนจะปัญญาอ่อนเกินไป เธอเลยยิ้มและไม่ได้ตอบอะไรอีก
เพิ่งออกจากลิฟท์ แววตาของเด็กมัธยมคนนั้นก็ตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที เธอดึงแขนเสื้อของติงยียีแล้วพูด:“พี่ดูสิคะ ที่นั่นมีผู้ชายที่โคตรหล่อคนนึง ว้าว!พี่ดูรถของเขาสิคะ!”
ติงยียีมองไปตามสายตาของเธอแล้วยิ้มไม่ได้หัวเราะไม่ออกทันที เย่เนี่ยนโม่ที่แต่งตัวภูมิฐานยืนอยู่หน้ารถ ในมือกลับถืออาหารเช้าที่ซื้อมาจากKFC
สายตาของเด็กผู้หญิงได้จ้องไปมาอยู่ที่บนตัวทั้งสองคน จากนั้นได้พึมพำคำนึงว่า“ผู้ใหญ่นี่ชอบโกหกจริงๆด้วย!”พูดจบก็ไม่รอคำอธิบายของติงยียีก็วิ่งออกไปที่นอกชุมชนเลย
ติงยียีมองเธอวิ่งไปไกลอย่างจนปัญญา เย่เนี่ยนโม่เดินมาติดกระดุมให้เธอพร้อมถามว่า:“เป็นอะไรครับ?”
เธอส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม“วันนี้มีเวลามาได้ยังไงคะ”
เขาโน้มตัวเล็กน้อยมามองตาเธอ“ต่อไปผมจะพยายามมารับคุณนะ”
ติงยียีหวั่นไหว ไม่รู้ควรจะตอบยังไง ได้แต่พูดล้อเล่นว่า:“งั้นต่อไปงานของชิวไป๋ก็ลดลงไปเยอะเลยสิคะ”
พอมาถึงระยะทางที่ห่างจากบริษัทหนึ่งร้อยเมตร ติงยียีรีบบอกให้จอดรถ เย่เนี่ยนโม่มองหน้าเธออย่างไม่พอใจ พร้อมพูดอย่างเรียบเฉย:“กะจะเก็บซ่อนผมไว้?”
ติงยียีปลดเข็มขัดนิรภัยไปด้วยและตอบคำถามไปด้วย“ฉันว่าตอนนี้เรายังไม่เหมาะที่จะปรากฏตัวด้วยกันค่ะ”
เดิมทีเป็นคำพูดที่ไม่มีเจตนา แต่กลับทำให้เหตุการณ์มีการเปลี่ยนแปลงที่พูดยาก ติงยียีอึ้งไปครู่นึง ค่อนข้างเสียใจที่ตัวเองได้ทำลายบรรยากาศ
มือข้างนึงเอื้อมมาห่อหุ้มเธอไว้ ฝ่ามือของเย่เนี่ยนโม่แน่นเล็กน้อย เขาเอียงศีรษะมาจูบที่หน้าผากเธอทีนึง“ไปเถอะ”
หลังจากอำลากับเย่เนี่ยนโม่ ติงยียีเพิ่งเดินเข้ามาในลิฟท์ของบริษัทแสงดาว คนๆนึงได้เดินเข้ามาใกล้จากข้างนอก เธอเห็นแล้วรีบทักทาย“ประธานจาง”
จางจื๋อหรุ่ยแค่พยักหน้าเบาๆ แววตาดูมีความหมายลึกซึ้ง“เมื่อกี๊คุณชายเย่อยู่กับคุณ”
ติงยียีตื่นเต้น ได้แต่พยักหน้า ดีที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรเลย พอมาถึงชั้นบน ติงยียีเดินออกจากลิฟท์ก่อน จนกระทั่งประตูลิฟท์ปิดเธอก็ยังรู้สึกเลยว่ามีตาคู่นึงกำลังมองสำรวจตัวเองอยู่
เพิ่งเข้ามาถึงโซนพักผ่อนของนักแสดง เห็นชิวไป๋แล้วแววตาของติงยียีเปล่งประกาย จากนั้นได้ล้วงของขวัญของเย่ป๋อออกมาแล้วยื่นให้กับเธอ
ชิวไป๋แกะกล่องไปด้วยและพูดไปด้วย:“ไม่นึกเลยว่าเธอจะรู้ว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าเป็นวันเกิดฉัน”
ติงยียีอึ้ง ได้แต่พูดอย่างแข็งทื่อว่า:“เย่ป๋อเป็นคนให้เธอ”
ท่าทางที่ชิวไป๋แกะกล่องได้ช้าลง ในกล่องมีผ้าพันคอวางอยู่ผืนนึง ดูจากยี่ห้อแล้วราคาไม่เบาเลย
ชิวไป๋แค่มองแว๊บเดียว จากนั้นก็ได้ใส่กลับเข้าไปใหม่เหมือนเดิมแล้วยื่นให้กับเธอ“ช่วยคืนให้เขาแทนฉันหน่อย”
“ทำไมอ่ะ!ฉันดูออกว่าเธอมีความรู้สึกดีๆกับเขา”ติงยียีรีบพูด ชิวไป๋ถอนหายใจแล้วส่ายหัว จากนั้นก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย
วันนี้ติงยียีไม่มีงาน ชิวไป๋อารมณ์ไม่ดี เธอนั่งดูนิตยสารอยู่ที่ห้องพักผ่อนของนักแสดง ผู้ช่วยสองคนที่นั่งข้างๆกำลังเม้าท์มอยกัน ตอนที่ได้ยินชื่อของโม่ซวนหลิน เธอได้เงยหน้าขึ้นด้วยจิตใต้สำนึก
“ได้ยินหรือยัง ตอนที่ล้วงออกมาหนังก็แช่จนเหี่ยวหมดแล้ว ได้ยินมาว่าตอนนี้ยังไม่ได้ฝังเลย”
“เฮ้อ น่าเวทนาจริงๆเลย แต่ก็มีคนบอกว่าพบเงินถุงนึงในรถด้วย ไม่เหมือนฆ่าตัวตายเลย”
สมาธิของติงยียีไม่สามารถจดจ่อกลับมาที่บนนิตยสารอีก เธอหายใจลึกๆทีนึง เตรียมจะโทรหาเย่ชูหวิน เมื่อวานจากไปอย่างเร่งรีบเกิน เธอถึงขั้นไม่ได้อำลากับเขาเลย
โทรศัพท์รับสายเร็วมาก เสียงของเย่ชูหวินยังคงเรียบเฉยเหมือนปกติอีกเช่นเคย แต่มีรอยยิ้มขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินว่าเธออยากจะเลี้ยงข้าวตัวเอง
เย่ชูหวินวางสายลง ในที่สุดใบหน้าที่เรียบเฉยก็ประดับด้วยรอยยิ้ม เย่เนี่ยนโม่เป็นคนเปิดปากพูดก่อน“ถ้าไม่ใช่อาสะใภ้บอกกับพวกเรา นายคิดจะปกปิดพวกเราอีกนานเท่าไหร่”
เซี่ยชีหรั่นพูดด้วยเสียงสะอื้น:“ชูหวิน เราลองดูอีกสักครั้งนะ หมอที่อเมริกาไม่โอเค เราก็ไปที่ฝรั่งเศส ไปแคนาดา ไปที่ๆบนโลกใบนี้สามารถรักษาหลานหายนะ”
เย่เชินหลินโอบเซี่ยชีหรั่นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ:“เข้ารับการรักษาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลุงจองโรงพยาบาลให้แกเอง”
เย่ชูหวินส่ายหัว“ไม่ละครับ ที่ผมกลับมาในประเทศก็เพราะไม่อยากสิ้นเปลืองชีวิตของผมอีก ในเมื่อนี่เป็นโชคชะตาที่ฟ้ามอบให้ผม ผมเตรียมที่จะยอมรับมันครับ”
“แต่หลานยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้”เซี่ยชีหรั่นรับไม่ได้ชีวิตที่ยังเยาว์วัยขนาดนี้สุดท้ายต้องหายสาบสูญไป เธอพยายามพูดเกลี้ยกล่อมเป็นครั้งสุดท้าย“ชูหวิน เราลองดูอีกครั้งเถอะ?”
เย่ชูหวินทนดูเธอเสียน้ำตาอีกไม่ได้ เขาพยักหน้า จากนั้นได้หันไปพูดกับเย่เนี่ยนโม่“ฉันพูดอะไรกับนายหน่อยได้มั้ย?”
บนระเบียง เย่เนี่ยนโม่คว้าบุหรี่ในมือเขามา สีหน้าบึ้งจนน่ากลัว เย่ชูหวินยักไหล่“ตอนนี้ฉันไม่ดูดแล้ว แค่เอาไว้ในมือให้ได้ใจเฉยๆ”
เย่เนี่ยนโม่ไม่พูดอะไร แต่แค่ยื่นมือมาและจ้องหน้าเขาไว้ เขาจนปัญญา ได้แต่เอาบุหรี่ทั้งซองออกมายื่นให้กับเขา เย่เนี่ยนโม่ยกมือขึ้น ซองบุหรี่สี่เหลี่ยมก็ถูกโยนลงไปในถังขยะเลย
“เนี่ยนโม่ อย่าบอกเธอ ไม่ว่าเวลาไหน”เย่ชูหวินได้พูดขึ้นมากะทันหัน
ลูกกระเดือกของเย่เนี่ยนโม่ได้เคลื่อนไหวขึ้นลงทีนึง จู่ๆเขารู้สึกเสียใจที่เอาบุหรี่ทั้งซองทิ้ง อย่างน้อยน่าจะเก็บไว้ให้ตัวเองมวนนึง เพราะตอนนี้เขาต้องการมาก
ดูเหมือนแววตาของเย่ชูหวินกำลังเร่งรัดอยู่ ผมของเขายาวขึ้นเยอะเลย ไม่ใช่สกินเฮดเหมือนเมื่อก่อนอีก ผิวค่อนข้างซีดเซียว เสริมให้ดวงตาทั้งคู่ยิ่งเปล่งประกายขึ้น
“ฉันรับปากนาย”สักพัก เย่เนี่ยนโม่พูดออกมาคำนึง
เย่ชูหวินยิ้ม เดินผ่านข้างกายเขาเข้าไปในห้อง จู่ๆได้หันหลังมามองเขาด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม“อ้อใช่ ยียีจะเลี้ยงข้าวฉัน ถ้านายไม่ดีกับเธอ ถึงแม้เป็นฉันในตอนนี้ก็จะแย่งเธอมาเหมือนกัน”
เพราะถูกชิวไป๋ดึงตัวไว้ปรึกษาความคืบหน้าของงานในช่วงนี้ ตอนที่ติงยียีมาถึงได้เลยเวลานัดแล้ว
เธอผลักประตูเข้าไป เสียงเปียโนที่ไพเราะลอยเข้ามาในหู เย่ชูหวินนั่งอยู่บนเก้าอี้เปียโนขาว เขาแหงนหน้าเล็กน้อย แสงไฟสีส้มอ่อนส่องอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของเขา มีความสงบนิ่งอยู่เสี้ยวนึง
จู่ๆติงยียีพบอย่างน่าตกใจว่าเขาผอมเกินไปจริงๆ นึกถึงผู้ชายที่แข็งแรงและร่าเริงสดใสในตอนที่เจอกัน แม้ว่าเย่ชูหวินในตอนนี้จะชอบยิ้มแล้ว แต่แววตามักจะมีความกังวลอยู่เสี้ยวนึง
“คุณคะ คุณคะ?”พนักงานเรียกเธอเบาๆอยู่หลายที ติงยียีดึงสติกลับมาได้ในทันที จากนั้นได้ยิ้มให้กับพนักงานอย่างเก้อเขิน
พนักงานพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เป็นเรื่องปกติค่ะ เมื่อกี๊คนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็จ้องมองเขา ฉันยังนึกว่าดาราคนไหนเสียอีก?อ้อใช่ คุณผู้หญิง คุณจองโต๊ะไหนไว้คะ?”
“โต๊ะ3ค่ะ”ติงยียีดึงสายตากลับและตอบพนักงานอย่างใจจดใจจ่อ
พนักงานประหลาดใจเล็กน้อย แววตาของเธอได้มองไปมาอยู่ที่ติงยียีและผู้ชายที่กำลังหลงใหลอยู่ในเปียโน เธอนำทางไปด้วยและพูดอย่างอิจฉาไปด้วย:“แฟนของคุณยอดเยี่ยมจริงๆเลยค่ะ”
ติงยียียิ้ม“เขาไม่ใช่แฟนของฉันค่ะ”