สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1613 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1453
ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดของเขาลอยไปหาร่างของคนที่ยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมา จนกระทั่งอ้าวเสว่เรียกเขาอยู่หลายครั้ง เขาจึงได้สติคืนมาแล้วขมวดคิ้วมองเธอ คล้ายกับไม่พอใจที่เธอรบกวน
“เนี่ยนโม่ คุณคิดว่าทรงผมใหม่ของฉันสวยไหม” อ้าวเสว่คิดจะเบนความสนใจของเขาอย่างเร่งรีบ เธอรู้ว่าท่าทางแบบนี้ของตัวเองคล้ายกับติงยียีอยู่บ้าง เธอเฝ้ารอแววตาประหลาดใจ หรือจะเอ่ยถามขึ้นมาก็ยังดี
“เลื่อนเวลาออกไปห้านาทีค่อยออกจากบ้าน” เย่เนี่ยนโม่เพียงแค่กวาดตามองเธอ เขาก้าวเท้าเดินไปทางบันไดอย่างรวดเร็ว เขาใส่ใจมาก ใส่ใจใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาอย่างเลือนราง ใส่ใจความรู้สึกเลือนรางแบบนั้น
แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างลงบนระเบียงทางเดิน เขาผลักประตูที่ไม่ได้ลงกลอนให้เปิดออก ยืนมองติงยียีที่นอนหลับสนิทอยู่บนพื้นเงียบๆ ในอ้อมแขนของเธอมีหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง ข้างกายเต็มไปด้วยกระดาษที่วางกระจัดกระจาย
บนกระดาษวาดภาพร่างที่ออกแบบ ดินสอหลากสีกระจัดกระจายอยู่บนพื้น เธอถูกของเหล่านี้โอบล้อมเอาไว้ ขดตัวอยู่บนพรมขนแกะ แพนด้าวิ่งวนอยู่รอบเธอ ปกป้องเธอ
เขาส่ายหน้าให้กับแพนด้า ส่งสัญญาณไม่ให้มันส่งเสียง จงใจผ่อนฝีเท้าแผ่วเบา ขณะเหยียบลงบนพรมขนแกะ เขาโน้มตัวลง มองนัยน์ตาที่ปิดสนิท จมูกแดงระเรื่อของเธอ แพขนตายาวคล้ายกับว่ามีหยาดน้ำตาเกาะอยู่
คนเมื่อวานคือเธอจริงๆ เธอร้องไห้หรือ อยู่ข้างกายตัวเองแล้วทำให้เธอทุกข์ใจขนาดนั้นเลยหรือ อยู่ในสถานที่ที่ตัวเองมองไม่เห็น เธอก็ร้องไห้ตลอดหรือ
เขาเขยิบตัวเข้าไปใกล้ขึ้น ถึงได้พบว่าเธอกอดหนังสือนิทานเอาไว้เล่มหนึ่ง หนังสือถูกเปิดออกจนถึงหน้านี้ ด้านในยังเต็มไปด้วยความทรงจำ
เธอกอดเอาไว้แน่นมาก คล้ายกับคืนวันที่โดดเดี่ยวเงียบเหงานับไม่ถ้วน กอดมันแล้วก็เหมือนได้กอดความอบอุ่น เย่เนี่ยนโม่รู้ว่าตัวเองควรจะถอยออกไป ให้เธอหลับอย่างสบาย
เขาก้าวเท้าไม่ออก เบนสายตาไปไม่ได้ หักห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ริมฝีปากอุ่นของเขาทาบลงบนส่วนที่นุ่มหยุ่นของเธออย่างแผ่วเบา แสงอาทิตย์สีส้มในยามเช้าทำให้เงาร่างของเขาถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางแสงอ่อนๆ งดงามราวกับเจ้าชายที่เดินออกมาจากเทพนิยาย
ตอนที่ติงยียีตื่นขึ้นมาก็เห็นภาพนี้ เขาที่อยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้านั้นหล่อเหลาเสียจนคาดไม่ถึง ดูเหมือนจะเป็นประกายยิ่งกว่าหมู่ดาวกว้างใหญ่ไพศาลในค่ำคืนนั้นอยู่หลายส่วน
เธอเหม่อมองเขานิ่งๆ เมื่อเห็นร่องรอยขบขันในแววตาของฝ่ายตรงข้ามก็ผลักเขาออกอย่างแรงทันที
“อยู่ให้ไกลจากฉันหน่อย” สีหน้าเดือดดาลทำให้เธอดูซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม ร่างของเย่เนี่ยนโม่เพียงแค่เอนไปด้านหลังเล็กน้อย เขาก้มมองเธอ บรรยากาศที่ล่องลอยไปมาทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออก เขายื่นมือดึงหูกระต่ายที่เป็นทรงเรียบร้อยออกแล้วก้มหน้ามองเธอ
“ปล่อยฉันไปเถอะ ปล่อยให้ฉันจากไป” ติงยียีกอดเข่าด้วยท่าทางน่าสงสาร ความเข้มแข็งของเธอ ความไม่ยอมแพ้ของเธอ และความรู้สึกที่ตัวเองคิดว่าเมินเฉยล้วนพังทลายลงโดยสิ้นเชิงในชั่วพริบตา เขาทำได้อย่างไร หลังจากกอดผู้หญิงอีกคนหนึ่งในคืนก่อนหน้านี้แล้วก็มากอดตัวเอง ริมฝีปากนุ่มหยุ่นนั่นก็ทาบทับลงบนส่วนที่อ่อนนุ่มของเขาเช่นกันใช่หรือไม่
“ไม่อยากจะอยู่ข้างกายฉันมากขนาดนั้นจริงๆหรือ”
แววตาของเย่เนี่ยนโม่ฉายแววอันตราย แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด ติงยียีแทบจะพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด หลังจากนั้นข้อมือของเธอก็ถูกดึงอย่างแรง
“ถ้าหากว่าอยู่ด้วยกันแล้วทำให้เธอเสียใจขนาดนั้น อย่างนั้นเธอก็อยู่ข้างกายฉันตลอดไปจนชินก็แล้วกัน” เขาลุกขึ้นด้วยท่าทางเย็นชา กระชากเธอไปข้างนอก
อ้าวเสว่ยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ แม้จะรู้ว่าเย่เนี่ยนโม่ไปที่ไหน แต่กลับยืนกรานที่จะเฝ้ารอ เย่เนี่ยนโม่กระชากข้อมือลากติงยียีออกไปข้างนอก
อ้าวเสว่มองคนสองคนที่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ สายตาของเย่เนี่ยนโม่ไม่ได้ตกลงบนร่างของตัวเองเลยแม้แต่น้อย น่าเศร้าเกินไปแล้วใช่หรือไม่ เธอเปลี่ยนทรงผมให้เหมือนกับเธอ มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน แต่กลับไม่ได้รับสายตาจากอีกฝ่ายเลยสักครั้งเดียว
เธอหมุนตัวอย่างเย็นชา “ไปเรียกต้าต้ามาที่ห้องฉัน”
บริษัทเย่ซื่อ ภายในห้องประชุมขนาดกว้าง ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก บางครั้งก็จะมีคนกวาดตามองไปทางหญิงสาวที่อยู่ข้างกายผู้จัดการใหญ่และเบนจากไปอย่างรวดเร็ว
นอกประตู เลขาเอ่ยพึมพำ “ผู้จัดการใหญ่พาหญิงสาวมาไว้ข้างกายแล้ว นี่นับว่าเป็นชนวนที่นำมาซึ่งปัญหาหรือไม่นะ”
“ทั้งบริษัทเย่ซื่อเป็นของเขา เขาคิดจะทำอย่างไรก็ได้ อย่างพวกเราที่รับจ้างทำงานแบบนี้ แค่หวังว่าจะไม่ได้พบกับผู้ชายห่วยๆก็ดีแล้ว”
สองคนกระซิบกระซาบกันขณะผลักประตูเข้าไปเสิร์ฟน้ำชาให้กับทุกคน “เริ่มกันเถอะ” เย่เนี่ยนโม่กวาดตามองไปทั่ว เดิมห้องประชุมที่เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็เงียบหายไป สงบเงียบลงในทันที
วัยรุ่นคนหนึ่งลุกขึ้นยืน เย่เนี่ยนโม่กวาดสายตาคมปลาบมองไป ผงกศีรษะเป็นสัญญาณให้เขาเริ่มต้นได้
“ตอนนี้ศูนย์การค้าสากลได้เปิดทำการแล้ว โครงสร้างการบริหารในไตรมาสแรกดีกว่าที่พวกเราคาดเอาไว้ คาดว่าเทศกาลตรุษจีนจนถึงฤดูใบไม้ผลิที่เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวจะนำมาซึ่งฤดูกาลแห่งการชอปปิ้ง แต่ว่าตอนนี้พื้นที่จัดแสดงสินค้าที่ดีที่สุดยังไม่เปิดออก”
“ใช่แล้ว มีคนมากมายที่คิดจะแย่งชิงพื้นที่จัดแสดงสินค้านี้ ตอนนี้สอบถามกันทุกวันเลย” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดเอ่ยต่อ
นิ้วมือที่เห็นข้อนิ้วอย่างชัดเจนของเย่เนี่ยนโม่เคาะลงบนโต๊ะเบาๆ บรรยากาศเข้าสู่สภาพนิ่งเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ผมคิดเรียบร้อยแล้วว่าพื้นที่จัดแสดงสินค้าสุดท้ายจะวางอัญมณีของนักออกแบบคนใด”
ประตูถูกเปิดออก เย่ป๋ออุ้มเอกสารกองหนึ่งเดินเข้ามา วางลงบนเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ เย่เนี่ยนโม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ผมตัดสินใจใช้ผลงานการออกแบบของสุภาพสตรีติงยียีท่านนี้”
ในห้องประชุมมีเสียงแสดงความคิดเห็นเบาๆดังลอยมา ติงยียีที่ได้ยินชื่อของตัวเองก็เงยหน้าขึ้นมาทันที จึงเห็นว่าผลงานทั้งหมดของตัวเองถูกวางลงบนเครื่องฉายโปรเจคเตอร์
การตัดสินใจของเย่เนี่ยนโม่นั้นไม่มีใครคัดค้าน จนกระทั่งกลับไปที่ห้องทำงานของเย่เนี่ยนโม่ ติงยียีก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา เธอยืนอยู่อีกด้าน เย่เนี่ยนโม่กำลังจัดการเอกสาร เขากวาดตามองเธอ “ถ้ารู้สึกว่าว่างล่ะก็ มาช่วยฉันสิ”
ติงยียีเดินเข้ามาด้วยท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ เย่เนี่ยนโม่ดึงลิ้นชักออกมาหาปากกาส่งให้เธอ สายตาของเธอกลับตกลงบนสร้อยเพชรที่สว่างวูบวาบในลิ้นชัก
เย่เนี่ยนโม่ถือปากกา มองไปที่ลิ้นชักตามสายตาเธอ เขาหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาลูบ จู่ๆก็เอ่ยว่า “ตอนแรกที่เธอจากไป ก็มีมันนี่แหละที่เดินผ่านคืนวันที่ยากจะผ่านพ้นไปได้เป็นเพื่อนฉัน”
เขาลุกขึ้น สายตาของเธอมองตามการเคลื่อนไหวของเขาไปที่นอกบานหน้าต่าง เย่เนี่ยนโม่มองสร้อยในมืออย่างละเอียด ทันใดนั้นก็ยื่นมือโยนสร้อยออกไปด้านนอก
สร้อยวาดตัวเป็นเส้นโค้ง หลังจากนั้นก็เลือนหายไป เขาหมุนตัวกลับมา “ฉันไม่ต้องการของพวกนั้นอีก เพราะฉันจะไม่ให้เธอไปจากฉัน”
เธอรู้ว่าเขาจริงจัง วาจาเผด็จการเหล่านั้น ความดื้อดึงที่แม้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ เย่เนี่ยนโม่เดินกลับมาที่โต๊ะ และหยิบหนังสือนิทานเล่มหนึ่งออกมาจากลิ้นชักอีกอัน
หัวใจติงยียีเต้นตึกตัก เธอมองเขาเดินมาตรงหน้าตัวเอง กลิ่นน้ำหอมเบาบางของบุรุษเพศกำจายออกมา ความรู้สึกนึกคิดของเธอถูกร่างกายสูงใหญ่ราวกับภูเขาบังเอาไว้จนไร้ซึ่งหนทางที่จะครุ่นคิด
เย่เนี่ยนโม่มองเธอ เอ่ยเสียงอ่อนว่า “เช่นเดียวกัน เธอก็ไม่ต้องการของเหล่านี้ เพราะว่าฉันจะอยู่ข้างกายเธอตลอดไป”
“ตลอดไป?” ติงยียีหัวเราะออกมา “นายพูดว่าตลอดไปนั้นนานแค่ไหน วินาทีถัดไปหรือนาทีถัดไป หรือว่าจะยาวออกไปอีกหน่อย หนึ่งวัน หนึ่งปี”
เขามองเธอหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเงียบๆ มองเธอที่หัวเราะไปหัวเราะมาแล้วมีหยาดน้ำตา ไม่อาจระงับความเจ็บปวดที่โถมเข้ามาได้ เขาโอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน “นอกจากจะจากไป เธอต้องการอะไร ฉันล้วนให้เธอได้”
“นอกจากจะจากไป นายให้อะไร ฉันล้วนไม่ต้องการ” เธอซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนเขา หยดน้ำตาเปียกชุ่มเสื้อสูทสีเข้ม เจือไปด้วยความเสียใจและจนปัญญา
เป็นอีกหนึ่งวันที่แยกย้ายกันไปอย่างไม่มีความสุข
เพิ่งจะกลับไปที่ตระกูลเย่ ฝู้เฟิ่งหยีก็เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เนี่ยนโม่ วันนี้ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้? ต้าต้ารีบไปเร่งห้องครัวหน่อย”
ต้าต้าที่คิดจะหนีไปอย่างเชื่องช้า ติงยียีแววตาหนักอึ้ง “ต้าต้า มือของเธอเป็นอะไรน่ะ?”
สายตาของทุกคนล้วนมองไปทางต้าต้า เธอหวาดกลัวจนซ่อนมือไว้ข้างหลัง “ไม่มีอะไรค่ะ”
เอเลนเดินผ่านข้างกายเธอมาพอดี จึงเห็นตุ่มน้ำที่ถูกจิ้มจนแตกบนข้อมือที่เธอเผยออกมา รอบๆแดงเป็นปื้น เขาเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เธอเป็นอะไรน่ะ”
ต้าต้าใกล้จะร้องไห้แล้ว ติงยียีก้าวไปตรงหน้าเธออย่างรวดเร็ว บังคับให้เธอยกมือขึ้นมา ตุ่มน้ำใหญ่เท่าเม็ดถั่วบนหลังมือทำให้เธอต้องสูดลมหายใจ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ติงยียีถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เอเลนที่อยู่อีกด้านก็เอ่ยว่า “นี่ต้องรีบจัดการให้เรียบร้อยถึงจะถูก แม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูหนาว แต่ก็อักเสบได้ง่ายมาก”
“คุณเอเลน นี่คือคนรับใช้ของตระกูลเย่ ไม่ต้องให้คุณลำบากเปลืองแรงหรอก” ฝู้เฟิ่งหยีพูดกับเอเลน แต่สายตากลับกวาดมองมาทางติงยียี
“พอได้แล้ว วันนี้เธอไปพักผ่อน อีกครู่จะให้พ่อบ้านเรียกคุณหมอมาดู” เย่เนี่ยนโม่เอ่ยตัดสินใจเป็นคนสุดท้าย
ต้าต้ากวาดตามองไปทางอ้าวเสว่ที่ยิ้มหวานมองมาทางตัวเองแล้วก็หนีไปด้วยความตื่นตระหนก
ค่ำคืนนั้น ติงยียีมาที่ห้องของต้าต้า ต้าต้ากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า ภายใต้ความลนลานจึงไม่ได้ปิดบังรอยแผลบนลำคอ ติงยียีเห็นบนคอของเธอถูกทาด้วยยาแล้วก็เป็นห่วงอยู่บ้าง “ไม่เป็นอะไรนะ”
“ไม่เป็นอะไรค่ะคุณยียี” ต้าต้ารีบปิดรอยแผล ติงยียีเดินไปตรงหน้าเธอ “รอยแผลนี้ไม่ใช่ตัวเธอทำเองสินะ”
ต้าต้าไม่พูดไม่จาแต่ก็ไม่ยอมรับ เพียงแค่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้น ในฐานะคนรับใช้ไม่สามารถนินทาลับหลังได้ จุดนี้เธอเข้าใจ
“ต้าต้า คุณอ้าวเสว่เรียกเธอไปหา” สาวใช้คนอื่นที่อยู่นอกประตูเอ่ยเรียก ต้าต้าตัวสั่นระริก สีหน้าเจือไปด้วยความหวาดกลัวหลายส่วน
ติงยียีสีหน้าหนักอึ้ง หรือว่าตอนนี้อ้าวเสว่จะชั่วร้ายจนถึงขั้นรังแกคนตามใจชอบแล้วหรือ เธอยื่นมือไปจับเธอเอาไว้ “พวกเราไปทวงความยุติธรรมจากเธอกัน มีสิทธิ์อะไรมารังแกคนอื่นแบบนี้ หรือว่าเธอไม่ใช่คนกัน เธอเจ็บไม่เป็นหรือ”
“ปล่อยมือ! เธอไม่ได้ทำ เป็นฉันเองค่ะ!” ต้าต้าสะบัดมือเธอออก เธอเอ่ยเสียงเบา “ครอบครัวของพวกเราจนมาก ไม่ง่ายเลยที่จะถูกเลือกเข้ามาเป็นหญิงรับใช้ตระกูลเย่เพราะหน้าตาสะสวย ฉันไม่อยากตกอยู่ในสภาพที่ต้องหางานสุดชีวิตข้างนอกนั่น คุณหนูเรียกฉัน ฉันไปก่อนนะคะ”
เธอรีบร้อนจากไป ไม่กล้ามองแววตากังวลของคนที่อยู่ด้านหลัง พวกเขาคนเหล่านี้ ไม่ขาดเงิน ดังนั้นถึงได้มีเวลาไปมีความรัก แต่เธอไม่มีเงิน จึงทำได้เพียงแค่หาเงินก่อน ความรักอะไรนั่นถูกกำหนดให้เป็นเกมส์ของคนมีเงินเท่านั้น
อ้าวเสว่นั่งอยู่ภายในห้อง “มาหวีผมให้ฉัน”
เธอตัวสั่นงันงกเดินเข้าไป หยิบหวีไม้ขึ้นมาเสียบลงบนศีรษะของเธอ เธอเครียดมากเกินไป เมื่ออ้าวเสว่ขยับตัว มือของเธอก็สั่นทันที อ้าวเสว่ถูกดึงจนเจ็บ เธอจึงหันกลับไปฟาดฝ่ามือลงบนแก้มของเธอ