สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1568หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1408
เย่เนี่ยนโม่ไม่มองเธออีกต่อไป หันหลังแล้วก็เดินออกไป ไม่มีร่องรอยของความอาลัยอาวรณ์เลยแม้แต่นิดเดียว ก้าวเดินมั่นคง ผ่านไปครู่หนึ่ง อ้าวเสว่ถึงได้ดึงสติกลับมา เธอเดินโซเซไปข้างหน้าสองสามก้าว แต่สะดุดกับโต๊ะกาแฟ
ถ้วยน้ำชาเซรามิกบนโต๊ะกระทบกับพรมขนสัตว์ และถ้วยก็เต็มไปด้วยฝุ่นแล้ว เธอมองไปยังห้องที่ว่างเปล่าและเงียบสงบ ทันใดนั้นหัวของเธอก็นึกถึงเสียงของแม่บวกกับเสียงในปากกาอัดเสียงขึ้นมา
เพราะว่าแม่บอกกับเธอว่าติงยียีกับเย่เนี่ยนโม่จะคบกัน ในเสียงบันทึกนั้นแม่ก็เป็นคนบังคับให้เธอพูดเอง! ทั้งหมดเป็นเพราะแม่ แม่ทำให้เธอเปลี่ยนไปกลายเป็นผู้หญิงที่ร้าย แม่ทำให้เธอสูญเสียความรักไป กลายเป็นเครื่องมือเสมือนซากศพที่เดินได้
เธอโกรธจนทนไม่ไหว ฝุ่นในบ้านนี้ดูเหมือนจะหัวเราะเยาะเธอ ความโง่เขลาของเธอ และการที่เธอถูกหลอกใช้
ประตูถูกเธอปิดอย่างแน่นหนา และกุญแจก็ถูกทิ้งไว้ในห้อง นี่คือห้องที่จะไม่มีวันเปิดได้อีกตลอดกาล
สีหน้าของซือซือไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถเข้าร่วมงานหมั้นของลูกสาวตัวเองได้ แต่เธอรู้ดีว่าช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของเธอกำลังใกล้เข้ามาทุกที ขอแค่อ้าวเสว่เข้าไปในตระกูลเย่ได้สำเร็จ แล้วก็แต่งงานก่อนที่เด็กจะคลอดออกมา เธอก็จะได้ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของบริษัทเย่ซื่อ แล้วตอนนั้นเธอก็จะกลับไปที่ตระกูลเย่อย่างเปิดเผย
ความเชื่อเหล่านี้ประคับประคองเธอเอาไว้ เป็นการปลอบใจเดียวจากการที่เธอนอนไม่หลับทั้งคืน แต่ว่าเมื่อกี้สวีเห้าเซิงโทรมาหาเธอ แล้วก็บอกเธออย่างรีบร้อนว่างานมันได้ถูกยกเลิกไปแล้ว สรุปแล้วนี่มันคือเรื่องอะไรกันแน่!
เธอเดินออกมาจากห้องด้วยความรำคาญใจ แล้วก็โทรหาอ้าวเสว่อีกครั้ง แต่ว่าก็ยังไม่มีใครรับสายเหมือนเดิม สีหน้าของเธอมืดมนจนน่ากลัว ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกรถดังขึ้นมาจากนอกประตู
อ้าวเสว่พุงลงมาจากรถอย่างเร่งรีบ พอเข้าประตูมาก็ได้ยินเสียงซือซือตะโกนมาว่า “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมอยู่ดีๆก็ไม่แต่งกันแล้วล่ะ ใครเป็นคนตัดสินใจ พวกเซี่ยชีหรั่นพูดว่าอย่างไร!”
เธอโยนคำถามไปเป็นชุด แล้วก็เห็นว่าอ้าวเสว่ยืนอยู่ที่ประตูแล้วจ้องเธอเขม็ง ดวงตาของเธอแดงก่ำและบวม และสีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ซือซือตกใจเพราะสีหน้าของเธอ แล้วก็แสร้งทำเป็นสงบนิ่งพร้อมกับเดินไปอยู่ข้างๆเธอและตบไหล่เธอเบาๆ พยายามจะปกปิดความไม่พอใจในใจของตัวเอง “ลูก บอกแม่มาหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
อ้าวเสว่ใช้ดวงตาที่แดงก่ำมองมาที่เธอ เสียงของเธอนั้นอ่อนโยนมาก เหมือนกับแม่ทั่วไปที่พูดกับลูกสาวตอนที่ลูกสาวไม่ได้รับความเป็นธรรมจากข้างนอกมา แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ความอ่อนโยนของเธอกลับทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัว
“ทำไมตอนแรกแม่ถึงโกหกหนูบอกว่าติงยียีกับเย่เนี่ยนโม่จะอยู่กินด้วยกัน”อ้าวเสว่มองแม่ของตัวเอง เธอรอคอยที่จะได้ฟังคำตอบ แต่ก็หวาดกลัวคำตอบเหมือนกัน
ซือซือมองเธอด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน แต่ว่าหัวใจได้มีความคิดว่า เธอรู้ได้ยังไง ใครเป็นคนบอก พอเห็นแววตาที่ระมัดระวังของเธอ ซือซือก็รีบดึงมือของเธอมาและปลอบใจว่า “เจ้าเด็กโง่ ลูกพูดอะไรกัน แม่จะทำร้ายลูกได้ยังไง แล้วอีกอย่าง แม่คือคนที่อยากให้ลูกเข้าไปอยู่ที่ตระกูลเย่มากที่สุดไม่ใช่เหรอ?”
อ้าวเสว่มองเธออย่างลังเล ตอนนี้หัวใจของเธอกลายเป็นเศษๆ เธอไม่รู้ว่าควรจะฟังใครด้วยซ้ำ ซือซือพูดช้าลง “ลูกอยากรู้ไหมว่าทำไมแม่ถึงได้เกลียดตระกูลเย่มาโดยตลอด”
เธอค่อยๆพูดออกมา แล้วก็เล่าเกี่ยวกับความโกรธที่ตัวเองมีต่อตระกูลเย่ ลูกของเธอกับเย่เชินหลินเสียชีวิตไปตั้งแต่ในวัยเด็กได้อย่างไร และเธอถูกเย่เชินหลินทำร้ายจนบ้านแตกสาแหรกขาดได้อย่างไร
“แต่ว่าแม่ยังรักเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ?”จู่ๆอ้าวเสว็เอ๋ยปากถามออกมา เธอลูบท้องที่ป่องออกมาของตัวเอง ในใจรู้สึกโศกเศร้าอย่างมาก
ซือซือเงียบ เธอรักเขาเหรอ? เวลามันผ่านไปนานมากแล้ว เป็นเวลานานจนเธอไม่รู้ว่าเธอรักเขาหรือเกลียดเขา หรือว่าเธอรักเขามากขึ้นหรือเกลียดเขามากขึ้น
ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งนั้น ความสับสนบนใบหน้าของเธอก็ได้หายไปแล้ว แล้วมันถูกแทนที่ด้วยความแน่วแน่แทน เธอกุมมืออ้าวเสว่แน่น “ลูก แม่คือคนที่คาดหวังจะให้ลูกเข้าไปที่ตระกูลเย่ใดมากที่สุด แม่โชคร้ายพอแล้ว แต่ก็หวังว่าลูกจะมีความสุข”
อ้าวเสว่จ้องเธอเขม็ง ต้องการจะหาร่องรอยของการโกหกในตัวของแม่ ตอนนี้เธอไม่อยากถูกใครหลอกใช้อีกแล้ว
มือของเธอกำแน่นขึ้นเล็กน้อย เธอมองไปที่ผู้หญิงข้างหน้าที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเกี่ยวข้องกับเธอ เธอลังเลและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้หนูต้องทำยังไง หนูยังมีโอกาสที่จะได้ยืนหยัดกลับมาอีกครั้งไหม?”
พอซือซือได้ยินสิ่งที่เธอพูดเสร็จแล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน ตอนนี้สวีเห้าเซิง เซี่ยชีหรั่นและเย่เชินหลินก็ต่างรู้เรื่องที่อ้าวเสว่แกล้งทำเป็นโรคซึมเศร้าและโดนรังแกไปแล้ว โชคดีที่ยังไม่เจอเรื่องของเด็กคนนี้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเด็กคนนี้คือหมากตัวเดียวที่เหลืออยู่ของพวกเธอ
“ลูกไปขอโทษทุกคน แล้วก็ไปคืนดีกับติงยียีซะ ขอแค่เด็กคนนี้ยังอยู่กับลูก ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ตระกูลเย่จะไม่ยอมรับลูกเลย”ซือซือเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดออกมา
“ดีกับติงยียีอย่างนั้นเหรอ!เป็นไปไม่ได้”อ้าวเสว่กัดฟัน สายตามีแต่ความเกลียดชัง ติงยียีทำลายชีวิตของเธอ แล้วอยากจะให้เธอไปคืนดีกับมันอีกอย่างนั้นเหรอ นี่มันน่าถูกใจมากกว่าการฆ่าเธอให้ตายซะอีก
ซือซือพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยความอดทน “ไม่ว่าจะยังไง เธอก็เป็นน้องสาวของลูก จุดนี้สามารถใช้ผลประโยชน์จากมันได้ สำหรับคนอื่นๆ ขอแค่ในท้องของลูกยังมีเด็กคนนี้อยู่ ก็ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะไม่อภัยให้ลูก ตอนนี้ลูกแค่จำเป็นต้องประพฤติตัวให้ดีเท่านั้น”
อ้าวเสว่หันหน้าออกอย่างไม่เต็มใจ จนได้ยินเสียงตำหนิของแม่ตัวเอง “ถ้าอยากจะเข้าไปตระกูลเย่ได้สำเร็จก็ต้องฟังแม่ ไม่อย่างนั้นตอนนี้แกออกไปซะ แม่ไม่มีลูกสาวอย่างแกอีกต่อไป”
ความโมโหของเธอทำให้อ้าวเสว่ไม่ได้ไตร่ตรอง เธอรู้ว่าแม่ของเธอพูดถูก หัวใจของเธอมันเจ็บปวดจนเริ่มชา การเข้าไปในตระกูลเย่ทำให้เธอรู้สึกหมกมุ่น เธอพยักหน้า
หลังจากส่งอ้าวเสว่กลับไปแล้ว ซือซือถึงได้ดูไม่สบายใจ ติงยียียากเกินที่จะรับมือ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกสาวของเธอ แต่ว่าประโยชน์ที่จะใช้งานได้ไม่ค่อยมากเท่าไหร่นัก และเย่เชินหลินก็ชอบฟังคำแนะนำจากเซี่ยชีหรั่น ต่อให้อ้าวเสว่เข้าไปที่ตระกูลเย่ได้ ตระกูลเย่ก็ไม่มีทางทำอะไรติงยียีหรอก
จู่ๆก็มีชื่อคนคนหนึ่งลอยเข้ามาในหัวของเธอ มุมปากเธอกระตุกยิ้มขึ้นมา เธอลืมไปได้ยังไงว่ายังมีอีกคนหนึ่ง แม่ของเย่เชินหลิน ฝู้เฟิ่งหยี
ฝู้เฟิ่งหยีจะไปทานอาหารมังสวิรัติและสวดมนต์ที่วัดผุโถตลอดทั้งปี นอกจากจะกลับไปหาลูกชายและหลานชายของตัวเองที่เมืองตงเจียงในวันปีใหม่ ก็จะอยู่ที่วัดผุโถตลอดเวลา ในวันนี้ เธอก็ได้รับจดหมายนิรนาม ซึ่งได้กล่าวถึงข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับหลานชายของฝู้เฟิ่งหยีเพียงสั้นๆ
เธออ่านจดหมายนั้นจบ สีหน้าก็ดูปกติ พร้อมกับโยนจดหมายนั้นลงในถังขยะ เธอใช้ชีวิตมาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่เคยพบเจอ สิ่งแรกที่นึกถึงตอนนี้คือจุดประสงค์ของคนส่งจดหมาย เธอเรียกสาวใช้มาและออกคำสั่งว่า “กลับไปที่เมืองตงเจียงแล้วไปสืบอะไรมาให้ฉันหน่อย”
ไม่สบายใจเลย ความไม่สบายใจปกคลุมไปทั่วตัวติงยียี เธอยืนอยู่หน้าประตูไม้ ผู้คนรอบๆเธอก็เข้ามาในห้องจากด้านข้างอย่างเร่งรีบ เธอมองไม่เห็นสีหน้าของคนเหล่านั้นเลย
เสียงเดินขบวนวิวาห์ดังมาจากด้านในประตูอีกครั้ง ทั้งสองคนค่อยๆเดินเข้ามาหาเธอ อ้าวเสว่ควงแขนของเย่เนี่ยนโม่เอาไว้ ยิ้มจนตาหยี
เธออยากจะหนีออกมา แต่ว่าก็พบว่าขาของเธอไม่สามารถขยับได้เลย เธอมองไปที่เย่เนี่ยนโม่ที่มีสีหน้าเรียบเฉยและพาอ้าวเสว่มาอยู่ตรงหน้าเธอ เธอมองเขาด้วยความกังวล แต่ว่าสายตาของเขากลับมองไปที่อ้าวเสว่คนเดียว
ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ก็เปลี่ยนไป เด็กคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเธอ ด้านหลังของเด็กคนนั้นมีคนเดินตามมา 2 คน เสียงหัวเราะของพวกเขาดูมีความสุขมาก ดูรักและโอ๋เด็กคนนั้นมาก สายตาของเธอเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เย่เนี่ยนโม่มองเธอ สายตาของเขาเย็นชา “สวัสดี”
“ไม่นะ!”เธอกรีดร้องแล้วก็ตื่นขึ้นมา ม่านสีน้ำเงินเข้มยังคงปิดสนิท ไม่รู้ว่าข้างนอกหน้าต่างเป็นกลางวันหรือกลางคืน มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นตลอดเวลา เธอถอนหายใจอย่างหนัก มัดผมที่ยาวถึงบ่าของเธออย่างเหน็ดเหนื่อย และลุกจากเตียงเพื่อเปิดประตู
ไม่มีใครอยู่ข้างนอก เธอมองไปรอบๆสี่ด้านด้วยความสงสัย ตอนที่กำลังจะปิดประตูนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูจากชั้นบน เสียงของเย่ชูหวินดูวิตกกังวลเป็นอย่างมาก “ยียีเปิดประตูหน่อย”
เธอเบิกตาโพลงขึ้นมา น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ ตอนที่เธอรู้สึกอ่อนแอที่สุด ที่แท้ก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่คอยเป็นห่วงเธอแบบนี้ มีเสียงอ่อนดังขึ้นมาจากชั้นบน นั่นก็คือเสียงของเด็กมัธยมที่อาศัยอยู่ชั้นบนนั่นเอง เธอพูดว่า “พี่ยียีอยู่ชั้นล่าง ไม่ต้องเคาะแล้ว ฉันฟังเธอเคาะมาทั้งตึกแล้วเนี่ย”
ติงยียียืนเงียบอยู่ตรงนั้น เธอใช้แขนปาดน้ำตาจนแขนเสื้อเปียกไปหมด แล้วน้ำตาก็หยุดไหล ในไม่ช้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าบนบันได และร่างหนึ่งก็วิ่งลงมา
เธอถูกโอบกอดด้วยแรงมหาศาลก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร เย่ชูหวินผอมมาก ซี่โครงของเขาแทงเธอเล็กน้อย และมือของเขากอดเธอแน่นมากถึงเธอถึงกับหายใจไม่ค่อยออกเลยทีเดียว
“มาได้ยังไงเนี่ย”เธอแสร้งทำเป็นพูดอย่างผ่อนคลาย แต่น้ำเสียงที่แหบแห้งกลับเผยให้เห็นอารมณ์ที่แท้จริงของเธอ
เย่ชูหวินกอดเธอ ลมหนาวจากบันไดเวียนเข้ามาทางหน้าต่าง เขารู้สึกถึงร่างผอมบางของเธอ และในที่สุดก็ปล่อยไปอย่างไม่เต็มใจ
ทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ ติงยียีนั่งอยู่บนโซฟา แล้วก็ต้องรู้สึกประหลาดใจที่พบดอกลิลี่บานอยู่บนโต๊ะกาแฟ ในนั้นมีหนึ่งหรือสองดอกเกิดสีน้ำตาลเล็กน้อย ดูเหมือนว่าพวกมันน่าจะอยู่ในแจกันมาตั้งแต่สองสามวันก่อน
เย่ชูหวินมองดูดวงตาที่แดงก่ำของเธอ แล้วก็รู้ในทันทีว่าเธอเพิ่งร้องไห้มา เขาทำอะไรไม่ถูก แล้วความรู้สึกผิดจับกุมตัวเขาอย่างรุนแรงทำให้เขาเจ็บจนหายใจไม่ออก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ติงยียีก็เป็นคนที่ทำลายความเงียบก่อน “เธอเองก็รู้แล้วใช่ไหม”
เย่ชูหวินตะลึงไป เขาเม้มปากและพยักหน้า “ขอโทษด้วย ผมห้ามไม่ได้”
ติงยียีหันไปมองเขา ผมที่ถูกมัดอย่างไม่ได้ตั้งใจตกลงมาที่ไหล่ของเธอ ลูบคอขาวๆของเธอเบาๆ ทันใดนั้นเธอก็ยิ้มและพูดว่า “นายบอกว่าฉันจะดูดีขึ้นถ้าฉันไว้ผมยาว”
การที่เธอไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป ทำให้เย่ชูหวินรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เขาพยายามที่จะมองหน้าเธอ แล้วก็พบว่าตอนนี้ผมของเธอยาวจนสามารถมัดหางม้าได้อย่างง่ายดายแล้ว เขากะพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์ “ตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่”
ติงยียีม้วนผมขึ้นโดยไม่รู้ตัวแล้วก็ค่อยๆพูดว่า “ก่อนหน้านี้ฉันคิดมาตลอดว่าผู้หญิงผมยาวนั้นอ่อนแอ พวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำตัวเหมือนเด็กและทนลมฝนไม่ได้ และฉันไม่อยากเป็นผู้หญิงแบบนั้น ”
เธอชะงักไปและเงยหน้ามองเขา เห็นว่าตาของเขาดูสงบ ไม่ได้มีความเห็นใจ เธอถึงได้วางใจและพูดว่า “อยากเป็นคนประเภทที่เผชิญทุกอย่างได้อย่างสงบนิ่ง ฉันเลยตัดผมยาวทิ้งและคิดว่าฉันทำได้ ฉันเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ ”
เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย มือที่อุ่นและหนากุมมือที่เย็นเฉียบของเธอเอาไว้ การสลับกันของความเย็นและความร้อนทำให้หัวใจของเธอจมดิ่งลง เธอดึงมือของตัวเองออกเหมือนไฟช็อต