สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1556 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1396
เย่ป๋อพยักหน้าและพาคนออกไป ดวงตาของเย่เนี่ยนโม่ที่อยู่ภายในความมืดนั้นยากที่จะคาดเดาได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นน้องสาวของแม่ เขาเองก็อยากจะสั่งสอนบทเรียนเล็กๆน้อยๆให้กับเธอสักหน่อย ทำให้เธอรู้ว่าเรื่องอะไรที่ควรทำ
ชั้นล่างของชุมชน ติงยียีขยับเขยื้อน อุณหภูมิของมือทั้งสองที่โอบเอวเธออยู่นั้นร้อนเหมือนอยู่ในฤดูร้อน สามารถทะลุผ่านเสื้อผ้าหนาๆจนเข้ามาลวกตัวเธอได้
เย่เนี่ยนโม่ปล่อยมือ ดันด้วยฝ่ามือที่โอบอยู่ “ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”
เธอเดินไปไม่กี่ก้าว ในใจนั้นรู้สึกเสียใจขึ้นมา เสียใจที่คืนนี้อยู่ดีๆก็โมโหเขาขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เธอเดินเข้าไปด้านในอีกหลายก้าว ก็หันกลับมาพูดอย่างกะทันหัน: “อยากจะขึ้นไปดื่มกาแฟหรือเปล่า?”
เย่เนี่ยนโม่เลิกคิ้วมองเธอ ขมวดคิ้วขึ้นมา ในใจของเธอตื่นตระหนก สีหน้าก็ร้อนแผดเผาขึ้นมา เธอรีบร้อนพูด“ไม่ว่างก็ช่างเถอะ ฉันไปละ”
เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว แขนของเธอก็ถูกคว้าเอาไว้ เย่เนี่ยนโม่สีหน้าเคร่งขรึม “รอผมสักครู่”
เธอมองเขาอย่างแปลกใจขณะที่เขาเดินไปที่ทางสวนดอกไม้พูดโทรศัพท์อยู่หลายประโยค หลังจากวางโทรศัพท์แล้วจึงเดินกลับมา สีหน้าดูค่อนข้างประหม่า ยังจัดแจงคอเสื้อและแขนเสื้ออยู่หลายครั้ง
หลังจากผ่านไปสิบนาที รถยนต์หนึ่งคันขับพุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูง เย่ป๋อลงจากรถ ส่งกล่องของขวัญกล่องหนึ่งมาให้อย่างเคารพนบนอบ
เย่เนี่ยนโม่รับมาด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรเหมือนเป็นศัตรู คว้ามือของเธอพาตรงไปที่ลิฟต์“ไปได้แล้ว”
ตรงออกมาจากประตูลิฟต์ ติงยียีก็พอจะมองออกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาตื่นเต้น เธอกลั้นยิ้มเอาไว้ “พ่อของฉันช่วงนี้กลับบ้านคุณป้าไปแล้วละ”
แรงที่จับมือของเธอไว้นั้นก็คลายเบาลงทันที ตัวของเย่เนี่ยนโม่หยุดชะงัก กลับมาสงบเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว และพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง
ภายในห้องรับแขก ติงยียีจ้องมองแก้วน้ำร้อนสะอาดทั้งสองใบที่อยู่ตรงหน้าทั้งสองคน “ขอโทษด้วย ฉันลืมไปว่าพ่อของฉันไม่ดื่มกาแฟ”
แพนด้าที่นอนอยู่บนพรม ยกหัวขึ้นมาจ้องมองทั้งสองคน จากนั้นจึงนอนปิดตาพักผ่อนต่อ
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้า มองท่าทางประหม่าของเธอแล้ว จิบน้ำด้วยความขบขัน ไม่มีการพูดจาอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ติงยียีมองนาฬิกาด้วยความเกรงใจ พูดติดขัด: “นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณกลับไปเถอะ”
แพนด้าที่นอนอยู่แต่เดิมก็ลุกขึ้นมา เอาหัวสุนัขด้านข้างปิดซ่อนขากางเกงของเย่เนี่ยนโม่ เขาก้มหัวลงมา แววตาเผยให้เห็นสายตาที่ชื่นชม
“คุณกลัวอะไร?” เย่เนี่ยนโม่เลิกคิ้ว บ้านเดียวกันก็เคยอยู่มาแล้ว เธอยังจะมาตื่นเต้นกังวลอะไรอีก
“ฉันไม่ได้กลัว!” ติงยียีเปิดประตูโดยใช้ขาและมือพร้อมกัน เบิกตาโตมองเธอ เย่เนี่ยนโม่ถอนหายใจ เดินไปหาตัวเธอและลูกหัวของเธอ “นอนเถอะ ไม่ต้องคิดมาก”
มือของเขานั้นอบอุ่นอย่างมาก น้ำเสียงเอาอกเอาใจ ติงยียีรีบพยักหน้าและดันเขาออกนอกประตู ผ่านไปสักพักใหญ่ ประตูก็ถูกเคาะอีกครั้ง เย่เนี่ยนโม่อยู่ที่นอกประตูพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลิฟต์พังแล้ว”
ติงยียีวิ่งไปดูที่ประตูก็เห็นว่าพังจริงๆ รู้สึกแปลกใจ ลิฟต์นี้ไม่เคยเสียมาก่อน เย่เนี่ยนโม่ที่อยู่ในชุดสูทและรองเท้าหนังยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองเธอ ดูนาฬิกาไปพร้อมกัน “พรุ่งนี้เช้าฉันยังมีประชุมที่ต้องเข้า”
ติงยียีอยู่ที่ชั้นยี่สิบ เธอเองก็เกรงใจที่จะบอกให้เขาปีนลงไป ทำได้เพียงพูดหน้าแดงก่ำออกไป: “ไม่งั้น ไม่งั้นคืนนี้คุณพักที่บ้านของฉันละกัน”
กลับเข้ามาที่บ้านอีกครั้ง ติงยียีมองเย่เนี่ยนโม่ที่ใส่เสื้อยืดที่พ่อเพิ่งซื้อมาใหม่ รับรองเท้าแตะจัดแจงเสื้อผ้าให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ห้องรับแขก อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เย่เนี่ยนโม่เหล่มองเธอ เธอรีบกลั้นยิ้ม “น้ำยาบ้วนปากรสเปเปอร์มินต์ที่คุณชอบไม่มีแล้ว รสสตรอว์เบอร์รีนี่คุณก็ฝืนใช้ไปก่อนนะ”
เขาตื่นตะลึง ฟังเธอพูดต่อไปด้วยความงุนงง “นมอยู่ไมโครเวฟ คุณอย่าคิดที่จะให้ฉันดื่มเป็นเพื่อนคุณนะ ไม่อย่างนั้นชิวไป๋จะต้องมาด่าฉันตายแน่ๆ เธอบอกว่าช่วงนี้ฉันอ้วนขึ้นมาเยอะมาก”
ติงยียีพูดเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุด จนกระทั่งเกิดแรงกดดันเข้ามาจากเงาดำด้านหน้าอย่างกะทันหัน เย่เนี่ยนโม่กักขังเธอไว้ระหว่างกำแพงและจูบเธออย่างดุเดือดรุนแรง
เธอจ้องมองดวงตาของเขาด้วยความกลัว ขนาดที่ว่าไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้อยู่ดีๆตื่นเต้นขนาดนี้ ขนาดแววตายังมีความดุร้ายอยู่หลายส่วน
แพนด้าที่อยู่ในห้องรับแขกรีบวิ่งเข้าไปในห้องครัวอย่างอัตโนมัติ และยังใช้อุ้งเท้าปิดประตู! ตอนกลางคืน ถึงจะมีบรรยากาศอบอุ่นที่มากพอ ติงยียีก็ยังพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง
คนที่อยู่บนพื้นเสียงหายใจเบาและมั่นคง ราวกับว่าทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงลมหายใจของเขา เธอลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง เอนตัวห่างจากเขาหนึ่งช่วงแขน เธอนอนตะแคงมองดูเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างมาก
ไม่ทันตั้งตัวมือทั้งสองข้างก็คว้าเธอเอาไว้ แขนของเย่เนี่ยนโม่กดไปที่หลังของเธอ ไม่สนใจของการขัดขืนอันอ่อนแรงของเธอ มือของเขาตบเบาๆไปที่ส่วนหลังของเธอสลับกันไปมา “นอนเถอะ”
หัวใจของเธอเต้นรัวเหมือนเสียงรัวของกลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท้ายที่สุดก็หลับไปอย่างงุนงง เขตชุมชนพื้นที่ทรัพย์สิน เย่ป๋อยื่นนามบัตรของตัวเองออกมาอย่างว่าง่ายให้กับผู้ดูแลรักษาความปลอดภัย “ครั้งนี้ความเสียหายที่เกิดจากการปิดใช้งานไฟฟ้านั้นพวกเราจะรับผิดชอบเองทั้งหมด”
ทั้งคืนไม่ฝันอะไรเลย ใจลอยจนกลับมาถึงภายในห้อง เช้าตรู่ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังปิ้ง ชายคนหนึ่งกำลังใช้มีดทำอาหารอย่างคล่องแคล่วหน้าเคาน์เตอร์ทำอาหาร
คิดไปคิดมา ราวกับว่าได้กลิ่นหอมของขนมปังปิ้งปะปนอยู่ในอากาศจริงๆ ติงยียีเลยลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง
แพนด้าที่ปกติตอนเช้าจะมานั่งหมอบอยู่ข้างเตียงรอเธอป้อนอาหารตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงา ประตูที่ยังปิดสนิท ได้ยินเสียงตะหลิวลอยเข้ามารางๆ
เธอตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รีบวิ่งไปหน้าตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อผ้าและกระโดดกลับไปบนเตียง เธอต้องการที่จะใส่เสื้อให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่เย่เนี่ยนโม่จะเข้าประตูมา
เพิ่งที่จะสวมแขนเสื้อได้หนึ่งข้าง ประตูก็ถูกผลักออกเบาๆ เธอตกใจ รีบกลับขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างกะทันหัน ปิดตาแกล้งทำเป็นหลับ
เสียงเท้าที่จงใจเดินเบาๆลอยเข้ามา เธอพยายามอย่างที่สุดให้หายใจอย่างช้าๆ ประสาทสัมผัสการได้กลิ่นและรับรสนั้นว่องไวขึ้นเป็นอย่างมาก เธอรอให้อีกฝ่ายออกไปอย่างเงียบๆ แต่ความรู้สึกเหมือนราวกับว่าเขานั้นยืนอยู่ด้านหน้าของตัวเอง
ทำไมยังไม่ออกไปสักที! แขนของเธอที่ติดอยู่กับแขนเสื้อนั้นอึดอัดอยู่ใต้ผ้าห่ม ขณะที่ใจลอยอยู่นั้นเหมือนกับว่าจะได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ริมฝีปากได้รับสัมผัสเบาอันนุ่มนวล จากนั้นก็เป็นเสียงปิดประตูเบาๆ
นั่งที่โต๊ะอาหาร ติงยียีกินโจ๊กอย่างตะกละตะกลาม แพนด้าหมอบอยู่ข้างกายเธอ หนึ่งคนกับสุนัขอีกหนึ่งตัวกินอย่างมีความสุข
เย่เนี่ยนโม่มองดูความเร็วที่เธอกินโจ๊กที่ร้อนจนลวกปากได้ด้วยความแปลกใจ “นี่คุณไม่ได้ทำอาหารเช้ากินเองมานานแค่ไหนแล้ว”
“ตั้งแต่ที่ย้ายออกมาจากที่ของคุณนั้นก็ไม่เคยทำอีกเลย”ติงยียีเติมอีกหนึ่งถ้วย กินไปอีกหลายคำถึงจะรู้สึกถึงสายตาของอีกฝ่ายเลยเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองนั้นพูดอะไรออกไป
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ คนเกือบจะฝังตัวเข้าไปในชามโจ๊ก อีกฝ่ายก็พูดด้วยเสียงเรียบเฉยออกมา “นั่นคืออะไร?”
เย่เนี่ยนโม่ชี้ไปบนกำแพง ติงยียีหันไปมอง ตอบอย่างซื่อตรง “ปฏิทิน”
เขาหรี่ตามองเธอ จงใจเลื่อนหม้อโจ๊กมาบังไว้ที่ทางตัวเอง ติงยียีรีบร้อนกระโจนเข้ามากอดหม้อเอาไว้ “อย่ามาโหดร้ายแบบนี้ ฉันพูดก็ได้ นั้นเป็นวันที่ฉันจะไปปารีส”
ไปปารีส? เย่เนี่ยนโม่คิดขึ้นมาได้ว่าความจริงแล้วเธอเคยบอกกับตัวเองก่อนหน้านี้แล้ว นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นวันมะรืน วันมะรืน…วันมะรืน…… แผนการหนึ่งก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นในสมองของเขา
เพิ่งลงมากจาลิฟต์ ติงยียีเดินไปด้วยพันผ้าพันคอไปด้วย ทันใดนั้นเองก็ชนเข้ากับด้านหลังของเย่เนี่ยนโม่ เธอถูจมูกด้วยความเจ็บปวดพูดอย่างไม่พอใจ: “ทำไมอยู่ดีๆถึงหยุดละ?”
เย่เนี่ยนโม่เดินไปทางด้านหน้า เย่ชูหวินยืนอยู่ด้านข้างประตูทางเข้าตึก เขายังคงใส่ชุดตัวเมื่อวาน สีหน้าค่อนข้างซีดขาว เขาจับจ้องมาที่ติงยียี สายตาเคลื่อนมาที่พวกเขาสองคน
เขารู้สึกว่าหัวใจของตัวเองนั้นเจ็บปวดจนชาไปหมด เย็นเป็นน้ำแข็งจนชาไปหมด กลับบ้านไปไม่ได้รับข้อความจากเธอ ในใจรู้สึกไม่สบายใจ โทรศัพท์ก็โทรไม่ติด รีบตรงไปรอเธอที่ด้านล่างตึกของเธอ ก็แค่เพียงเพื่อที่จะมั่นใจว่าเธอปลอดภัย
“ชูหวิน คุณมาได้ยังไง!”ติงยียีรีบร้อนพูด
เย่ชูหวินยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่เพราะว่าเมื่อวานพูดไว้แล้วว่าถึงบ้านจะส่งข้อความบอกฉัน ฉันก็เลยเป็นห่วงเลยมาดูสักหน่อย”
ติงยียีละอายใจจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เย่ชูหวินรู้สึกว่ายันตัวเองไว้ไม่อยู่แล้ว ความเชื่อที่ยันกายปะทะลมหนาวตลอดทั้งคืนนั้นไม่ได้ความหมายอะไรเลย
สีหน้าของเขาขาวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ยิ้มมาทางทั้งสองคนอย่างยากลำบาก หมุนตัวกลับก้าวยาวๆเดินจากไป
“คุณไปทำงานก่อนเถอะ”เย่เนี่ยนโม่จูบที่หน้าผากของติงยียี ชิวไป๋ที่อยู่ไกลบีบแตร หลังจากที่ส่งคนขึ้นรถแล้ว เย่เนี่ยนโม่ตรงไปทางที่เย่ชูหวินเดินจากไป
เย่ชูหวินรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเต้น เหมือนกับว่ามีมือกำลังบีบหัวใจของเขาอย่างรุนแรง เลือดไหลกลับไปที่แขนขา
เขาล้วงกระเป๋าด้วยความเคยชิน ออกมาอย่างรีบร้อน จนลืมพกยาใส่มาในกระเป๋า ตรงหน้าของเขาขาวโพลน ทั้งที่ลมนั้นหนาวเย็นขนาดนี้ ร่างกายของเขากลับร้อน เหมือนเลือดถูกทำให้เดือดพล่าน
เขาเดินตรงไปข้างหน้าช้าๆอย่างไม่มีสติ หูเหมือนจะได้ยินเสียงคนเรียกเขา เสียงนั้นทั้งไกลและใกล้ เขาค่อยๆหันกลับไป จากนั้นก็หลบสติไปบนไหล่ของเย่เนี่ยนโม่
บริเวณรอบด้านสามารถกลั้นความเงียบสงบไว้ได้ เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบ เสียงติ๊กต๊อกของเครื่องมือ เย่ชูหวินลืมตาขึ้นมา ดวงตากลมแดงก่ำของเซี่ยชีหรั่นมองมา
“เจ้าเด็กคนนี้นี่ ออกไปเที่ยวเล่นทำไมไม่ใส่ให้มันหนาสักหน่อย ถ้าคุณเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมา ฉันจะไปอธิบายพ่อแม่ของคุณอย่างไร?”
เย่ชูหวินฝืนยิ้มออกมา “ฉันไม่เป็นไร”
เย่เชินหลินผลักประตูเข้ามา “เครื่องบินฉันได้เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว บินตรงไปลงลอส แองเจลิส โรงพยาบาลฉันก็ติดต่อไว้แล้ว” “ไม่! ฉันยังไม่อยากจากไป”เย่ชูหวินพูดออกมาอย่างรีบร้อน จนไอออกมาไม่หยุด
“เหลวไหล!”เย่เชินหลินตะโกนออกมาอย่างโมโห เขาใช้สีหน้ากับบอดี้การ์ด พอถึงเวลานั้นให้บอดี้การ์ดนั้นบังคับพาคนไปขึ้นเครื่องบินให้ได้
“ฉันจะไม่ไป”เย่ชูหวินปิดตาใช้ความเงียบในการต่อต้าน เย่เชินหลินมองเขาอย่างเงียบขรึม คำรามอย่างเย็นชาแล้วก้าวเท้ายาวเดินออกไป เซี่ยชีหรั่นตบหลังมือของเขาแล้วรีบร้อนตามไป
ภายในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เย่ชูหวินลืมตาขึ้นมามองเพดาน พูดอย่างแผ่วเบา: “ฉันเคยถามเธอว่ายินดีที่จะไปอเมริกากับฉันหรือเปล่า”
เย่เนี่ยนโม่ที่ยืนอยู่ที่ประตูฟังอย่างเงียบๆ ในใจคิดว่าเป็นคำพูดของหมอ เสียงของเขาค่อนข้างแหบแห้ง “กลับไปลอส แองเจลิสเถอะ อย่างน้อยก็มีโอกาสที่จะได้เจอเธอมากกว่า”
เย่ชูหวินส่ายศีรษะเบาๆ พูดต่อไป: “ฉันถามเธอว่ายินดีที่จะไปอเมริกาหรือเปล่า เธอปฏิเสธฉัน ในใจของเธอมีแค่คุณเท่านั้น แต่ว่าฉันยอมรับไม่ได้ ทั้งๆที่คนที่เจอเขาก่อนคือฉัน!”