สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1576หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1416
เธอพินิจพิจารณาหญิงชราอย่างเงียบๆ อีกฝ่ายกลับดูเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรอย่างนั้น แต่ว่าหางตาค่อยๆเหล่มองมาทางเธอ เหล่มองแบบนี้ทำให้เธอตื่นตระหนก หญิงชราคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
“ท้องแล้วก็อย่าดื่มกาแฟ” ฝู้เฟิ่งหยีพูดลากเสียงยาว ซางหัวที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอก็รีบยกแก้วกาแฟตรงหน้าอ้าวเสว่ออกทันที
อ้าวเสว่โกรธมากแต่แสดงท่าทีอะไรไม่ได้ ฝู้เฟิ่งหยีมองผู้หญิงตรงหน้าคนนี้อย่างพินิจพิจารณา จากนั้นสายตาก็มองไปที่ท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยของเธอ
แน่นอนว่าเธอสืบมาแล้ว ผู้หญิงคนนี้เติบโตมาพร้อมกับหลานชายของเธอ ดูเหมือนไอคิวจะสูงมาก ความจำต่างจากคนทั่วไป ยกเว้นมีผู้ชายคนหนึ่งที่เธอค่อนข้างให้ความสนใจ หลังจากดื่มชาจนคล่องคอแล้ว เธอลูบแหวนมรกตกลมๆ ที่นิ้วของเธออย่างไม่ได้ใส่ใจ “ลูกชายของจิ่วจิ่วมีความสัมพันธ์อะไรกับเธอ”
จิ่วจิ่ว? อ้าวเสว่อึ้งไปก่อน จากนั้นก็นึกถึงเหยนหมิงเย้า ใจเต้นไม่หยุด หญิงชราคนนี้น่ากลัวเหลือเกิน ไปสืบเรื่องของเธออย่างเงียบๆ เธอลองต่อต้าน “ไม่ทราบว่าท่านคือ…”
“ตระกูลเย่ไม่ต้องการคนที่ต่อต้านฉัน” ฝู้เฟิ่งหยีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก มองสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันทีของผู้หญิงตรงหน้าอย่างพอใจ ถ้าต้องการให้แม่เข้ามาตระกูลเย่ด้วยสถานะที่สูงส่งเท่ากับลูกเพื่อมาปรนนิบัติหลาน ผู้หญิงคนนี้ยังต้องอบรมสั่งสอนให้ดีก่อนถึงจะได้
อ้าวเสว่รู้สึกหงุดหงิดในใจ เธอเดาว่าคนนี้อาจจะเป็นแม่ของคุณลุงเย่ ไม่กล้าล่วงเกินอีก รีบพูดว่า “ฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ เขาคอยตามตื๊อฉันตลอด แต่ฉันรักเนี่ยนโม่เพียงคนเดียวค่ะ”
เธอไม่กล้าเงยหน้า เกรงว่าหญิงชราตรงหน้าจะมองพิรุธออก ในเมื่อเธอเป็นคนฉลาด ถ้าเธอมองออกว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของเย่เนี่ยนโม่ก็จบเห่แน่
พักใหญ่ ฝู้เฟิ่งหยีพูดอย่างเย็นชาว่า “จิ่วจิ่วเป็นลูกสาวบุญธรรมของฉัน ลูกชายของเขาถือว่าเป็นหลานชายของฉันครึ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน”
อ้าวเสว่เงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยความตกใจ จากนั้นก็รีบก้มหน้าอย่างรวดเร็ว ซางหัวที่คอยทุบหลังให้ท่านนายเย่อยู่ข้างๆ ในใจก็กลับมีความคิดบางอย่างขึ้นมา ท่านนายเย่คนนี้ แม้จะฉลาด แต่ก็รักหลานชายมาก ถ้าใช้ประโยชน์จากจุดนี้ เธอก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเข้าตระกูลเย่ไม่ได้
ภายในห้องเงียบกริบ แฝงด้วยความกดดันที่ทำให้คนหายใจไม่ออก หลังจากฝู้เฟิ่งหยี เห็นผลของการกดดัน เป็นไปตามที่ต้องการแล้วจึงเอ่ยอย่างพอใจว่า “หลานของตระกูลเย่ฉันจะไม่ไประหกระเหินอยู่ข้างนอกแน่นอน เธอเดินไปพร้อมกับฉัน ส่วนผู้หญิงคนนั้นเธอก็ไม่ต้องเอามาใส่ใจ บำรุงดูแลลูกในท้องให้ดี”
อ้าวเสว่ตกใจเล็กน้อย ในใจมั่นใจว่าเธอก็คือเย่เฟิ่งหยีแม่ของคุณลุงเย่ ระงับความตื่นเต้นในใจได้แล้วเธอก็ตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ค่ะ! คุณย่า!”
เธอคิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะสมดั่งใจหวังโดยไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อย ว่ากันตามเหตุผลความเป็นไปได้ที่จะเข้าตระกูลเย่ของเธอทั้งหมดไม่มีเหลือแล้ว ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีคนทีมีอำนาจมากที่สุดโผล่ออกมากลางทาง ไม่เพียงช่วยให้เธอเข้าตระกูลเย่ได้ และยังช่วยเธอรับมือติงยียีด้วย มีเธออยู่ ติงยียีกับเย่เนี่ยนโม่ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว!
ฝู้เฟิ่งหยีพอใจมากที่เธอเดาได้ว่าตนเองเป็นใคร เป็นเด็กที่ฉลาดมีไหวพริบ อีกทั้งพ่อเธอคือสวีเห้าเซิงนักวิทยาศาสตร์ ถือว่าฐานะเหมาะสมคู่ควรกัน แต่ว่าแม่คนนั้นของเธอ เธอยังหาข้อมูลที่มากกว่านี้ไม่ได้เลย
ทันใดนั้นบรรยากาศในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบนี่ทำให้อ้าวเสว่เริ่มกระสับกระส่ายขึ้นมา ไม่แน่ใจว่าทำไมบรรยากาศที่เพิ่งจะอบอุ่นเมื่อครู่ถึงกลายเป็นเย็นยะเยือกลงมาถึงจุดต่ำสุดได้
ฝู้เฟิ่งหยีมองเห็นสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อยของเธอ โบกมือไปทางด้านหลังซางหัว รีบก้าวไปข้างหน้าและเปิดกล่องเครื่องประดับอันวิจิตรสวยงาม ข้างในเป็นสร้อยข้อมือมรกตเส้นหนึ่ง อ้าวเสว่แค่มองดู ก็รู้ว่านี่คือจักรพรรดิแห่งอัญมณีสีเขียวที่ดีที่สุดในปัจจุบัน บวกกับฝีมือการออกแบบ สร้อยข้อมือนี้ราคาหนีไม่พ้นหนึ่งแสนหยวน
“ขอบคุณค่ะคุณย่า!” อ้าวเสว่รีบขอบคุณ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมเชื่อฟัง
ประตูถูกเปิดออก เย่เนี่ยนโม่เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “คุณย่า” เขาคลี่ยิ้ม หญิงชราที่รักและเอ็นดูเขาอย่างยิ่งตั้งแต่เด็ก เขาก็ให้ความเคารพอย่างมาก
“หลานชายของฉัน!” ฝู้เฟิ่งหยีรีบลุกขึ้นยืน ไม่ต้องให้ซางหัวประคอง เดินไปอย่างรวดเร็ว บีบมือของเย่เยี่ยนโม่ไม่ปล่อย สายตามองเขาอย่างพินิจพิจารณา แม้เย่ชูหวินเองก็เป็นหลานชายเขา เธอก็รักและเอ็นดูมาก แต่ในใจส่วนลึกของเธอ ก็ยังชอบเย่เนี่ยนโม่ที่มีนิสัยคล้ายกับลูกชายเย่เชินหลินมากกว่า
เย่เนี่ยนโม่เหลือบมองไปยังอ้าวเสว่ที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างอ่อนน้อมเชื่อฟัง “คุณย่า ทำมาไม่บอกกันสักคำเลยครับ ให้ผมไปรับคุณย่าก็ได้”
ฝู้เฟิ่งหยีหัวเราะอย่างร่าเริงพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้อง ย่ายังไม่ได้แก่ขนาดนั้น ยังไปไหนมาไหนได้! ไป ไปกินข้าวเป็นเพื่อนย่า!”
เย่เนี่ยนโม่ตอบรับ ประคองฝู้เฟิ่งหยีเดินไปข้างนอกซางหัวรีบเข้าไปประคองฝู้เฟิ่งหยีอีกด้านหนึ่ง ไม่ทันระวังนิ้วมือไปสัมผัสกับเย่เนี่ยนโม่ เธอใจเต้นรัว รีบก้มหน้า แต่กลับพบว่าสีหน้าอีกฝ่ายยังคงเป็นปกติเช่นเดิม ความผิดหวังเกิดขึ้นในใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
อ้าวเสว่ลังเลอยู่ชั่วขณะ แล้วก็เดินตามไป ไปบ้านตระกูลเย่ เธอไม่ต้องแม้แต่จะเก็บของเตรียมตัวอะไร เดินตามพวกเขาไปได้เลย เดินไปถึงด้านรถ เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วมองอ้าวเสว่
“เนี่ยนโม่ นับตั้งแต่วันนี้ อ้าวเสว่จะเข้าไปอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ ข้อนี้หลานคงไม่ขัดใจย่านะ”ฝู้เฟิ่งหยีพูดเบาๆ
เย่เนี่ยนโม่ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น พักใหญ่คิ้วจึงค่อยๆคลายออก “ผมจะเชื่อฟังคุณย่าครับ”
อ้าวเสว่ถอนหาบใจยาว กำลังคิดจะขึ้นรถ เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วพูดอย่างรำคาญว่า “ไปนั่งคันหลังโน่นไป”
เธออึ้ง น้ำตาเอ่อที่ขอบตาทันที ฝู้เฟิ่งหยีมองเห็นอย่างชัดเจน และก็รู้ว่าหลานชายตนเองไม่ได้ชอบอ้าวเสว่ เธอตบที่หลังมือหลานชายเบาๆ พูดว่า “ซางหัวเธอไปดูแลเสี่ยวเสว่ไป ฉันมีเรื่องจะคุยกับหลานชายฉันพอดี”
อ้าวเสว่มองออกว่าฝู้เฟิ่งหยีกำลังหาทางออกให้เธอ เธอรีบพยักหน้า ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง “คุณย่า คุณย่าไปก่อนนะคะ”
ฝู้เฟิ่งหยีพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วจึงนั่งลงในรถ เย่เนี่ยนโม่มองเธอด้วยสีหน้าสับสน จากนั้นจึงหมุนตัวไปนั่งอีกด้านของรถ
รถยนต์ขับมุ่งหน้าไปบ้านตระกูลเย่อย่างราบรื่นมั่นคง ฝู้เฟิ่งหยีตบหลังมือเย่เนี่ยนโม่เบาๆ “ช่วงนี้ชูหวินเป็นยังไงบ้าง เขาไม่ได้มาเยี่ยมยายแก่อย่างฉันคนนี้นานแล้ว”
เย่เนี่ยนโม่ไม่กล้าบอกเรื่องที่เย่ชูหวินเป็นโรคหัวใจกับเธอ ได้แต่โกหกว่า “เขาสบายมาก ตอนนี้ก็ยังอยู่ในประเทศครับ กลับไปผมจะให้เขามาเยี่ยมคุณย่า”
ฝู้เฟิ่งหยีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ตอนนี้ในท้องอ้าวเสว่คือเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเย่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาเด็กคนนี้ไว้ให้ได้ ดังนั้นช่วงนี้หลานก็ลำบากหน่อยนะ สำหรับเรื่องผู้หญิง ถ้าไม่ชอบคนนี้ต่อไปย่าจะหาคนที่ดีกว่านี้ให้หลาน”
เย่เนี่ยนโม่สัมผัสได้รางๆว่าคุณย่ารู้เรื่องติงยียีแล้ว แต่ว่าอีกฝ่ายไม่พูด เขาก็ไม่ไปชี้โพรงให้กระรอก เวลานี้ติงยียีไม่สามารถรับการเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว เขาพยักหน้า “เข้าใจครับคุณย่า”
สองคนนี้เล่าความหลังอันแสนอบอุ่น ภายในรถด้านหลังอ้าวเสว่จ้องมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างเจ็บปวด เมื่อครู่เธอมองเห็นการปฏิเสธในแววตาของเย่เนี่ยนโม่ได้ชัดเจน สองมือเธอลูบที่ท้องซึ่งนูนขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวตอนนี้ขอแค่เธอมีไพ่ใบนี้เท่านั้น แต่เข้าตระกูลเย่ได้แล้วเธอจะมีความสุขจริงเหรอ อยู่กับคนที่ไม่ได้รักตัวเองตลอดทั้งวันจะมีความสุขได้จริงเหรอ
ในใจเธอสับสนไปหมด แต่กลับไม่มีคำตอบ ซางหัวที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆมาตลอดจู่ๆก็พูดขึ้นว่า “คุณผู้หญิงคุณอย่าเสียใจไปเลยนะคะ”
อ้าวเสว่หันมามองเธอ ผู้หญิงข้างกายเธอคนนี้รู้ดีว่าเย่เนี่ยนโม่ไม่ได้ชอบตนเอง ยังจะเรียกคุณผู้หญิงอย่างหน้าชื่นตาบานอยู่ได้ ต้องมีแผนอะไรอยู่แน่ แต่เธอก็ไม่ขัด ได้แต่ส่ายหน้าคล้อยตามคำพูดเธอ
“คุณผู้หญิงคะ ตอนนี้ท่านนายเย่กลับมาแล้ว มีคนออกหน้าแทนคุณแล้ว คุณต้องการให้ข่าวนี้ลือสะพัดออกไปไหมคะ ให้คนที่มีใจคิดอกุศลต่อคุณชายรู้ตัวจะได้ถอยหนีไป”
อ้าวเสว่มองเธอ แต่ในใจกลับหัวเราะเยาะ ผู้หญิงที่ชื่อว่าซางหัวคนนี้ฉลาดจริงๆ ให้ตนเองไปโอ้อวดเยาะเย้ยติงยียี จากนั้นทำให้เย่เนี่ยนโม่เกลียดตนเองเหรอ? เธอไม่ได้โง่ขนาดนั้น แต่ในเมื่อเธอวางแผนเสแสร้ง เช่นนั้นเธอก็ต้องให้ความร่วมมือกับเธอหน่อย
“ไม่ ไม่ต้องแล้ว ตอนนี้ฉันคิดแค่จะคลอดลูกคนนี้ออกมาอย่างปลอดภัยดีเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นฉันไม่อยากจะสนใจแล้ว” สีหน้าอ้าวเสว่อ่อนเพลีย มือสองข้างลูบคลำที่ท้องเบาๆ ในแววตาเต็มไปด้วยความอ่อนแอไร้ที่พึ่ง
ซางหัวร้อนใจขึ้นมาแล้วจริงๆ เธอคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว “คุณผู้หญิงคะ ฉันหวังดีต่อคุณจริงๆนะคะ ผู้หญิงคนนั้นเลวจริงๆ แย่งชิงความสุขที่ควรจะเป็นของคุณ เรื่องนี้ให้ฉันเป็นคนจัดการให้นะคะ ขอแค่ต่อไปคุณได้เป็นนายหญิงของตระกูลเย่แล้วจริงๆ ให้ฉันเป็นคนของตัวเอง ฉันก็พึงพอใจมากแล้วค่ะ”
อ้าวเสว่มองเธออย่างพินิจพิจารณาเงียบๆ จุดประสงค์ของผู้หญิงคนนี้แค่อยากจะหาผลประโยชน์เล็กน้อยหลังจากตนเองได้เป็นนายหญิงแล้วจริงเหรอ เธอไม่เข้าใจเล็กน้อย แต่ในเมื่อเธออยากรนหาที่ตายเองอย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตนเอง ตนเองนั่งรอเก็บผลประโยชน์เฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ
สองมืออ้าวเสว่กุมมือของซางหัวเบาๆ “ถ้าฉันได้เป็นนายหญิงจริงๆ เธอต้องได้ผลประโยชน์ไม่น้อยแน่นอน ถึงตอนนั้นฉันจะส่งเธอไปเรียนต่างประเทศ”
ซางหัวยิ้มอย่างสวยหวานแต่วิปริต ในใจรู้สึกสะใจอย่างที่สุด ใครต่างก็รู้ดีว่าตนเองดูแลปรนนิบัติอ้าวเสว่มาตลอด เช่นนั้นถ้าคนใช้เกิดเรื่องขึ้น คนอื่นก็ไม่มีทางคิดว่าเป็นความผิดของคนใช้ ได้แต่คิดว่าเป็นการบงการของเจ้านายเบื้องหลังคนใช้ทั้งหมด
“พายุแห่งการนองเลือดกำลังเริ่มขึ้น ไม่มีใครสามารถหลีกหนีจากมันได้ และไม่สามารถถอนตัวออกกลางคันได้ คุณจะเห็นได้เพียงว่าใครต่อสู้อย่างกระหายเลือด สุดท้ายก็จะได้ยืนบนจุดสูงสุดแห่งชัยชนะ”
“คัท!” ผู้กำกับตะโกน ไม่พอใจเล็กน้อย “ยียี ช่วยใส่อารมณ์ไปหน่อยได้มั้ย คุณพูดแบบนี้ผมรู้สึกเหมือนว่าคุณกำลังเล่านิทานให้อีกฝ่ายฟัง ไม่ใช่การประกาศสงครามกับอีกฝ่าย!”
ติงยียีรีบขอโทษ ผู้กำกับโบกมือ ทุกคนไปพัก ชิวไป๋หยิบกระติกน้ำเล็กๆพลางเดินมา “ไม่เป็นไร ค่อยๆแก้ อย่างไรก็ตามเธอก็แค่มาที่นี่เล่นๆเท่านั้นไม่ได้จริงจังอะไร”
“มาเล่นๆก็ต้องตั้งใจนะ” ติงยียีถอนหายใจ นี่คือภาพยนตร์ที่จะฉายในช่วงตรุษจีน ในหนังมีตัวละครหนึ่งตัวที่ออกฉากแค่สี่ครั้ง บทพูดรวมกันทั้งหมดไม่เกินสิบประโยค นักแสดงหลายคนไม่ยอมรับเล่น ชิวไป๋คิดว่าให้ติงยียีรับบทแบบนี้บ้างก็ดี ไม่เหนื่อยแล้วยังเฉิดฉายด้วย พอบอกกับจางจื๋อหรุ่ย อีกฝ่ายก็ตอบรับทันทีเลย
“ติงยียี มีคนมาหาคุณที่หน้าประตู” ผู้ช่วยกองถ่ายเดินมาพูดตรงหน้าติงยียี สีหน้าเธอตื่นเต้นเล็กน้อย กะพริบตาปริบ “เป็นหนุ่มหล่อด้วย!”
เย่ชูหวินยืนอยู่นอกกองถ่ายมองติงยียีพลางยิ้มสดใส เขาดูผอมสูงในชุดเสื้อบุขนสีขาว ท่ามกลางแสงแดดในฤดูหนาว
“ผมมารบกวนคุณหรือเปล่า” เย่ชูหวินยิ้มพลางเอ่ยถาม ในดวงตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ที่มีต่อเธอ