สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1610 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1450
อ้าววเสว่ตกใจ ถามอย่างระมัดระวังว่า “ทำไมเหรอ”
เย่ป๋อเห็นคุณชายไม่ได้แย้งอะไร จึงอธิบายว่า “ผู้ชายคนนั้นตอนแรกอยากจะเข้ามาที่ศูนย์การค้าสากล แต่ว่าพวกเราสืบพบว่าเบื้องหลังเขาไม่สะอาดบริสุทธิ์ ดังนั้นก็เลยปฏิเสธ เมื่อครู่คนของเขาอยู่ด้านนอก ถ้าหากรับของเอาไว้อีกไม่นานตำรวจคงมาหาถึงที่บ้าน ถึงเวลานั้นคุณชายก็คงแก้ตัวไม่ได้”
อ้าวเสว่ฟังอย่างอกสั่นขวัญแขวน อดที่จะรู้สึกโล่งใจไม่ได้ แต่ที่ยิ่งทำให้เธอกังวลก็คือติงยียีจะเอาเรื่องนี้มาข่มขู่ตนเอง เวลานี้เอง พ่อบ้านก็พยุงเย่เฟิ่งหยีเดินเข้ามา
“เนี่ยนโม่ วันนี้เป็นวันครบรอบของคุณปู่ ชีหรั่นกับเชินหลินไม่อยู่ คืนนี้ให้ชูหวินออกไปทานข้าวด้วยกัน” สีหน้าเย่เฟิ่งหยีมีความเศร้าโศกเล็กน้อย อ้าวเสว่รีบไปรับช่วงต่อพ่อบ้านประคองเธอไว้ เย่เฟิ่งหยีตบที่หลังมือเธอเบาๆ “อ้าวเสว่เองก็ไปด้วยกันนะ ให้เขาได้เห็นหลาน ช่วยอวยพรหลานให้ปลอดภัย”
ติงยียียืนอยู่ด้านข้าง ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกัน ก็รู้ว่าตนเองเป็นส่วนเกิน เธอค่อยๆเดินจากไป เย่เนี่ยนโม่มองตามเธอไป สุดท้ายก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร
เวลาผ่านไปเร็วมาก ติงยียีลูบศีรษะแพนด้า ด้านนอกมีเสียงบรรดาสาวใช้พากันเดินอย่างรีบร้อน นั่นคือพวกเธอกำลังปรนนิบัติรับใช้เย่เฟิ่งหยี อ้าวเสว่แล้วก็เย่เนี่ยนโม่ เตรียมส่งพวกเขาออกจากบ้าน
ติงยียีนั่งอยู่บนเตียงคนเดียว เป็นเวลาอาหารแล้ว ท้องเธอส่งเสียงร้องจอกๆแล้ว แต่เธอรู้ว่าวันนี้คงไม่มีอาหารค่ำให้กินแล้ว เธอถอนหายใจ “เด็กดี เดี๋ยวฉันจะลงไปที่ห้องครัวหาอะไรมาให้แกกินก่อนนะ อดทนอีกนิด”
ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิด อ้าวเสว่เดินเข้ามา เธอใส่ชุดกระโปรงหลวมๆ บนคอเล็กเรียวสวมเครื่องประดับที่ตกแต่งด้วยหินโมเสก
“ฉันคิดว่าเธอควรจะไปเรียนวิธีการเคาะประตูนะ” สีหน้าติงยียีมองเธออย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก นิ้วมือเธอเลื่อนไปมาบนขนที่เงาวับของแพนด้า
“ตอนนี้ที่บ้านตระกูลเย่เธอก็เหมือนกับอากาศ ฉันอยากจะเข้าไปในห้องที่ไม่มีคนไม่เป็นจำเป็นต้องเคาะประตูหรอกนะ” อ้าวเสว่เอากระเป๋าสะพายวางบนโต๊ะ เธอแบกท้องที่โตอย่างเหนื่อยล้า นั่งลงมา
เธอเพิ่งจะนั่งลง แพนด้าส่งเสียงขู่คำรามหนึ่งครั้งแล้วก็ลุกขึ้นมา ดวงตาคมกริบคู่นั้นที่อยู่ในแสงไฟสลัว มองจนคนกลัวตัวสั่น อ้าวเสว่ตกใจ ลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่ได้ แพนด้าจึงได้นอนลงไปใหม่
ติงยียีมองเห็นสายตาที่เธอมองแพนด้าแสดงออกถึงความเกลียดชัง เธอลุกขึ้นมาขวางสายตาที่เธอมองแพนดาอย่างเงียบๆ “มีเรื่องอะไรเหรอ”
อ้าวเสว่ดึงสายตากลับมา “เรื่องวันนี้ห้ามเธอไปบอกคนอื่น”
ติงยียีมองเธออย่างแปลกใจ “ถ้าฉันคิดร้ายกับเธอจริงตอนนั้นฉันคงไม่เตือนเธอหรอก!”
“นั่นก็ไม่แน่ ใครจะไปรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ!” อ้าวเสว่เบ้ปาก มีเสียงสาวใช้ร้องเรียกเธอดังมาจากบันได เธอสะบัดชายกระโปรง หยิบกระเป๋าสะพายมาถือไว้ในมือ ยิ้มพลางมองไปยังติงยียี “คุณย่ากำลังเรียกหาฉัน พวกเราจะออกไปแล้ว”
ไม่รอให้ติงยียีตอบอะไร เธอก็เดินออกไปอย่างมีความสุข ติงยียีเดินไปที่ระเบียง มุมที่ระเบียงสามารถมองเห็นสถานการณ์ที่ประตูใหญ่ได้พอดี อ้าวเสว่รับหน้าที่พาเย่เฟิ่งหยีเข้าไปนั่งในรถ แม่บ้านหลายคนที่ปรนนิบัติดูแลอ้าวเสว่และเย่เฟิ่งหยีนั่งอยู่ในรถด้านหลัง
ติงยียีมองเห็นเพียงแค่ร่างของเย่ป๋อแวบๆ เธอมองเข้าไปในรถโดยไม่รู้ตัว เห็นใบหน้าเย่เนี่ยนโม่รางๆอยู่ในรถ เห็นแค่ว่าเขาก้มหน้าเล็กน้อย เหมือนกำลังตั้งใจฟังเย่เฟิ่งหยีพูดอะไรบางอย่าง
ติงยียีมองจนใจลอย ทันใดนั้นเย่เนี่ยนโม่ที่อยู่ในรถก็ค่อยหันหน้ามา เหมือนกับว่าสายตาเขามองมาทางที่เธออยู่ เธอตกใจรีบไปซ่อนตัวในผ้าม่าน
จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงรถ ติงยียีจึงเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างอ่อนแรง นอกหน้าต่างก็ว่างเปล่า มีเพียงลำต้นของต้นไม้ที่รกร้าง บ้านทั้งหลังเงียบสงัดจนน่ากลัว
ติงยียีสูดลมหายใจลุกๆทันที เธอหมุนตัวไปตบมือ “เอาละ!แพนด้า! วันนี้ไม่มีใครอยู่ในบ้าน แกออกไปเล่นได้!”
ดูเหมือนว่าแพนด้าจะตื่นเต้นมาก มันกระดิกหางไปทางติงยียี ขนที่เงาวับค่อยๆตั้งชัน คนหนึ่งคนสุนัขหนึ่งตัวลงมาชั้นล่าง ทั้งห้องโถงเงียบสงัดไม่มีคนเลยสักคนเดียว
ติงยียีร้องตะโกนเสียงดัง ได้ยินเสียงดังสะท้อนอย่างที่เธอต้องการ เธอหมุนตัวสองสามครั้งในห้องรับแขกที่กว้างงใหญ่ สิ่งเหล่านี้ซึ่งปกติแล้วเธอทำไม่ได้เธอก็ทำจนหมดแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกเหงาอยู่ดี
“พวกเราไปดูว่าอาจารย์ทำอะไรกันเถอะ” ติงยียีเดินไปทางห้องพักแขก ที่ห้องพักแขกที่กว้างใหญ่ Alinกำลังจัดการกับหุ่นนางแบบตัวหนึ่งอยู่ ผ้าสีส้มบนตัวของนางแบบเปลี่ยนมาเปลี่ยนไป บนเคราของเขายังมีหมุดรูปตัวยูอยู่ด้วย
ติงยียีค่อยๆถอยออกมา ตอนที่อาจารย์กำลังออกแบบไม่ชอบให้คนอื่นมารบกวนเด็ดขาด เธอกลับไปที่ห้องรับแขกใหม่ หยิบรโมทขึ้นมาไม่รู้จะทำอะไรดี เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบ่นพึมพำว่า “โทรหาชูหวินหน่อยดีกว่า”
เพิ่งจะกดโทรออกไป ติงยียีก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เย่ชูหวินไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนเธอได้ เธอถอนหายใจอย่างแรง แกล้งทำเป็นมีความสุข “แพนด้าเราไปทำอะไรอร่อยๆกินกันเถอะ”
ที่โรงแรม เย่ชูหวินนั่งอยู่ข้างๆด้วยใบหน้าเยือกเย็น เย่เฟิ่งหยีพูดอย่างเป็นห่วงว่า “ชูหวิน ทำไมหลานยิ่งผอมลงเรื่อยๆ เมื่อวันก่อนย่าเพิ่งคุยโทรศัพท์กับเสี่ยวจุน เขากับฉิงฉิงอาจจะกลับมาก่อนวันตรุษจีน”
“คุณย่าครับผมไม่ได้เป็นอะไรครับ” เย่ชูหวินยิ้มให้เธอ ตอนที่ดวงตามองไปทางเย่เนี่ยนโม่กลับเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาปล่อยให้ติงยียีอยู่เพียงลำพังในบ้านได้อย่างไร หรือว่าเขาไม่รู้จักความโดดเดี่ยวอ้างว้างหรืออย่างไร ทุกคนต่างออกจากบ้าน เหลือเพียงเธอแค่คนเดียว นี่จะทำให้เธอรู้สึกอย่างไร
เขาหงุดหงิดไม่พอใจ ดื่มเหล้าตรงหน้ารวดเดียวจนหมด ยังไม่หายโกรธ หยิบไวน์ที่อยู่ข้างๆโต๊ะมาดื่ม มือใหญ่ข้างหนึ่งมาขวางเขาไว้ เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว “หยุดเถอะ!”
น้ำเสียงเขาดุดัน เย่เฟิ่งหยีรีบพูดว่า “เนี่ยนโม่ ช่วงนี้หลานกับชูหวินมีเรื่องอะไรกัน มีเรื่องอะไรก็พูดคุยกันดีๆ!”
“คุณย่า พวกเราไม่ได้มีเรื่องอะไรครับ” เย่ชูหวินเหล่มองเขา เขาเหวี่ยงศอกกลับไป เทไวน์จากขวดลงในแก้ว
อ้าวเสว่ดึงแขนเสื้อเย่เนี่ยนโม่ มีความกังวลอยู่ในแววตา เย่เนี่ยนโม่กลับมานั่งที่อีกครั้ง ในที่สุดบรรยากาศก็มีความปรองดองขึ้นมาบ้าง เย่เฟิ่งหยีจึงได้เบาใจขึ้น เธอน้ำตาคลอเบ้าคีบอาหารด้วยตะเกียบใส่ลงในชามเปล่าๆด้านข้าง พูดพึมพำเบาว่า “พวกหลานๆคุณก็เห็นหมดแล้ว ทุกคนต่างก็สบายดี แล้วก็ยังมีเหลนด้วย”
ในขณะที่รับประทานอาหาร อ้าวเสว่เล่าเรื่องตลกให้เย่เฟิ่งหยีฟังเธอหัวเราะจนตัวโยน เย่ชูหวินดื่มเหล้าไปไม่กี่อึก หน้าตาแดงก่ำเล็กน้อย
“คุณย่า ผมอาจจะเมาแล้ว ต้องออกไปสร่างเมาข้างนอกหน่อยครับ อย่าให้คุณปู่เห็นผมให้สภาพนี้” เย่ชูหวินลุกขึ้นยืนโอนไปเอนมา
เย่เฟิ่งหยีรีบให้พ่อบ้านไปเรียกคนขับรถ เธอสั่งว่า “ต้องหาคนที่มีประสบการณ์คนหนึ่งพาชูหวินไปส่งที่บ้าน”
เย่ชูหวินเดินออกจากประตูอย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่คนขับรถกำลังจะช่วยพาเขาเข้าไปในรถ ทันใดนั้นเขาก็ยืดตัวตรง แววตาตื่นตัว ไม่มีท่าทีเหมือนคนเมาเลย
ภายในห้องรับรองส่วนตัว สาวใช้กกำลังปอกกุ้งให้อ้าวเสว่ เย่เฟิ่งหยีเหลือบมองไปที่ท้องของเธอพูดว่า “ตอนนี้เตรียมซื้อเสื้อผ้าให้ลูกแล้วสินะ ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ทั้งนั้น”
อ้าวเสว่ฟังอย่างเรียบร้อย “เสื้อผ้ารอให้ลูกคลอดออกมาก่อนค่อยซื้อก็ได้นะคะ”
“แบบนี้ได้ยังไงกัน เนี่ยนโม่มีเวลาว่างตอนไหนพาอ้าวเสว่ไปห้างสรรพสินค้า อยู่ด้วยกันมากๆดีต่อลูกในท้อง” เย่เฟิ่งหยีค่อยๆหรี่ตามอง บนใบหน้ามีรอยยิ้ม เวลานี้เธอไม่ใช่ผู้ทรงอิทธิพลของตระกูลเย่แห่งเมืองตงเจียง เป็นแค่หญิงชราธรรมดาคนหนึ่งที่อยากจะหาสิ่งดีๆทุกอย่างให้กับทายาทรุ่นหลัง
เย่เนี่ยนโม่กลับไม่ได้ตกลงหรือปฏิเสธ ได้แต่เหลือบสายตามองไปทางข้อมืออย่างเงียบๆ เวลานี้เองประตูถูกผลักเปิด เย่ป๋อในชุดสูทรองเท้าหนังก็เดินเข้ามา เขาพูดอย่างจริงจังว่า “คุณชายครับ ประทานเตชินท์กำลังรอคุณชายอยู่ที่บริษัท คุณชายจะยกเลิกการประชุมกับเขาหรือจะไปตอนนี้เลยครับ”
คิ้วเย่เนี่ยนโม่ค่อยขมวดเข้าหากัน ราวกับกำลังคิดพิจารณา เย่เฟิ่งหยีที่อยู่ข้างๆพูดว่า “ไม่เป็นไรเนี่ยนโม่ งานเป็นเรื่องสำคัญ ที่นี่มีอ้าวเสว่อยู่เป๋นเพื่อนย่าก็พอแล้ว”
“งั้นผมไปจัดการเรื่องงานก่อนนะครับคุณย่า เสร็จแล้วก็จะกลับบ้าน” เย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้น พูดกับอ้าวเสว่ว่า“ดูแลคุณย่าให้ดีนะ”
ด้านนอกประตูโรงแรม รถยนต์สีดำคันหนึ่งพุ่งทะยานไปในความมืด แต่กลับเปลี่ยนเส้นทางจากทางที่จะไปบริษัทเย่ซื่อ ขับมุ่งหน้าไปอีกเส้นทาง
บ้านตระกูลเย่ ติงยียีเสียบผักสลัด ตรงหน้าเธอมีราเมง เค้ก คุ้กกี้ของกินเยอะแยะมากมาย เธอฉีกถุงเนื้อแห้งป้อนแพนด้า “ต้องโทษที่ฉันไม่ดี เวลาปกติกลัวว่าจะไปทำให้คนอื่นตกใจ ก็เลยไม่ได้ให้แกออกมาเล่นที่สนามหญ้าอย่างอิสระได้ ได้แต่หมกตัวอยู่ในห้อง”
เธอพูดพร่ำเพ้อไปเรื่อย แพนด้าเดินมาข้างๆเธอ หางฟูๆขยับขึ้นลงตบไหล่เธอเบาๆ ราวกับจะปลอบโยนเธอ
ติงยียีเปิดขวดโค้กแล้วกรอกเข้าปากอึกใหญ่ เธอกอดขวดโค้กเรอออกมา “ฮึๆ ตัวคนเดียวสบายกว่า อยากทำอะไรก็ทำ!”
เธอวางขวดโค้กลง ดึงอุ้งเท้าหน้าของแพนด้าให้ยืนขึ้นเหมือนคน คนหนึ่งคนกับสุนัขหนึ่งตัวเดินเข้าไปในห้องรับแขก เธอกำลังคิดจะหมุนตัวมา ก็มองเห็นเย่เนี่ยนโม่ที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่
ในมือเย่เนี่ยนโม่ยังถือกุญแจรถอยู่ เมื่อมองดูสีหน้าท่าทางของเธอที่มีรอยยิ้มซึ่งไม่ปกปิดไว้ไม่อยู่ ดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยของความเสียใจภายหลังกับสิ่งที่ทำไป “เต้นได้ไม่เลว”
“คุณไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” ติงยียีหมุนตัวไปคิดจะเดินหนี ทันใดนั้นลมที่อยู่ลำคอก็พุ่งออกมาที่โพรงจมูก “เอิก”
เธอเอามืออุดปากตัวเองไว้ เดินไปข้างหน้าด้วยความเขินอายเล็กน้อย เดินยังไม่ถึงบันได เสียงเพลงอันไพเราะก็ดังขึ้นในห้องนั่งเล่น
เย่เนี่ยนโม่เดินไปตรงหน้าเธอตามจังหวะเพลงวอลทซ์ ยื่นมือออกไปทำท่าทางเชื้อเชิญ ติงยียีไม่ขยับ ได้แต่ยืนนิ่งๆ จนกระทั่งจบเพลง
“ตกลงว่าคุณเห็นฉันเป็นอะไรกันแน่ ตอนนี้เพราะว่าคุณย่ากับอ้าวเสว่ไม่อยู่ คุณก็เลยยิ้มให้ฉันเหรอ” แรงของติงยียีที่จับอยู่บนราวบันไดค่อยๆเพิ่มมากขึ้น
เขาจะโต้เถียงมั้ย หรือว่าเดินจากไป หรืออาจจะโกรธ เธอคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่พูดไม่จาอะไรเดินไปทางด้านนอก
หัวใจติงยียีหดตัวเป็นก้อน ขมขื่น เธอพูดจาออดอ้อนอ่อนหวานพวกนั้นไม่เป็น ทำตัวเป็นผู้หญิงบอบบางตัวเล็กๆข้างกายเขาไม่ได้
เขาเดินไปสองสามก้าว หันมา “ตามมา”