สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1555 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1395
เย่ชูหวินเองก็ตื่นเต้น “ถูกต้อง! สามารถวางชิงช้าไว้สองอัน เพิ่มอุปกรณ์ออกกำลังกายเข้าไปอีกนิดหน่อยก็สบายแล้ว”
ทั้งสองคนปรึกษาพูดคุยกันไปมา เย่ชูหวินพลิกเปิดต่อไป ชี้ไปที่อาคารสูงตระหง่านหลังหนึ่ง “ที่นี่คือมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย อเมริกาที่มหาวิทยาลัยดีๆมากมาย คุณสามารถไปเรียนการออกแบบเครื่องประดับที่คุณชอบได้ ที่นั่นเปิดกว้างเรื่องการศึกษา ขอเพียงคุณอยากเรียน หาคนที่สนับสนุนคุณได้”
เขาเปิดหน้าหนังสือต่อไป ชี้ไปที่อีกภาพ “นี่คือ walk of fame คนดังของจีนชอบประทับรอยฝ่ามือของตนเองแขวนขึ้นมาสูงๆ ส่วนคนอเมริกันชอบให้คนอื่นมาเหยียบย่ำ”
“อันหรันเองก็ไปฮอลลีวู้ดแล้ว” ติงยียีมองภาพพลางเอ่ยออกมา
“อันหรันเหรอ” เย่ชูหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย ชื่อของคนคนนี้เขารู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง ติงยียีกระโดดลงจากเก้าอี้ วิ่งไปที่โซนภาพยนตร์ ไม่นานก็หยิบแผ่นดีวีดีกลับมาด้วยหนึ่งแผ่น เธอชี้ไปที่ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่อยู่บนดีวีดี “นี่ก็คืออันหรัน เพื่อนของฉัน!”
“เจ้าชายแห่งวงการบันเทิงอันหรันคือเพื่อนคุณเหรอ” เย่ชูหวินสูดลมหายใจ เขานึกขึ้นได้แล้วว่าเคยได้ยินชื่อผู้ชายคนนี้ที่ในโรงภาพยนตร์ ดังมากจริงๆ
ติงยียียิ้ม สำหรับฉันแล้ว เขาเป็นแค่เพื่อนเท่านั้นโชคดีที่คนไปที่ลอสแองเจลิสแล้ว เย่ชูหวินคิด จึงไม่ถามอะไรต่อ เรียกเธอมาข้างๆต่อ เล่าเรื่องลอสแองเจลิสในหนังสือให้เธอฟังอย่างละเอียด
ดวงอาทิตย์ในฤดูหนาวมักจะไม่ยอมอยู่ต่อนานอีกหน่อย แสงอาทิตย์สีส้มที่แฝงความหนาวเย็นสาดส่องทะลุกระจกเข้ามาในร้านหนังสือ
โต๊ะริมหน้าต่างที่ปูด้วยผ้าปูโต๊ะสไตล์อังกฤษ บนผ้าปูโต๊ะมีกาแฟวางอยู่สองแก้ว คราบน้ำของถ้วยกาแฟส่องประกายท่ามกลางแสงแดดสุดท้าย
มูสเค้กข้างกาแฟถูกตักไปหนึ่งชิ้น มันมีกลิ่นหอมและหวานเลี่ยน พระอาทิตย์อัสดงค่อยๆเคลื่อนที่ เย่ชูหวินปิดหนังสือ สายตาของเขาสุขุม อบอุ่นกว่าดวงอาทิตย์ในฤดูหนาวเล็กน้อย เขาพูดว่า “คุณคิดว่าลอสแองเจลิสดีมั้ย”
ติงยียีพยักหน้าแรงๆ “ช่างสวยมากเหลือเกินจริงๆ”
มุมปากเย่ชูหวินยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เธอเอาหนังสือวางไว้ในอ้อมอก น้ำเสียงแฝงด้วยความตื่นเต้น “ในเมื่อคุณคิดว่าอเมริกาดีมาก อย่างนั้นคุณเต็มใจไปพร้อมกับผมมั้ย”
หนังสือที่อยู่ในอ้อมอกติงยียีร่วงหล่นบนพื้น ทำให้แมวพันธุ์บริติช ช็อตแฮร์ตัวหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่บนขอบหน้าต่างตกใจตื่น มันร้องด้วยความง่วงอย่างไม่พอใจไปทางพวกเขาสองคน ติงยียีตั้งสติกลับมาได้ทันที “ขอโทษนะคะ”
เธอรีบก้มตัวไปเก็บหนังสือ อีกสองมือเร็วยิ่งกว่าเธอ เขาจับเธอไว้ เย่ชูหวินจับมือเธอไว้ จนกระทั่งเธอค่อยๆดึงออกมา
เขาเก็บหนังสือบนพื้นขึ้นมา เอามันวางไว้บนโต๊ะเสียงเขาแหบพร่าแฝงด้วยความเจ็บปวด “ก็ยังไม่เต็มใจเหรอ”
ติงยียีมองไปด้านนอกหน้าต่าง ตระหนักได้ว่าพระอาทิตย์ตกดินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นอกหน้าต่างมืดสนิทไฟที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามสว่างขึ้น วัยรุ่นผิวขาวนวลคนหนึ่งผลักประตูกระจกเปิด
“ขอโทษค่ะ ฉันในตอนนี้อาจจะไม่เหมาะกับชีวิตแบบนั้น” ติงยียีละสายตากลับมา แต่ละคำที่พูด ลำคอเธอสั่นสะท้าน แต่เธอก็ยังกัดฟันพูดออกมา เธอไม่อยากให้ความหวังลมๆแล้งๆกับเขา
เย่ชูหวินพยักหน้า รีบพูดว่า “ถ้าผมกระตือรือร้นหน่อยตั้งแต่แรกก็คงดี”
“หมายความว่าอะไร” เธองุนงงกับคำพูดที่แปลกประหลาดของเขาเล็กน้อย
เย่ชูหวินหัวเราะ เขาหยิบหนังสือขึ้นเดินไปทางแคชเชียร์ เดินไปสองสามก้าว เห็นว่าติงยียียังยืนมองเขาอย่างงงๆอยู่ที่เดิม เขาก็ถอนหายใจเดินกลับมา
จูงมือของเธอ เขาเหลือบมองเค้กบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว พูดอย่างเหลืออดว่า “ตลอดทั้งบ่ายนี้กินแค่เค้กชิ้นเดียว คุณไม่หิวเหรอ! ผมยังหิวแล้วเลย!”
ติงยียีถูกเขาแกล้งแหย่ อารมณ์เศร้าใจเมื่อครู่ก็จางสลายหายไปแล้ว แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็นว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเย่ชูหวินไม่ได้ออกมาจากนัยน์ตา
ยามค่ำคืน ประตูของคอนโดมิเนียมเงียบมาก ภายในรถ ติงยียีปลดเข็มขัดนิรภัย ถามอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย “อาหารวันนี้คุณไม่ชอบทานเหรอ ฉันเห็นคุณแทบจะไม่ได้กินเลยเท่าไหร่เลย”
เย่ชูหวินยิ้ม ยื่นมือมาลูบผมเธอ “อย่าคิดมาก”
“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ!” ติงยียีกุมศีรษะตนเองไว้ ลงจากรถปิดประตูแรงๆแล้วก็เดินไปทางคอนโด เดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงกุกกักด้านหลัง เธออดไม่ได้ที่จะหันกลับไป
เย่ชูหวินยืนอยู่ข้างรถ เห็นเธอหันมาก็ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน สองมือยังทำท่าทางเหมือนคุยโทรศัพท์
ติงยียีพยักหน้า หมุนตัววิ่งไปทางคอนโด เดินไปไม่นาน เสียงฝีเท้าที่เหมือนเงาตามมาด้านหลัง ราวกับว่ามีเสียงลมหายใจด้วย
เธอเร่งฝีเท้า ในใจคิดว่าขอแค่เดินไปถึงหน้าบ้านตนเองก็จะปลอดภัยแล้ว แสงไฟสลัวข้างทางไม่เพียงไม่สามารถทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยได้ ในทางกลับกันยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้กับบริเวณรอบๆด้วย
ไม่ไกลนัก แสงไฟสีเหลืองนวลสาดส่องมา ส่องถนนด้านหน้าสว่างมาก ติงยียีวิ่งเหยาะๆไปสองสามก้าว สายรัดของรองเท้าส้นสูงรัดจนเธอเจ็บหลังเท้า เธอถอดรองเท้าออกวิ่งพุ่งเข้าหาอ้อมกอดข้างหน้า
ที่ชั้นล่างของบ้านเธอ เย่เนี่ยนโม่ยังคงรออยู่ที่นั่น มองเห็นท่าทางตื่นตระหนกตกใจของเธอก็ขมวดคิ้ว คำพูดที่เธอเคยบอกผุดขึ้นมาในหัวของเขา เขามองไปทางด้านหลังเธอ “มีคนตามคุณมาเหรอ”
ติงยียีกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พยักหน้า คิ้วของเย่เนี่ยนโม่ขมวดแน่นยิ่งขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ไม่นานชายชุดดำสองคนก็วิ่งออกมาจากด้านข้างของคอนโด
“คุณชายเย่ ช่วงนี้ไม่เห็นใครน่าสงสัยเลยครับ” ชายชุดดำคนหนึ่งก้มหน้าไม่กล้ามองคุณชายเย่ในเมื่อผู้หญิงของคุณชายเย่บอกว่ามีคนสะกดรอยตามเธอ เช่นนั้นคุณชายเย่ก็ต้องให้พวกเขาเอาตัวคนพวกนั้นออกมาให้ได้ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ผู้หญิงของคุณชายเย่แกล้งแสดงออกมาก็ตาม
“พวกเขาอยู่แถวนี้ตลอด” เย่เนี่ยนโม่ดึงติงยียีมาปลอบ
ติงยียีถามด้วยริมฝีปากที่สั่น “ไม่มีใครตามฉันมาจริงๆเหรอ” หนึ่งในชายชุดดำมองเธอ ส่ายหน้า
อารมณ์ความรู้สึกติงยียีสับสนวุ่นวายอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีใครสะกดรอยตามตนเอง แล้วภาพถ่ายที่หน้าประตูลิฟต์ตอนนั้นคืออะไร เย่เนี่ยนโม่ตบหลังเธอเบาๆ “ไปนั่งที่ร้านกาแฟข้างนอกสักหน่อยมั้ย”
ภายในร้านกาแฟ กลิ่นหอมของกาแฟที่เข้มข้นทำให้อารมณ์ของคนเราสงบลง ติงยียีกุมแก้วกาแฟในมือพูดอย่างมั่นใจว่า “ฉันลองคิดดูแล้ว ฉันคิดว่ามีคนสะกดรอยตามฉันอยู่”
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า “ผมจะให้คนไปสืบอีก”
ติงยียีจ้องมองเขา “คุณไม่เชื่อฉันใช่มั้ย!”
มือคู่หนึ่งจับเธอไว้ เย่เนี่ยนโม่กระชับให้แน่นขึ้น “ช่วงนี้งานคุณค่อนข้างกดดันหรือเปล่า วันหลังผมจะไปเที่ยวต่างประเทศเป็นเพื่อนคุณ”
ติงยียีสะบัดมือเขาออก แต่กลับไม่สำเร็จ เธอพูดอย่างคับข้องใจ “คุณพาอ้าวเสว่ไปเที่ยวพักผ่อนที่ต่างประเทศเถอะ”
“ยียี” เสียงเย่เนี่ยนโม่ค่อยๆขรึมลง เธออดที่จะขอบตาแดงไม่ได้ “คุณไปเถอะ ฉันอยากอยู่เงียบๆ”
เย่เนี่ยนโม่มองเธอ ถามด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “ผมมีความรับผิดชอบต่อเธอ แต่คนที่ผมรักคือคุณ นี่ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
เธอก้มหน้า สูดกลิ่นหอมของกาแฟเข้าไปอย่างแรง ตอนเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็มีรอยยิ้มที่ไม่จริงมาด้วย “คุณพูดถูก คนที่คุณรักคือฉันก็พอแล้ว ดึกมากแล้ว คุณกลับไปก่อนเถอะ”
เย่เนี่ยนโม่สีหน้าเย็นเยือกลง ทั้งสองคนฝืนไว้ไม่ไหว ติงยียีเบือนหน้าหนีฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
เสื้อเชิ้ตตรงข้ามขยับเบาๆ เย่เนี่ยนโม่หยิบกระเป๋าเงินออกมาเอาธนบัตรสีแดงสองใบวางไว้ เขามองเธออย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง พูดเสียงขรึมว่า “อย่ากลับบ้านดึกนะ”
เสียงกริ่งประตูดังอยู่ครู่หนึ่ง เสียงสตาร์ทรถยนต์ดังขึ้นในค่ำคืนที่เงียบสงัด ลำแสงสาดส่องผ่านความมืด จากนั้นก็หายไป
ติงยียีก้มหน้า น้ำตาคลออยู่ในเบ้าตา สุดท้ายก็ไหลออกมา หยาดน้ำตาเม็ดใหญ่หยดลงบนเสื้อคลุมขนนุ่มสีเบจ จากนั้นก็ค่อยๆหายไป
เธอเดินออกมา ลมหนาวพัดจนเธอหนาวสั่น คนที่เดินบนถนนเดินอย่างรีบร้อน ใบหน้าล้วนมีความเหนื่อยล้า เธอเดินเพียงลำพัง เดินอย่างช้ามากๆ
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น เธอเช็ดน้ำตาให้แห้งวิ่งไปที่ซอยเล็กๆข้างๆอย่างรวดเร็ว มีร่างหนึ่งวิ่งตามไป
ภายในซอยเล็กๆว่างเปล่า แม้แต่แสงไฟก็ไม่มี ร่างนั้นหยุดชะงัก บ่นพึมพำ เธอหมุนตัวไป ติงยียีมองเธออยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ
ขอบตาเธอยังแดงอยู่ สายตากลับสงบนิ่ง “รู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงได้แน่ใจขนาดนั้นว่ามีคนตามไม่ใช่เพราะฉันวิตกจริตไปเอง” เธอพูดพลางมองร่างที่ซ่อนตัวในความมืด
ร่างนั้นถอยหลังไปสองก้าว ซ่อนให้ลึกยิ่งขึ้น ติงยียีเดินเข้าใกล้อีกก้าว พูดต่อไปว่า “เมื่อกี้ในร้านกาแฟ กระจกเป็นกระจกสะท้อน”
ร่างในเงามืดคิดจะหนี ติงยียีพูดเบาๆว่า “คุณป้าคะ โม่ซวนหลินตายแล้ว แม้ว่าฉันจะไม่เสียใจ แต่ว่าฉันเสียดายมาก และคุณป้าก็คิดแค่ว่าจะเอาความจริงเรื่องการตายของเธอมาลงที่ฉัน ฉันคิดว่าแผนที่คุณวางไว้คิดผิดเสียแล้ว”
ท่ามกลางความมืด โม่เสี่ยวหนงไม่ถอยหนีอีกแล้ว เธอเดินออกมาจ้องมองเธออย่างเกลียดชัง “ฉันไม่ผิด ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ซวนหลินก็อาจจะได้อยู่กับคนตระกูลเย่คนนั้น เธอก็จะไม่เครียดมากขนาดนั้น จนสุดท้ายนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น”
ติงยียีตกใจในการหาเรื่องโดยไร้เหตุผลของเธอ โม่เสี่ยวหนงก้าวมาข้างงหน้าสองสามก้าว จ้องมองเธอ “ฉันว่าเธอเอาเงินแล้วหายตัวไปซะจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นฉันจะแฉเรื่องที่เธอทำให้ซวนหลินตายออกมา แบบนี้อนาคตเธอก็จะดับวูบลงทันที”
“คุณจะลองดูก็ได้” มีเสียงเบาๆดังมาจากด้านหลังพวกเธอสองคน เย่เนี่ยนโม่ยืนอยู่ที่ปากซอย มองโม่เสี่ยวหนงด้วยสายตาดุร้าย เยป๋อยืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา
“คุณไม่ได้ไปแล้วเหรอ” ติงยียีและโม่เสี่ยวหนงพูดด้วยความแปลกใจ เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว เดินมาตรงหน้าติงยียี มือข้างหนึ่งโอบเอวเธอไว้ มองโม่เสี่ยวหนงด้วยสีหน้าที่ไร้ความเมตตาปรานี
“เห็นแก่ที่คุณรู้จักกับแม่ของผมครั้งนี้ผมจะไม่เอาเรื่อง แต่ผมหวังว่าคุณจะหยุดลงแค่นี้” เย่เนี่ยนโม่พูดเบาๆ
ท่าทีของเขาทำให้โม่เสี่ยวหนงโกรธ “ฉันเป็นน้องสาวของแม่คุณนะ!”
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว โบกมือไปที่ด้านหลังเล็กน้อย เย่ป๋อเปิดโทรศัพท์มือถือ พอโม่ซวนหลินเห็นก็พูดอย่างระแวงระวังว่า “พวกคุณจะทำอะไร”
“ผมเห็นแก่ที่คุณเป็นน้องสาวของคุณแม่ผมจะหาทนายดีๆมาให้คุณสักคน” เย่เนี่ยนโม่โอบเอวติงยียีแล้วเดินไปข้างนอก
“เดี๋ยวก่อน!ฉันจะไปเดี๋ยวนี้! ” โม่เสี่ยวหนงรีบพูดขึ้น วิ่งผ่านพวกเขาสองคนไปอย่างรวดเร็ว เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตามเธอไป”