สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1561 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่1401
เขาหันศีรษะกลับมาอย่างสงสัย ผู้ชายคนหนึ่งที่น่าจะสูงกว่าเขายืนอยู่ด้านหลัง ผู้ชายที่เซตผมเสยปาดเรียบเนี้ยบ ร่างกายบึกบึนแข็งแกร่ง สายตาของเขามองเหมือนว่าอยากจะกินเลือดกินเนื้อเขา
“แกเป็นใครอีกเนี่ย!” เอเลนโมโหจนพูดภาษาจีนกับภาษาฝรั่งเศสปนสลับกันไปมาอย่างต่อเนื่อง เห็นแค่ผู้ชายออกแรงเพียงเล็กน้อย ตามมาด้วยเสียงดังกึกก้อง มืออีกข้างของเอเลนก็อ่อนปวกเปียกห้อยลงมา
“คุณทำอะไรนะ!”ชิวไป๋ขมวดคิ้ว เธอเข้าไปพยุงเอเลนอย่างรีบร้อน “คุณไม่เป็นไรนะ!”
เย่ป๋อมองท่าทางและใบหน้าที่วิตกกังวลของเธอ ความกังวลในจิตใจทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นความกลัวและความโกรธ นี่เป็นการหลงรักคนเป็นครั้งแรกของเขา เลยทำได้แค่มองคนจากเปลือกนอกเท่านั้น และเวลานี้ในสายตาของเขา ความสนใจของชิวไป๋ทั้งหมดนั้นอยู่ที่บนตัวของชายต่างชาติคนนั้น
เขาเดินไปด้านหน้าจับกุมแขนของชิวไป๋ ดึงอีกฝ่ายมาอยู่ข้างกายอย่างไม่ต้องสงสัย ชิวไป๋เหวี่ยงมือของเขาออก “นี่คุณจะทำอะไรกันแน่ ยังดูอะไรได้ไม่ชัดเจนก็ลงมือโดยพลการ ไม่เด็กไปหน่อยเหรอ”
ผ่านไปสักพักใหญ่ “ขอโทษ”เย่ป๋อลดเสียงเบาลง อยากจะไปดึงรั้งเธอ ชิวไป๋หลบ เขา เธอขยี้ผมสั้นของตัวเองจนยุ่งอย่างหงุดหงิด “เย่ป๋อ ฉันกับคุณนั้นอายุต่างกันมาก คุณเด็กกว่าฉันเยอะ ดังนั้นการมองเรื่องราวต่างๆและวิธีการที่ปฏิบัติต่อคนของพวกเรานั้นไม่เหมือนกันเลย ฉันคิดว่าพวกเราไม่น่าจะเหมาะสมกันจริงๆ”
ชิวไป๋รีบพูดให้จบ เธอไม่มองเขาเลย เพราะว่าเธอกลัวว่าจะไปเห็นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเขา เธอหมุนตัว รองเท้าส้นสูงที่เหยียบกระทบบนพื้นจนเกิดเสียงของความเร่งรีบ
เย่ป๋อมองเธอที่ค่อยๆเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเรี่ยวแรงของร่างกายนั้นถูกสูบจนแห้ง ในสมองนั้นทั้งที่อยากจะตะโกนโวยวายตามไปให้ทัน โอบกอดเธอไม่ให้เธอเดินหนีไปได้อีก แต่สติสัมปชัญญะกลับหยุดไม่พาไปข้างหน้า
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอรับโทรศัพท์แล้ว อารมณ์ความเสียใจที่มีแต่เดิมก็โดนกวาดหายไปจนเกลี้ยงในทันที พอวางสายเขาก็รีบกดเบอร์โทรศัพท์อีกเบอร์ เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึมทันทีที่โทรศัพท์ถูกรับขึ้นมา: “คุณชาย คุณอ้าวเสว่หายตัวไปแล้วครับ”จ้องมองโคมไฟระย้าบนเพดาน ความทรงจำในสมองของอ้าวเสว่ก็ค่อยๆฟื้นมีสติขึ้น เขาออกจากร้านจิวเวลรี่ของตัวเอง ก็ถูกเย่ชูหวินบังคับลากขึ้นรถ ใช่แล้ว!เย่ชูหวิน!!
เธอลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว “เย่ชูหวิน!”
พอพูดถึงก็มาพอดี ประตูก็ถูกเปิดออก เย่ชูหวินยกนมเดินเข้ามา “ฉันอุ่นนมให้เรียบร้อยแล้ว ตรวจสอบหาในอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างดีว่าอุณหภูมินี้น่าจะเป็นเหมาะสม”
อ้าวเสว่มองดูบริเวณรอบๆอย่างระมัดระวัง เย่ชูหวินพูดอย่างเรียบเฉย: “นี่เป็นห้องที่ฉันซื้อไว้ พวกเขาไม่มีทางหาเจอได้ไวขนาดนั้น คุณเองก็อย่าคิดจะหนีเหมือนกัน”
“คุณปล่อยฉันออกไป!”อ้าวเสว่ค่อยๆขยับตัวไปขอบเตียง และมองคำนวณดูระยะห่างระหว่างขอบเตียงกับประตู เย่ชูหวินเองก็ไม่ขัดขวางเธอเช่นเดียวกัน เพียงแค่พูด: “ขอโทษ ฉันจำเป็นต้องทำแบบนี้”
อ้าวเสว่หยุดชะงัก “เพื่อติงยียี?”ท่าทางของฝ่ายตรงข้ามนั้นอธิบายทุกอย่างชัดเจนแล้ว อยู่ดีๆเธอก็อยากจะหัวเราะ “คงจะถูกต้อง ตอนที่เธอเข้าเรียนคุณก็ชอบเธอแล้วใช่ไหมล่ะ?”
พอสิ้นเสียง กระเพาะของเธอที่อาเจียนเป็นกิจวัตรมาพักหนึ่ง ของเหลวเปรี้ยวไหลออกมาจากคออย่างกะทันหัน เธอปิดปากเอาไว้ สายตามองเย่ชูหวินอย่างส่งสัญญาณ
เย่ชูหวินขมวดคิ้ว เปิดห้องน้ำภายในห้อง อ้าวเสว่พุ่งตรงเข้าไป ไม่นานด้านในก็ได้ยินเสียงอาเจียนดังลอยออกมา สักพักใหญ่ กระดาษทิชชูหนึ่งใบก็ถูกส่งมาให้ อ้าวเสว่รับเอาไว้ เช็ดมุมปากอย่างทรมาน
“คุณอยากกินอะไรฉันจะให้แม่บ้านไปซื้อมาให้”เย่ชูหวินพูดเบาๆขณะที่ยืนอยู่ที่ประตู อ้าวเสว่โบกมือ “ปล่อยฉันกลับไป”
“ถ้าอย่างนั้นคุณหายออกไปจากชีวิตเย่เนี่ยนโม่ได้หรือเปล่า”เสียงของเขานั้นเรียบเฉยเหมือนกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศวันนี้ทั่วไป แต่ว่าเธอนั้นรู้ดีว่าเขานั้นไม่ได้พูดเล่น คำพูดประโยคนี้ไม่เหมือนเป็นประโยคคำถาม แต่เหมือนประโยคที่คุกคามมากกว่า
เธอมองเขาอย่างกล้าหาญ “แค่เย่เนี่ยนโม่เท่านั้นยังไงก็ไม่มีทางปล่อยมืออย่างแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงทำได้แค่พาคุณไป”เย่ชูหวินมองเธอด้วยสายตาลึกล้ำ จากนั้นถึงจะหมุนตัวจากไป อ้าวเสว่อยากจะตามเขา มีหญิงวัยกลางคนมาขวางเธอเอาไว้ เชิญเธอกลับเข้าห้องอย่างสุภาพ
เย่ชูหวินก็ไม่ได้เดินไปไกล เขาพิงกำแพงประตูด้านนอก ฟังอ้าวเสว่ที่โหวกเหวกโวยวายอยู่ภายในห้อง หัวใจของเขากระตุกกะทันหัน เพียงแค่เขาหยิบยาที่อยู่ในกระเป๋าออกมาสองเม็ด ความรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้สามารถบรรเทาได้ แต่เขากำยาเอาไว้ และกลับเพลิดเพลินกับความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาในร่างกายและจิตใจ เหมือนกับว่ามีเพียงแต่ทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
โรงแรมในปารีส ติงยียีไม่คิดเลยว่าการตัดสินรอบสุดท้ายว่าใครจะได้เดินแบบชุดฟินนาเล่นั้นจะเป็นการลงคะแนนตัดสิน เอเลนส่งกระดาษให้ “คนจีนอย่างพวกคุณชอบการลงคะแนนแบบประชาธิปไตยเป็นที่สุด ความจริงแล้วผมก็คิดว่านี่ก็เป็นวิธีที่ดีมากเหมือนกัน”
ตอนที่เขามาแจกถึงติงยียีสายตาก็หยุดชะงัก จากนั้นก็เดินเหม่อลอยเป็นท่อนไม้ไป ส้งน่าโมโหจนกัดฟันเกือยจะร่วงหมดปาก เมื่อก่อนถึงเธอจะทำอะไรก็ตามชายต่างชาติคนนั้นก็ไม่เคยที่จะเลือกเธอเป็นคนเดินชุดฟินนาเล่สักที นี่เธอจะพยายามขนาดนี้ไปทำไมกัน!
แจกกระดาษเสร็จเรียบร้อยเอเลน ไม่สนใจสายตาที่ไม่พอใจจากส้งน่าเธอพิงบนกำแพงอย่างเกียจคร้าน ส่งสัญญาณให้ทุกคนว่าสามารถเริ่มลงคะแนน ไม่นานส้งน่าและนางแบบโฆษณาอีกคนทั้งหมดก็ได้รับการโหวตแล้วสองเสียง สายตาของทุกคนนั้นจับจ้องไปที่ตัวของติงยียี
“ยียี คุณไม่ใช่ว่าล้มจนบาดเจ็บแล้วเหรอ? ถ้าอย่างนั้นคุณรู้หรือเปล่าว่าวันนั้นฉันเห็นว่ามีคนจงใจที่จะเทโรยลูกแก้วไปตรงทางบันได”นางแบบโฆษณาคนนั้นมองส้งน่าอย่างดูถูกเยาะเย้ย
ส้งน่าเหมือนแมวที่โมโหจนขนพอง ลุกขึ้นยืนทันที “คุณพูดอะไรเนี่ย!”
นางแบบพูดอย่างเบาๆ: “ไม่ยอมรับงั้นเปิดกระเป๋าของคุณให้ดูหน่อยได้หรือเปล่า คนที่มีกระเป๋าใบใหญ่จนถึงขนาดใส่ลูกแก้วลงไปได้ฉันว่าก็คงหาไม่เจอแล้ว”
สีหน้าของส้งน่าแดงก่ำ โมโหจนตัวสั่นเล็กน้อย เธอมองแวบหนึ่งไปที่ติงยียี ติงยียีก้มหัวอยู่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ กลับเป็นเธอคนที่อายุน้อยนั้นเหมือนอยากกินตัวเอง
“ฉันเลือกเสร็จเรียบร้อยแล้ว”ติงยียีนำกระดาษออกมาเปิดเผย “ส้งน่า”
ไม่เพียงแค่นางแบบ ขนาดเอเลนและชิวไป๋เองก็ตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ชิวไป๋ขมวดคิ้วแน่นออกมา “นี่มันเกิดอะไรขึ้น เธอทำร้ายพวกเราทำไมยังจะเลือกเธอ!”
ชิวไป๋ไม่ค่อยพอใจติงยียี การเป็นแม่พระในวงการบันเทิงนั้นไม่มีทางได้กินของดีอย่างแน่นอน และเอเลนนั้นก็เป็นคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยอย่างแท้จริง เขาคิดมาโดยตลอดว่าติงยียีนั้นเป็นพวกจอมวางแผน ตอนนี้เขาเองก็มองผู้หญิงคนนี้อย่างไม่เข้าใจ
ติงยียีมองชิวไป๋ด้วยสายตาว่าให้อดทนรอไปก่อน เธอกวาดตามองส้งน่าที่กำลังมองตัวเองด้วยความสงสัยและประหลาดใจ พูดด้วยเสียงก้องกังวาน: “ในระยะการฝึกที่ผ่านมา ฉันคิดว่าส้งน่านั้นไม่ว่าจะเป็นความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวหรือจังหวะที่สอดคล้อง เธอก็เป็นคนที่ทำได้ดีที่สุดในหมู่พวกเรา”
เอเลนขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่เธอพูดนั้นไม่ผิดเลย ส้งน่าเป็นคนที่ถูกเขาเลือกมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าเขากับส้งน่าจะมีอะไรกัน แต่ว่าเรื่องเกี่ยวกับงานนั้นเขาไม่มีทางลำเอียงจนเลอะเลือนขนาดนั้น แต่ว่าติงยียีสามารถมองได้ทะลุปรุโปร่งถือว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายสำหรับเขา
“ติงยียี ฉัน……” ส้งน่าตื่นเต้นจนลุกขึ้นมา มองเธอด้วยความละอายใจ
ติงยียีขยำกระดาษจนเป็นก้อน มองตรงมาที่เธอ พูดเสียงดัง: “แต่ว่าฉันก็ยังโกรธมาก ตอนนี้โกรธจนอยากจะตบหน้าคุณสักครั้ง ถ้าไม่ใช่มองว่าถึงเวลานั้นหน้าของคุณคงจะบวม ฉันก็คงจะตบคุณจริงๆ คุณทำแบบนี้มันเลวร้ายเกินไป”
สถานที่เต็มไปด้วยคลื่นความโศกเศร้า ส้งน่าตะลึงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่เอเลนตะลึงไปชั่วขณะก็พบว่าผู้หญิงคนนี้ความจริงแล้วเป็นคนที่รู้ความมากทีเดียว แยกแยะความรักและความเกลียดชังออกจากกันชัดเจน แม้จะค่อนข้างตรงไปตรงมา ดูแล้วตอนแรกตัวเองคงจะประเมินเธอสูงเกินไปจริงๆ
“เอาละ! ในเมื่อทุกคนเลือกเสร็จเรียบร้อยแล้วก็แยกย้ายได้” เอเลนมองติงยียีอย่างล้ำลึกแล้วจึงหมุนตัวจากไป ไม่พูดอะไรอีก มือนี้ของเขาต้องกลับไปทายาแล้ว!
ติงยียีเดินมาที่ด้านหน้าของชิวไป๋เอาข้อศอกสะกิดเธอไปมา “คุณคงไม่โกรธที่ฉันไม่ได้ปรึกษาคุณก่อนแล้วยังตัดสินใจทำเรื่องวุ่นวายหรอกนะ”
ชิวไป๋เหล่ตามองเธอ “เป็นผู้จัดการของคุณคงต้อง เตรียมใจเอาไว้ว่าเธอคงไม่มีวันได้โด่งดัง”สิ้นเสียงพูด เห็นติงยียีในท่าทางละอายใจเธอก็อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
ติงยียีเห็นเธอหัวเราะก้องกังวานก็ถอนหายใจ “ในที่สุดคุณก็หัวเราะออกมาสักที หลายวันมานี่สีหน้าของคุณแย่มากเลย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของชิวไป๋ยังคงอยู่ แต่สีหน้าของเธอกลับปะปนไปด้วยความเศร้า ไม่ใช่เพราะว่าเป็นเย่ป๋ออย่างเดียว แต่ยังเพราะว่ามีความจริงอื่นอีกที่ทำให้เธอประหลาดใจ เย่เนี่ยนโม่จะแต่งงานกับนักออกแบบเครื่องประดับที่ชื่อว่าอ้าวเสว่คนนั้น
ช่วงเวลานี้เธอประกบติดติงยียีตลอดเวลา ไม่ให้เธอได้สัมผัสกับโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์ ปิดบังข่าวเอาไว้ แต่ว่าแรงกดดันอันมหาศาลนี้ทำให้เธอไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
“คุณไม่เป็นไรจริงๆใช่ไหม?”ติงยียีมองเธอที่คิ้วขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆอย่างค่อนข้างกังวล เวลานี้เองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็ดังขึ้น ชิวไป๋มองรายชื่อที่อยู่ในสมุดโทรศัพท์แวบหนึ่ง เธอร้อนรุ่มจิตใจกระสับกระส่ายมองเธอ สุดท้ายจากไปโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ “เนี่ยนโม่ เรื่องของคุณจัดการเรียบร้อยแล้วหรือเปล่า?”ติงยียีรับรู้ได้ถึงความเหนื่อยล้าในน้ำเสียงของเขา พูดออกไปด้วยความปวดใจสองคนคุยกันเรื่อยเปื่อย ไม่มีหัวข้ออะไร และไม่ได้สร้างบรรยากาศอะไร ติงยียีรู้สึกว่าน้ำเสียงของต้นสายนั้นกระฉับกระเฉงขึ้นทันใดนั้นเอง เย่เนี่ยนโม่ถาม: “ช่วงนี้เย่ชูหวินได้โทรหาคุณบ้างหรือเปล่า?”
ชูหวิน? เขายกเรื่องนี้มาทำให้ติงยียีพบว่าเธอนั้นไม่ได้ติดต่อชูหวินมานานมากแล้ว วางสายโทรศัพท์ เธอมองเวลาบนนาฬิกา
เวลาที่ปารีสช้ากว่าจีนหกชั่วโมงกว่า ก็แสดงว่าตอนนี้ที่จีนคือเวลาเช้าตีสี่ ชูหวินคงจะนอนหลับอยู่แน่ๆ
คำถามของเย่เนี่ยนโม่เมื่อกี้นี้ทำให้เธอนั้นค่อนข้างกังวลเรื่องเย่ชูหวิน เธอถือโทรศัพท์มือถือด้วยความลังเลตลอด ในสมองเกิดความคิดไม่อยู่กับร่องกับรอยผุดออกมาเรื่อยๆ
ช่างเถอะ เวลานี้โทรหาเขาก็คงจะหลับอยู่ คงไม่รับโทรศัพท์หรอก! ติงยียีขณะที่คิดอยู่นั้น ขณะที่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเหมือนกับจะมีเสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่บนโต๊ะดังปี๊บขึ้นมา
เธอเพิ่งจะหมุนตัวไปหยิบกระเป๋า ในสายโทรศัพท์ก็มีเสียงของเย่ชูหวินดังย้อนขึ้นมา “ยียี?”
ติงยียีตกใจ ถึงคิดออกมาได้ว่าแป้นพิมพ์โทรศัพท์มือถือของตัวเองนั้นใช้การได้ไม่ค่อยดี ไม่แน่เมื่อกี้นี้อาจจะไม่ระวังกดโทรออกไป เธอรีบร้อนรับโทรศัพท์ พูดอย่างเกรงใจ: “คิดไม่ถึงว่าเวลานี้คุณจะยังไม่นอน”
“ฉันก็แค่กลัวว่าฉันจะไม่อยู่ตอนที่คุณต้องการฉัน”เสียงของชูหวิน
เบาบาง ราวกับว่าหัวข้อที่พูดไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตัวเองเลยไม่ได้ใส่ใจ แต่ว่าความเป็นห่วงนี้ทำให้ติงยียีทำตัวไม่ถูก
เธอรู้ดีว่าเย่ชูหวินชอบเธอมาโดยตลอด ในใจเองก็รู้ว่าเธอนั้นก็สับสนมากกับความรู้สึกของเขา ถ้าไม่มีเย่เนี่ยนโม่ เธอก็คงรักเขาอย่างสุดหัวใจตลอดกาล แต่ว่าความรักก็เป็นแบบนี้ ใครจะรับประกันได้ว่าการพบเจอก่อนนั้นคือสิ่งที่ถูกต้อง