สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1567หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1407
ติงยียีไม่ได้ถอยหลังไปแต่กลับก้าวไปข้างหน้า เธอจ้องตาของเย่เนี่ยนโม่พูดด้วยน้ำเสียงโดยไม่มีเหตุผล “นายบอกว่านายรักฉัน ฉันก็เชื่อ นายบอกว่าสำหรับเธอแล้วมันเป็นแค่ความรับผิดชอบ ฉันก็เชื่อ นายบอกว่านายจะพาฉันไปเที่ยวทุกมุมของโลกใบนี้ ฉันก็เชื่อ เชื่อ เชื่อ ! แต่ว่าทำไมนายต้องเป็นแบบนี้! เพราะว่าความเชื่อใจของฉัน หรือเพราะว่าฉันยอมอย่างนั้นเหรอ?”
เธอไม่อยากจะพูดอะไรอีก ได้แต่หันไปอย่างเย็นชาและมองอ้าวเสว่ที่อยู่ห่างไปเพียงแค่ไม่กี่ก้าว “เธอชนะแล้ว ยินดีด้วยนะ”
ภายในห้องมีเสียงฝีเท้าดังออกมาไม่หยุด แขกทั้งหลายยิ้มแย้มอย่างมีความสุขกำลังเปิดประตูออก ภายในห้องเต็มไปด้วยความปิ่ติยินดี ด้านนอกห้องกลับมีแต่ความเย็นเยือก ติงยียีคลี่ยิ้ม ก้มหน้าแล้วก็เดินลงไปข้างล่าง
เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้มองอ้าวเสว่เลยด้วยซ้ำ ตอนที่เห็นติงยียีวิ่งหนีไปเขาก็รีบตามไปทันที อ้าวเสว่ยืนอยู่ที่เดิมเงียบๆ มองดูทั้งสองคนหายไปต่อหน้าต่อตาของเธอ
ประตูถูกเปิดออก ทุกคนเดินออกมา พร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของพวกเขา พวกเขาพากันออกมาแล้วก็เบียดเสียดอ้าวเสว่
อ้าวเสว่ถูกบีบให้ถอยหลังไปหลายก้าว แต่ว่าเธอก็ยังคงยืนเงียบๆอยู่แบบนั้น จนกระทั่งมีมือหนึ่งยื่นมาตรงหน้าเธอ แล้วก็ดึงเธอไปกอดไว้ในอ้อมอก
“เนี่ยนโม่”เธอพูดออกมาอย่างลังเล ร่างของคนที่กอดเธอไว้ชะงักไป หลังจากนั้นก็กอดเธอแน่นกว่าเดิม ศีรษะของเธอพิงอยู่ที่ไหล่ของเหยนหมิงเย้า ดวงตาของเธอจ้องไปที่ผนังที่มีสีสันซึ่งอยู่ไม่ไกล แม้ว่าเธอจะรู้ว่าใครเป็นคนกอดเธออยู่ แต่ว่าเธอก็ยังคงดื้อดึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เนี่ยนโม่ เนี่ยนโม่ เนี่ยนโม่”
เย่เนี่ยนโม่สามารถตามตัวติงยียีบนท้องถนนได้อย่างง่ายดาย เขาพูดอย่างอ่อนโยนที่สุด แล้วก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี “เธอฟังฉันพูดก่อนได้ไหม?”
“นายปล่อยฉันก่อน”ติงยียีพูดอย่างเย็นชา พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขยับ เธอก็พยายามขัดขืนอีกครั้ง เย่เนี่ยนโม่เป็นห่วงเธอ ก็เลยค่อยๆผ่อนแรงของตัวเองลงเล็กน้อย
เธอก้มหน้าลงและพุ่งออกไปตรงถนนโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น สัญญาณไฟแดงปรากฏขึ้น บรรดารถที่กำลังมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างเร่งรีบก็คำรามไปด้านหน้า เสียงเบรกแหลมๆดังขึ้นในทันที
“ยียี! ”ติงยียีได้ยินแต่เสียงโห่ร้องด้วยความหมดหวังแล้วหวาดกลัว เธอรู้สึกว่าโลกหมุนกลับหัวไปหมด หลังจากการกระแทกอย่างรุนแรงเธอก็ลืมตาขึ้นมา
ไม่ไกลจากเธอนะมีคน 2-3 คนมายืนรวมอยู่ พวกเขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วก็ถ่ายภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเอาไว้ไปคุยในบทสนทนา เธอกะพริบตา หูของเธอก็ได้ยินเสียงตะโกนของเย่เนี่ยนโม่ “เธอทำอะไร!นี่เธอจะทำอะไรกันแน่!”
เย่เนี่ยนโม่กอดเธอเอาไว้ ร่างกายของเขาสั่นเทา รอยยิ้มและความสบายใจตอนที่คุยสัญญามูลค่า 10 ล้านของเขานั้นไม่มีอีกต่อไป เขาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ถ้าเกิดว่าเมื่อกี้เขาไม่ได้กอดเธอเอาไว้ทัน แล้วถ้าหากว่าคนขับรถเหยียบเบรกไม่ทัน มันจะเป็นยังไง?
เขารู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถึงได้หวาดกลัวมาก เขาได้แต่กอดผู้หญิงที่ตัวเองรักเอาไว้แน่น มีวิธีนี้เพียงเท่านั้นที่สามารถทำให้หัวใจของเขาเต้นได้อีกครั้งหนึ่ง
ติงยียีขยับร่างกาย เธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ว่าริมฝีปากที่แห้งเผือดของเธอก็ถูกปิดกั้นอย่างรุนแรง รอยจูบนั้นไม่อ่อนโยนแม้แต่นิด มันเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน แม้แต่สัมผัสนั้นก็สั่นเครือเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เย่เนี่ยนโม่ถึงได้กลับมาสงบลงได้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่สงบลงเขากับเธอก็เหนื่อย เพราะเขายืนอยู่ข้างถนน คนที่มุงอยู่ก็ต่างเป็นคนที่เพิ่งเลิกงานกันมาทั้งนั้น พวกเขาแค่แวะเหลือบมองผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลากับผู้หญิงที่ดูอ่อนหวานทั้งสอง แล้วก็เดินทางกลับบ้านอีกครั้งอย่างเหน็ดเหนื่อย
“วันนั้น ตอนที่เธอไปดื่มกับไห่โจ๋ซวน ฉันได้ยินที่พวกคุณคุยกัน” เย่เนี่ยนโม่ทำลายความเงียบลงกรณ์ เขามองเธอเงียบๆ น้ำเสียงสงบมาก
ดูเหมือนเธอจมอยู่ในความทรงจำนั้น ได้แต่ยืนมองเขาเงียบอยู่แบบนั้น เธอหมดแรงทั้งร่างกายและจิตใจ และเธอก็ไม่ต้องการพูดอะไรมากไปกว่านี้ เย่เนี่ยนโม่ชะงักไปครู่หนึ่งและพูดต่อว่า “คืนนั้นฉันทรมานมาก ผู้หญิงที่ฉันรักมากที่สุดกับเพื่อนที่ฉันเชื่อใจมากที่สุดไปดื่มเหล้าด้วยกัน และเรื่องทั้งหมดนั้นมันเกิดขึ้นจากตัวของฉันเอง ดังนั้นฉันก็เลยดื่ม ดื่มเหล้าที่ถูกใส่ยานอนหลับลงไป”
เธอได้แต่มองเขาอย่างเงียบๆ เหตุผลนี้ก็ดูเหมือนเป็นสไตล์ของเขาอยู่แล้ว โดยรวมแล้ว เขาก็ดูเหมือนเป็นผู้โดนกระทำ แต่แล้วมันยังไงกันล่ะ เธออ้าปากออกเล็กน้อย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า “พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว หลังจากที่มีเด็กคนนั้นพวกเราก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว”
เย่เนี่ยนโม่เม้มปาก เขารู้ว่าเธอพูดในสิ่งที่ถูกต้อง เขามองดูดวงตาของเธอที่เงียบสงบราวกับน้ำนิ่ง แล้วจู่ๆเขาก็โกรธขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “ไม่ ฉันไม่มีวันยอมปล่อยเธอไปตลอดชีวิต”
ติงยียีหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า และพูดออกมาเบาๆว่า “งั้นก็พาฉันกลับบ้านหน่อยแล้วกัน ฉันอยากจะพักผ่อนแล้ว”
ในบ้านนั้นว่างเปล่า แต่ว่ากลับไม่มีร่องรอยของฝุ่นเลย เย่เนี่ยนโม่มักจะให้แม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ ทำให้ที่นี่สะอาดอยู่เสมอ หลังจากที่ติงยียีไป น้องหมาแพนด้าก็ถูกพาไปอยู่ที่ตระกูลเย่ ถึงแม้ว่าบ้านหลังนี้จะเรียบร้อยและเป็นระเบียบ แต่ว่าก็ไม่มีร่องรอยของมนุษย์อยู่เลย
ติงยียีนอนลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า ลมหนาวพัดเข้ามาที่กระจก กระจกสั่นสะเทือนเล็กน้อยและเกิดเสียง ม่านสีน้ำเงินเข้มถูกปิดลง โคมไฟตั้งพื้นทรงใบไม้ริมหน้าต่างส่องประกายด้วยแสงสีเหลือง มันควรจะเป็นภาพที่อบอุ่นมาก แต่ว่าตอนนี้มันกลับอ้างว้าง
เธอหลับตาลง หายใจยาว ใบหน้าที่สวยงามย่นเล็กน้อยเหมือนกับเด็กเล็ก เธอได้แต่นอนเงียบๆอยู่แบบนี้ ฝ่ามือของเธอถูกอีกคนหนึ่งจับไว้ นิ้วแทง 10 ของพวกเขาประสานกัน มันคือจุดที่ใกล้กับหัวใจมากที่สุด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนกัน ผมหน้าม้าของเธอก็ถูกเปิดออก แล้วก็มีรอยจูบที่แผ่วเบาประทับลงที่หน้าผากของเธอ พยายามรักษาแผลเป็นของเธอ แล้วเสียงนั้นก็พูดออกมาอย่างอ่อนโยน “ฝันดีนะ”
หลังจากนั้นก็มีเสียงปิดประตู เดิมทีคนที่ควรจะนอนอยู่ก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ที่บริษัทเย่ซื่อ
เย่เนี่ยนโม่ตรงไปที่บริษัทเย่ซื่อในทันที เขารู้สึกเหนื่อยใจเป็นอย่างมาก แต่ยังต้องจัดการกับเอกสารที่ซ้อนเป็นภูเขา เขาคือแก่นของพนักงานนับพันของบริษัทเย่ซื่อ เขาถูกกำหนดให้ไม่สามารถใช้อารมณ์ในการทำงานได้
อากาศมันเย็นมาก ลมพัดอย่างโหดเหี้ยม พนักงานต่างก็เดินไปมาอย่างขวักไขว่เพื่อทำมาหากิน เย่เนี่ยนโม่ลงจากรถ เดินไปหาผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างใจเย็น
อ้าวเสว่ถอดชุดแต่งงานในงานหมั้นออกตั้งนานแล้ว แต่ว่ายังคงยืนยันที่จะใส่แหวนเอาไว้อย่างดื้อรั้น เธอสวมใส่เสื้อผ้าบางๆ ท้องป่องขึ้นมา ใบหน้าของเธอยังคงดูเศร้าโศกยิ่งกว่าอากาศซะอีก เธอมองหน้าเขาแล้วก็พูดออกมาเบาๆว่า “เกลียดฉันมากเลยใช่ไหม”
ร่างกายของเธอสั่นสะท้านในท่ามกลางลมหนาว แต่เธอก็ยังคงเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างดื้อรั้น แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลยก็ตาม
เย่เนี่ยนโม่ยืนหลังตรงมาก เขายืนอยู่ตรงนั้น เหมือนกับองค์เทพในสมัยโบราณยังไงอย่างนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้นมา “ไปเถอะ”
รถแล่นไปตามถนนจนเข้าไปในคอนโด อ้าวเสว่มองดูคอนโดที่แปลกหน้าแต่ก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยด้วยความตื่นเต้น
เมื่อรถแล่นเข้าไปอีก เธอก็ค่อยๆ นึกขึ้นได้ว่า ตอนแรกก็คือที่นี่ ที่เธอรู้ว่าเย่เนี่ยนโม่อยากจะอยู่กินกับติงยียี และก็คือตั้งแต่วันนั้นเธอก็เปลี่ยนไปกลายเป็นตัวร้าย กลายเป็นคนไม่เหมือนตัวของเธออีก เธอแค่อยากจะใช้วิธีใดก็ได้ที่ผูกมัดเย่เนี่ยนโม่ไว้ข้างกายเธอ
รถได้จอดลง สายตาของเย่เนี่ยนโม่ไม่ได้มองมาที่เธอเลยด้วยซ้ำ เขาได้แต่พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ไปเถอะ”
เธอตามเขาลงจากรถไปเงียบๆ หลังจากนั้นก็ขึ้นไปชั้นบน ความทรงจำก็ย้อนไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนนั้นพวกเขายังเป็นวัยรุ่นกันอยู่ รสรักครั้งเเรก กลายเป็นเหมือนแมลงเม่า รู้ว่ามีไฟรออยู่ข้างหน้า แต่ก็อยากจะบินเข้าไปตามทางของไฟ
ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันไปเงียบๆ เดินไปหยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง เย่เนี่ยนโม่เปิดประตูเงียบๆ ภายในห้องน้ำตกแต่งเรียบร้อยแล้ว ผนังสีฟ้าอ่อน มีเปียโนสีขาวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง มีสตูดิโออยู่ติดกับห้องนั่งเล่นซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือและอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการวาดภาพ
ระเบียงควรจะเต็มไปด้วยดอกไม้ แต่เนื่องจากไม่ได้รับการดูแลเป็นเวลานาน ดอกไม้ทั้งหมดจึงแห้งตายไปหมด เหมือนกับบ้านที่เต็มไปด้วยฝุ่น
อ้าวเสว่ยืนอยู่ตรงนั้น ความคิดของเธอโบยบินไปไกล ตอนนั้นตัวเธอเองก็ยืนอยู่ตรงนี้ ฟังบทสนทนาของทั้งสองคนที่อยู่ในห้อง แล้วเธอก็ใจสลาย เธอมองไปที่เครื่องตกแต่งต่างๆในบ้าน และความรู้สึกหวาดกลัวก็โจมตีเข้ามาที่เธอ
ถูกต้องแล้ว ทุกอย่างที่อยู่ในห้องเหมือนกับว่าจะออกแบบตามความชอบของเธอ การตกแต่งสไตล์ยุโรปและอเมริกา วางเปียโนสีขาวไว้ที่มุมหนึ่งของผนัง เหนือเปียโนไปภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่ แถมยังมีชิงช้าและเสื่อทาทามิที่ระเบียงอีก
นี่คือสิ่งที่เธอเคยพูดสมัยที่เรียนมหาลัย และตอนนั้นเย่เนี่ยนโม่ก็อยู่ข้างๆเธอ แล้วก็ฟังเธอพูดเงียบๆ เธอยังรู้สึกเศร้าโศกกับความเงียบของเขาอยู่เลย
“เข้าไปสิ”เย่เนี่ยนโม่นำเข้าไปในห้องก่อน ในห้องมีฝุ่นผงบาง ๆ และแม้กระทั่งใยแมงมุมบนภาพเขียนสีน้ำมันที่วางอยู่ที่โถงทางเดิน เขาปัดใยแมงมุมออกและหันไปมองเธอ
“ฉันเคยคิดว่าจะคบกับเธอตลอดไป เหมือนกับพ่อกับแม่ของฉันที่อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า” เขาพูดอย่างนิ่งเรียบ น้ำเสียงไม่พอใจ อ้าวเสว่ช็อกไปในทันที สีหน้าของเธอดูตกใจและประหลาดใจ เธอมองเขา แต่ก็พบว่าสายตาของเขาไม่มีอารมณ์อะไรซ่อนอยู่ในนั้นเลย เป็นเพียงแค่การบอกเล่าความจริงอย่างเฉยเมยเท่านั้น
เย่เนี่ยนโม่นิ่งไปแล้วพูดต่อว่า “ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกไม่ปลอดภัยได้ง่าย ดังนั้นฉันก็เลยพยายามอย่างหนักที่จะเป็นที่หลบภัยให้กับเธอ” เขาหยุดพูด แล้วก็หันมามองหน้าเธอ “สิ่งที่พบเธอก่อนไม่จำเป็นว่าเธอต้องเป็นคนที่ใช่เสมอไป”
“ไม่ ไม่ใช่แบบนี้ ตอนแรกฉันนึกว่านายไม่ได้จะให้ฉัน มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันกลายเป็นคนหัวรุนแรง ฉันรักนายมาโดยตลอดเลยนะ” เธอร้องไห้แล้วก็ดึงแขนของเขาไว้ อีกมือหนึ่งก็หยิบลูกรูบิคเก่าๆออกมาจากกระเป๋าอย่างบ้าคลั่ง
“นายยังจำตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรกได้ไหม? ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นายเป็นคนแรกที่พูดกับฉันอย่างอ่อนโยนขนาดนั้น หลังจากนั้นผ่านไปสองปีพวกเราก็ได้เจอกันอีกครั้ง แล้วพวกเราก็ได้เล่นรูบิคด้วยกัน ตอนนั้นฉันตั้งมั่นว่าต้องคบกับนายให้ได้ พวกเราต่างหากที่เป็นคู่รักที่ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว”
เธอพูดอย่างตะกุกตะกัก โดยต้องการให้เขาเชื่อว่าชะตากรรมของพวกเขาเชื่อมโยงกันมานานกว่าสิบปี และนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า พวกเขาถูกกำหนดให้อยู่ด้วยกัน
เย่เนี่ยนโม่กวาดสายตามองไปยังลูกรูบิคที่สีซีดไปมาก เขาจับมือของอ้าวเสว่มา เปิดฝ่ามือของเธอออก แล้วก็เอากุญแจใส่ไว้ที่ฝ่ามือของเธอ
“ปล่อยมือเถอะ หัวใจของฉันไม่ได้อยู่ที่เธออีกต่อไปแล้ว ฉันรักยียี”
เธอมองตาของเขาด้วยความหวาดกลัว เธอเห็นว่าตอนที่เขาพูดชื่อของติงยียีขึ้นมานั้นน้ำเสียงของเขาเบาลง ใบหน้ายังคงอ่อนโยนลงมาก เธอเข้าใจดี เพราะว่าเธอมักจะเห็นสีหน้าแบบนี้บนใบหน้าของพ่อเธอ ตอนที่เขามองหน้าเซี่ยชีหรั่นงั้นก็จะมีสีหน้าและน้ำเสียงแบบนี้ออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ นี่มันเรียกว่าความรักและความเมตตา