สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1548 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1388
พนักงานยิ้มอย่างอึดอัด หลังจากนำเธอมาถึงที่นั่งก็รีบจากไปทันที เพลงที่ไพเราะค่อยๆช้าลง จนกระทั่งหยุดลง
เย่ชูหวินเดินมาที่ตรงหน้าเธออย่างช้าๆ สีหน้ายังมีความอิ่มเอมใจอยู่ แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้ายังประดับด้วยความพึงพอใจ
“ขอโทษด้วยครับ รอนานแล้วใช่มั้ย”เขาส่งสัญญาณให้บริกร ไม่นานก็มีบริกรมาช่วยทั้งสองเอาบรั่นดีที่อยู่บนโต๊ะอาหารแช่ลงไปในถังน้ำแข็ง
ติงยียีดูเครื่องหมายของเหล้าแว๊บนึง ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล้าที่เคยถูกชิวไป๋เพิ่มเติมให้ได้โผล่ขึ้นมาจากในหัวอีก LouisXIIIBlackPearl บรั่นดีที่แพงที่สุดในโลก ณ ตอนนี้
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่?”เย่ชูหวินเขย่าเหล้าในแก้วเบาๆ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
ติงยียีดึงสติกลับมา เธอส่ายหัวและถือแก้วไวน์มากระดกหมดแก้วเพื่อปกปิด“แค๊กๆๆ”ดื่มเร็วเกินไป ของเหลวที่แสบร้อนไหลย้อนขึ้นมา เธอไอขึ้นมาอย่างรุนแรง
เหมือนกลัวจะรบกวนโดนลูกค้าคนอื่น ติงยียีถึงก้มตัวควบคุมเสียงไอของตัวเองไว้ ทันใดนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นก้องมา มือข้างนึงปกคลุมอยู่ที่แผ่นหลังตัวเองเบาๆ และคอยตบทีแล้วทีเล่าอย่างมีจังหวะ
กว่าจะหยุดไอได้ไม่ใช่ง่ายๆ ติงยียีหน้าแดงหูแดงไปหมดแล้ว เธอกินสเต็กในจานคำโตๆ แค่อยากจะผ่านประสบการณ์ที่อึดอัดนี้ไปโดยเร็ว
“มุมปากของคุณ”เย่ชูหวินที่อยู่ข้างๆเตือนด้วยความหวังดี ติงยียีรีบแลบลิ้นออกมาเลียมุมปากด้านซ้าย
แววตาของเย่ชูหวินไม่พอใจ เขาส่ายหัวเล็กน้อย
หน้าติงยียีแดงก่ำ ความอึดอัดทำให้เธอยิ่งจดจ่อกับการใช้ลิ้นเลียอาหารที่อยู่ตรงมุมปาก ทันใดนั้นตรงหน้ามีเงาปกคลุมลงมา
เธอแค่ทันเงยหน้า นิ้วโป้งที่อบอุ่นก็ได้เช็ดผ่านมุมปากของเธอไปแล้ว เธอมองเย่ชูหวินนั่งกลับไปที่ๆนั่งอย่างเอ๋อ และใช้กระดาษเช็ดปากเช็ดมืออย่างสง่า
ในหัวของเธอมีเสียงบึ้มดังขึ้นเสียงนึง ราวกับสูญเสียความสามารถในการคิด จนกระทั่งเธอเคลื่อนย้ายสายตาไปที่จานอาหารของเย่ชูหวิน ในจานอาหารทานไปแค่นิดเดียว
“ชูหวิน ทำไมคุณถึงกลับประเทศกะทันหันคะ?”ติงยียีถามอย่างระมัดระวัง ตอนนี้เธอดูเขายิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกว่ามีปัญหา แม้แต่ผิวที่ขาวผ่องเกินไปของเขาก็ยังทำให้เธอสงสัย
เย่ชูหวินไม่เคยคิดว่าเธอจะถามคำถามนี้ เขายิ้มเล็กน้อย“เพราะคุณ”
“ไม่อยากพูดก็ช่าง อย่ามาพูดจาลวกๆกับฉันแบบนี้”ติงยียีค่อนข้างโกรธ เห็นๆอยู่ว่าตัวเองเป็นห่วงเขาขนาดนี้ แต่เขากลับมาพูดจาลวกๆกับตัวเอง
เย่ชูหวินก้มหน้าเล็กน้อย มองดูโครงหน้าของตัวเองสะท้อนอยู่บนโต๊ะอาหารลางๆ เขาพึมพำเสียงต่ำ“ผมไม่ได้โกหก”
“คุณว่าอะไรนะคะ?”ติงยียียังมัวแต่ดูถูกตัวเองอยู่ ไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดอะไร
เย่ชูหวินจิบเหล้าคำนึง“ไม่มีอะไรครับ”
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบกริบในชั่วขณะ ติงยียีเหลือบมองเขาเป็นพักๆ ในที่สุดก็ได้รวบรวมความกล้าหาญ“อ้อใช่ บริษัทฉันมีกิจกรรมตรวจเช็คสุขภาพฟรีครั้งนึง คุณจะลองดูมั้ยคะ”
เธอเห็นเขาจ้องมองเธออยู่ ในใจรู้สึกอึดอัดสุดๆ ได้แต่จำใจพูดว่า:“ไม่มีอะไรค่ะ แค่รู้สึกเสียดายเฉยๆ ฮ่าๆ ไม่ไปก็ได้ค่ะ”
“โอเคครับ”เย่ชูหวินได้จิบเหล้าอีกกรึ๊บนึงและตอบตกลงอย่างไว ติงยียีแอบถอนหายใจยาวๆทีนึง ตอบไวขนาดนี้ บางทีทั้งหมดนี้ตัวเองล้วนเดาผิดแล้วมั้ง
เสียงดนตรีที่ไพเราะเสนาะหูดังขึ้นอีกครั้ง ประตูชั้นสองของห้องอาหารเปิดออก คนกลุ่มนึงกำลังห้อมล้อมผู้ชายที่อยู่ตรงกลางเดินลงบันได
เย่ป๋อมองคุณชายของตัวเองเดินไปที่โต๊ะของติงยียีอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ทิ้งพันธมิตรที่คุยสัญญาสำเร็จไว้ข้างๆ ในที่สุดเขาก็รู้สักทีว่าทำไมคุณชายถึงได้ให้เขาเปลี่ยนสถานที่คุยธุรกิจกะทันหัน ยอมที่จะอ้อมครึ่งค่อนเมืองรอบนึงก็จะจองร้านอาหารร้านนี้
ติงยียีกำลังก้มหน้ากินสเต็กอยู่ ในใจคิดอยู่ว่าโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเมืองเจียงตงคือโรงพยาบาลอะไร มีเสียงรองเท้าหนังกระทบกระแทกกับพื้นกระเบื้องดังมาจากไกลๆและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ไม่นาน รองเท้าหนังสีดำคู่นึงได้หยุดลงมาที่ตรงหน้าเธอ เธอเงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัย พอเห็นเย่เนี่ยนโม่แล้วตกใจจนมือสั่น ส้อมได้ตกใส่กางเกงสูทของเขาโดยตรง กางเกงสูทสีดำได้เปื้อนคราบสีดำทันที
เย่ชูหวินมองดูอยู่ข้างๆอย่างเกิดความสนใจ และได้มองข้ามสายตาขอความช่วยเหลือของติงยียี
แววตาเย่เนี่ยนโม่เศร้าหมอง เขากำลังอยากจะพูดอะไร จู่ๆมือถือได้ดังขั้น หลังจากเขาส่งสัญญาณให้ทั้งสองแล้วได้รับสายมือถือ
“เนี่ยนโม่”ผู้หญิงที่พูดจาแอ๊บเสียงในสายทำให้ร่างกายของติงยียีสั่น เย่เนี่ยนโม่เหลือบมองเธอแว๊บนึง จากนั้นได้พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม“มีธุระอะไร”
“ฉันล้มอ่ะค่ะ ก้าวพลาดตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำไม่ระวัง ตอนนี้ฉันกลัวจังเลยค่ะ รบกวนคุณมาเที่ยวนึงได้มั้ยคะ ต้องขอโทษจริงๆค่ะที่รบกวนคุณในเวลานี้”
เย่เนี่ยนโม่คิ้วผูกโบว์ไว้ เขาตอบแค่“อืม”คำเดียว
วางสายทิ้ง เย่ชูหวินที่อยู่ข้างๆลุกขึ้น เขาเดินไปใกล้เย่เนี่ยนโม่ สูงส่วนที่ใกล้เคียงกับเขาแฝงด้วยความดุร้ายเสี้ยวนึง
“นายลืมไปแล้วเหรอว่าฉันคุยอะไรกับนายไว้?”เย่ชูหวิน
เย่เนี่ยนโม่หน้าบึ้งตึงไว้ หักห้ามใจไว้ไม่ชกไปที่จมูกของเขาหมัดนึง
เย่เนี่ยนโม่ก้มหน้ามองติงยียีแว๊บนึงแล้วถอนหายใจ“อ้าวเสว่ล้ม ผมไปดูหน่อย”
ติงยียีเงยหน้าขึ้นมาด้วยเบ้าตาแดงก่ำทันที “คุณต้องไปให้ได้ใช่มั้ย?”
มือถือของเย่เนี่ยนโม่ดังขึ้นอีกครั้ง เขาไม่ได้รับสาย ปล่อยให้มือถือจากดังไปสู่เบา เขาแค่มองติงยียีไว้ด้วยสีหน้าแววตาที่อ่อนโยน
“ช่างเถอะ คุณไปเถอะ”ติงยียีนั่งกลับมาที่นั่งอย่างเซื่องซึมพร้อมหันไปอีกทางไม่มองเขาอีก
เย่เนี่ยนโม่มองเธออย่างลึกซึ้งแว๊บนึง กำลังอยากจะหันไป แต่ได้ถูกเย่ชูหวินเรียกตัวไว้“ฉันบอกแล้วว่าฉันยังชอบติงยียีมาก วันนี้ถ้านายเดินออกไปจากตรงนี้ ฉันจะจีบเธอใหม่อีกครั้ง”
ฝีเท้าของเย่เนี่ยนโม่หยุดชะงักไปครู่นึง จากนั้นได้เดินออกไปอย่างไว เย่ป๋อมองทั้งสองด้วยแววตาที่ซับซ้อนแว๊บนึง จากนั้นได้พยักหน้าแล้วเดินตามคุณชายไปอย่างเร่งรีบ
“ผู้หญิงคนนั้นคือใคร?”เย่ชูหวินเข้าใกล้เธอ สีหน้าแดงก่ำเล็กน้อยเนื่องจากโกรธ
ติงยียีเงียบไปพักนึง ไม่ตอบแต่ได้ย้อนถาม“รู้มั้ยคะว่าทำไมฉันถึงไม่ห้ามเขา?”เธอรอเงียบๆไปพักนึง ไม่ได้คำตอบ เธอยิ้มแล้วกระดกเหล้าในแก้วจนหมด
เพิ่งวางแก้วลง หลังมือของเธอก็ถูกกดไว้ เย่ชูหวินกดแขนของเธอไว้ น้ำเสียงแฝงด้วยความสงสาร แต่ก็ยังเรียบเฉยเหมือนที่ผ่านมาอีกเช่นเคย“อาศัยดื่มเหล้าคลายทุกข์เป็นวิธีที่โง่ที่สุด”
ติงยียีพยักหน้าให้กับเขา ขัดขืนมือที่เขาปกคลุมอยู่ที่หลังมือตัวเองออกและพูดพึมพำ:“ฉันก็แค่อยากลองดูว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้สุดท้ายจะพัฒนาไปทางไหน ฉันไม่อยากผูกมัดเขา ฉันแค่อยากดูความคิดที่แท้จริงเขาให้กระจ่าง แต่ทำไมมันถึงได้ยากขนาดนี้นะ?”
เธอก้มหน้าพึมพำไว้ เอาศีรษะค้ำอยู่ที่ขอบโต๊ะ เย่ชูหวินมองเธอจากที่สูงลงมาที่ต่ำสักพักใหญ่ๆถึงพูด“ไปกันเถอะ”
ขากลับไม่มีใครพูดจา ติงยียีหันไปมองวิวนอกหน้าต่างไว้อย่างดื้อรั้น ไม่ให้เบ้าตาแดงก่ำของตัวเองนำมาซึ่งความเห็นใจใดๆอีก
รถยนต์ได้ค่อยๆดับเครื่องลงที่หน้าชุมชน ติงยียีมีความละอายใจที่ยากจะอำพราง จะเลี้ยงเย่ชูหวินทานข้าวแท้ๆสุดท้ายกลับถูกตัวเองทำพังซะงั้น
เธออยากเปลี่ยนบรรยากาศของที่เกิดเหตุอย่างเร่งด่วน จึงได้เปิดปากพูดด้วยรอยยิ้ม:“เมื่อกี๊หน้าตาคุณเหมือนเด็กนักเรียนที่หาเพื่อนตายมาช่วยชกต่อยเพื่อเพิ่มความน่ายำเกรงเลยค่ะ ฉันซึ้งมาก ขอบคุณค่ะ!”
เธอหัวเราะเสียงดัง คิดไม่ถึงว่าจู่ๆเย่ชูหวินจะหันมาจ้องตัวเอง
เย่ชูหวินสะกดอารมณ์ของตัวเองไว้ตลอด แต่กลับระเบิดอารมณ์ออกมาขณะที่อีกฝ่ายมีสีหน้าที่ยิ้มแล้วดูแย่กว่าร้องไห้
จู่ๆเขาได้ชกไปที่พวงมาลัย พวงมาลัยส่งเสียงแสบแก้วหูออกมา เสียงร้องแหลมปรี๊ดของแมวได้ดังมาจากโพรงหญ้า จากนั้นคือร่างเงานึงที่เดินผ่านไฟหน้ารถ
สักพักใหญ่ๆ เย่ชูหวินถึงพูดว่า:“ผมไม่ได้ล้อเล่น”
“อะไรนะ?”ติงยียีถามอย่างระมัดระวัง
เย่ชูหวินหันมามองเธอ“ผมเคยบอกรักคุณเมื่อนานมาแล้ว”
คำพูดของเขาทำให้หน้าของติงยียีร้อนผ่าว ตอนแรกเธอก็เคยมีใจให้เขาเหมือนกัน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสิ่งต่างๆบนโลกใบนี้ล้วนคาดเดาได้ยาก
เย่ชูหวินหายใจลึกๆ ควบคุมความสั่นสะเทือนที่ไม่มีวินัยของทรวงอกไว้ เขาซอฟน้ำเสียงลง“ผมไม่ได้พูดเล่น ในเมื่อเขาตัดสินใจไม่ได้ ไม่สามารถให้ความสุขคุณได้ งั้นผมจะสร้างโลกใบนึงให้คุณเอง”
คำบอกรักที่มาอย่างกะทันหันทำให้ติงยียีอึ้งค้าง จนกระทั่งผมม้าตรงหน้าผากถูกปัดไปข้างๆละตามมาด้วยจูบที่เปียกชึ้น
“ปัง!”เธอเปิดประตูอย่างลนลาน แล้วปิดประตูอย่างแรง บนกระจกรถมีสีหน้าที่ค่อนข้างตกใจจนทำอะไรไม่ถูกของเธอสะท้อนอยู่
ตามด้วยเสียงปิดประตูดัง“ปัง!” เธอมองเย่ชูหวินที่ลงจากรถอย่างระมัดระวัง ตั้งแต่รู้ใจเย่เนี่ยนโม่ เธอรู้ว่าตัวเองยากที่จะชอบคนอื่นที่นอกเหนือจากเขา แต่ว่าคำพูดแบบนี้จะพูดกับเย่ชูหวินยังไง
เย่ชูหวินยืนห่างจากเธอหลายก้าว“ขึ้นไปเถอะ ผมดูคุณอยู่ที่นี่”
ติงยียีพยักหน้าเงียบๆ ภายใต้การมองเห็นของเขาเธอได้เดินไปที่บันไดทีละก้าว เย่ชูหวินมองดูร่างเงาของเธอสูญหายไปจากหัวบันได นี่ถึงได้หันหลังจากไป ทุกก้าวที่เดิน ในใจของเขาก็จะเจ็บจี๊ดขึ้นมาหนึ่งครั้ง เพื่อเธอ และเพื่อความรักของเธอ
ตอนที่ไฟของรถค่อยๆหายไป ติงยียีเดินออกมาจากหัวบันได เธอหายใจลึกๆทีนึง เธอไม่อยากกลับบ้าน แค่อยากทำสมองตัวเองให้โล่ง
เธอเดินตามพื้นที่สีเขียวของชุมชนไปอย่างช้าๆ หิมะของสองข้างทางได้ถูกกองอยู่ทั้งสองข้าง เด็กที่ดื้อถึงขั้นยังได้กองเป็นก้อนหิมะ ใช้แครอทกับลูกแก้วทำเป็นจมูกและตาของรูปปั้นหิมะ
เธอเดินไปไม่กี่ก้าว จู่ๆรู้สึกผิดสังเกต ไม่ว่าตัวเองจะเดินยังไง เหมือนด้านหลังมักจะมีเสียงจังหวะที่ไม่ราบเรียบเสมอกันก้องมาอยู่เรื่อยเลย นั่นก็หมายความว่ามีคนๆนึงสะกดรอยตามตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เธอเดินอย่างไวไปหลายก้าว รู้สึกฝีเท้าของข้างหลังค่อนข้างยุ่งเหยิงขึ้นมา ทันใดนั้นเธอได้หันไปทันที แต่ไม่มีอะไรเลย
ชุมชนเงียบสงบ ไหนๆก็ไหนๆแล้วเธอก็เลยวิ่งสุดชีวิตซะเลย วิ่งไปไม่กี่ก้าว ของในกระเป๋าได้ตกหล่น เธอก้มลงไปเก็บเสร็จก็ได้วิ่งไปทางบันไดของบ้านตัวเอง
เพิ่งเข้าห้อง ติงต้าเฉินได้มองเธออย่างแปลกใจ“ยียี ลูกเป็นอะไร?”
ติงยียีหายใจหอบ รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ เธอส่ายหัวแล้วเดินมาดูที่ริมหน้าต่าง ชุมชนมืดสนิทไม่มีแม้แต่เงาคน
ติงต้าเฉินดูของในมือเธออย่างแปลกใจพร้อมพูด:“ผ้าพันคอผืนนี้สวยจัง รู้สึกเหมือนแม่ของลูกก็มีอยู่ผืนนึงนะ”