สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่ 1617 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1457
“ฉันรู้ว่าพวกเธอจงใจ ช่างเถอะ ยังไงซะเธอก็มีเหนียนโม่เข้าข้าง !” อ้าวเสว่พูดอย่างไม่พอใจ
แพนด้าวิ่งออกประตูใหญ่ไปแล้ว ติงยียีไม่ทันได้ใส่ใจอ้าวเสว่ วิ่งตามออกไปทั้งๆที่ใส่ชุดอยู่บ้าน
ในสวนสาธารณะ เย่ชูหวินสังเกตดูๆแล้ว “ไม่มีอะไร มันน่าจะเข้าช่วงติดสัดแล้วล่ะ”
“ติดสัด?”ติงยียีพูดอย่างอ้ำๆอึ้งๆ
เย่ชูหวินมองหน้าเธอแปปนึง “คนยังมีความต้องการ สุนัขก็เหมือนกัน”
“งั้นต้องทำไงล่ะ?”ติงยียีทำอะไรไม่ถูก เย่ชูหวินพูดแนะนำ “ตอนที่ผมเป็นสัตวแพทย์ก็มีเพื่อนอยู่สองสามคนที่เลี้ยงพันธุ์แท้ คุณจะลองดูไหมล่ะ?”
“ดีเลย งั้นเราไปกันตอนนี้เลยเถอะ!”ติงยียีลุกขึ้นจะไป เธอรีบมากจริงๆ
เย่ชูหวินมองเธออย่างขำๆ “คุณจะไปตอนนี้เลยหรอ?”
ติงยียีก้มลง เธอใส่เดรสที่ยาวถึงแค่เข่า แถมยังเป็นเดรสลายการ์ตูน แบบนี้ดูไม่ดีแน่
เธอพูดอย่างรีบร้อน “งั้นฉันกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแปปนึง”
เสื้อคลุมตัวนึงก็ตกลงมาคลุมหัวเธอ เธอรีบปัดออก แล้วก็พบกับใบหน้าจริงจังของเย่ชูหวิน “คุณจะใส่อะไรตอนอยู่กับผมผมก็ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นแหละ แต่ผมกลัวว่าคุณจะหนาว!”
ติงยียีหน้าแดง พึมพำพลางถอยหลังเล็กน้อย เย่ชูหวินก็ไม่ได้พูดอะไร จูงแขนเสื้อคลุมของเธอที่ยาวออกมาออกไปข้างนอก ตรงนอกคฤหาสน์ ติงยียีมองเข้าไปข้างใน “คุณคิดว่าเจ้าของทิเบตันมาสทีฟตัวนั้นจะยอมรับแพนด้าไหม?”
เย่ชูหวินพูดรับอย่างเต็มอก “วางใจเถอะน่า ความรักของแพนด้าให้ผมจัดการเอง ผมแพ้เองมาแล้วครั้งนึง ผมจะไม่ทำให้ความรักของเจ้าหนูนี่พังแน่”
ตอนที่กำลังพูดกันอยู่ประตูสองด้านก็เปิดออก คนรับใช้คนนึงยิ้มให้พวกเขา “คุณผู้หญิงรอพวกคุณอยู่นานแล้วค่ะ กำลังรอให้พวกคุณเข้าไป”
ในห้องรับแขก ผู้หญิงที่อยู่ในชุดสีชมพูนั่งยิ้มมองพวกเขาสองคนอยู่บนโซฟา “ชูหวิน ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกันอีก”
เย่ชูหวินมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ถึงแม้ว่าจะคุ้นอยู่บ้าง แต่ก็เลือนราง ผู้หญิงคนนั้นเริ่มพูด “ฉันชื่อจูหลิน เคยทานข้าวกันเมื่อก่อนน่ะ ”เธอหันหน้าไปหาติงยียี “นี่คือผู้หญิงคนที่เธอบอก?”
ติงยียีตอบชัดถ้อยชัดคำ “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อติงยียี”
ทั้งสองคนจับมือกัน จูหลินโบกมือเรียกคนรับใช้ ไม่นานนังทิเบตันมาสทีฟอีกตัวก็ถูกจูงออกมา สุนัขทั้งสองตัวทำความรู้จักกัน ต่างวนเวียนกันอยู่ที่ตัวของอีกฝ่าย ดมกลิ่นของกันและกัน
“ดูแล้วเจ้าเถาชี่น่าจะชอบสุนัขของเธอมาก ก่อนหน้านี้มันไม่ค่อยสนใจตัวอื่นๆเลยล่ะ” จูหลินกัดริมฝีปาก ยิ้มอย่างสบายใจราวกับจ้องมองลูกแท้ๆ ไม่มีท่าทีหยิ่งไม่ปลอม ติงยียีเอง็รู้สึกดีกับเธอ
“คุณผู้หญิงคะ เชิญตามมาทางนี้ค่ะ”คนรับใช้เดินนำ ยืนดูติงยียีอยู่ข้างๆ
เย่ชูหวินอยากจะตามไปด้วย จูหลินพูดอยู่ด้านหลัง “คุณชายเย่คะ ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม? ”
ติงยียีมองออกว่าผู้หญิงที่ชื่อจูหลินคนนี้น่าจะชอบเย่ชูหวินอยู่เหมือนกัน เธอรีบบอกปัดเย่ชูหวิน “ฉันไปเองก็ได้ คุณอยู่คุยเถอะ”
มองติงยียีเดินออกไป เย่ชูหวินถึงได้ละสายตา เขานั่งอยู่สบายใจบนโซฟา ส่วนจูหลินก็นั่งเงียบๆจนกระทั่งเขามองมาถึงได้เริ่มปริปาก “ขอโทษนะที่ใช้วิธีนี้พานายมาถึงนี่ แต่ว่าทิเบตันมาสทีฟของฉันก็ต้องการคู่จริงๆ”
เย่ชูหวินเลิกคิ้ว “คุณฉลาดมาก”
จูหลินยิ้ม “ฉันชอบคุณมาก เคยคิดด้วยว่าผู้หญิงที่จะทำให้คุณหลงได้จะต้องเลิศเลอแค่ไหนกัน หรืออาจจะเป็นเพราะว่าฉันยังไม่เห็นอะไรในตัวคุณยียี”
เธอนั่งอย่างสง่างาม บนผนังด้านหลังแขวนประกาศณียบัตรการจบการศึกษาจากโคลัมเบีย และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเยล เธอรูปร่างดี ทั้งมีมารยาท และมีธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ แต่ว่าผู้ชายที่เธอชอบดันไปชอบผู้หญิงคนนึงที่ไม่มีอะไร
เย่ชูหวินมองไปที่เธอแล้วพูดอย่างจริงจัง “คุณดีมาก แต่ว่าความรักใช้ความเก่งมาวัดไม่ได้ แล้วก็นะ”เขาหยุดไปครู่หนึ่ง เหมือนว่าจะคิดอะไรสักอย่าง “ผมคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เลิศเลอที่สุดในโลกแล้วล่ะ”
“งั้นหรอกหรอ?”จูหลินยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นกลับดูแข็งทื่อเล็กน้อย ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันต่อ จนกระทั่งติงยียีจูงแพนด้าออกมา
เมื่อออกมาเธอก็มาพูดข้างหูเย่ชูหวินเบาๆ “รู้งี้ไม่ไปดีกว่า คุณไม่รู้หรอกว่าฉันกับคนรับใช้มองกันอยู่ข้างๆอึดอัดใจกันขนาดไหน!”
ผมของเธอตกลงที่คอของเย่ชูหวิน เย่ชูหวินขยับเข้ามาอีก แววตาที่มองเธอด้วยความรักเต็มเปี่ยมนั้น ไม่มีที่ว่างให้กับใครอื่นอีกแล้ว
จูหลินที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้น “คุณติงยียีค่ะ วันนี้คุณใส่ชุดนอนมาหรอ?”
เธอรู้ว่านี่เป็นการเสียมารยาทมาก แต่ในฐานะผู้หญิงคนนึงที่ดีพร้อมไปซะทุกอย่างได้เห็นผู้ชายที่ตัวเองชอบไปชอบผู้หญิงที่ไม่มีอะไรคนนึง ความรู้สึกแบบนี้มันแย่ที่สุด
เมื่อติงยียีได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร แต่กลับเป็นเย่ชูหวินที่มองหน้าเธอ แต่สักพักเขาก็หันกลับมามองติงยียี ราวกับว่าถ้าไม่ใช่สิ่งที่ติงยียีพูดก็ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจอะไร
ติงยียีตอบอย่างใจเย็น “ไม่ใช่ชุดนอนค่ะ เป็นชุดอยู่บ้าน”
จูหลินคิดไม่ถึงเลยว่าคำตอบของเธอจะตรงไปตรงมาและเรียบง่ายแบบนี้ เธอตอบกลับอย่างไว “อ้อ หรอค่ะ ก็ดีค่ะ”
เย่ชูหวินลูบหัวของเธอ จากนั้นก็หันไปคุยกับจูหลิน “ครั้งนี้ถือว่าเป็นหนี้คุณครั้งนึงนะ”
จูหลินยิ้ม “ได้ ฉันคิดจริงนะ ถ้าวันไหนฉันคิดบัญชีขึ้นมาอย่าหนีแล้วกัน”
หลังจากออกมาจากคฤหาสน์ ติงยียีก็มานั่งยองลงที่พื้น พูดด้วยสีหน้าเศร้า “เมื่อกี้ฉันแย่มาเลยใช่ไหม ขอโทษที่ทำให้คุณขายหน้านะ”
เย่ชูหวินตะลึง จากนั้นก็หัวเราะ เขาพึมพำเสียงเบา“คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะใส่ใจเล็กน้อยแบบนี้ด้วย”
“ฉันต้องใส่ใจอยู่แล้วสิ ฉันเป็นผู้หญิงนะ!”ติงยียีมองเขาอย่างไม่พอใจ
เย่ชูหวินทำเป็นมองผ่านหน้าอกของเธอ ใบหน้ายิ้มกรุมกริ่ม ติงยียีก้มลงมองตามสายตาของเขา จากนั้นก็เงยหน้าอย่างโมโห
“เย่ชูหวินคุณตายแน่!”
ที่ตระกูลเย่
เย่เหนียนโม่ขมวดคิ้วถามพ่อบ้าน “ติงยียีไปไหน?”
คุณผู้หญิงติงออกไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ พ่อบ้านตอบอย่างมีมารยาท
เย่เหนียนโม่พยักหน้า เขากำลังจะยกมือถือขึ้นมา แค่โทรไปก็จะรู้ว่าเธอทำอะไรอยู่ เขาลังเลใจอยู่ครูหนึ่ง ในที่สุดก็ใส่มือถือกลับเข้าไปในกระเป๋า
เย่ชูหวินกับติงยียีหัวเราะพูดคุยกันพลางเพิ่งจูงแพนด้าออกมาจากคฤหาสน์ก็ได้เห็นรถตู้สีดำสองคันจอดอยู่ข้างถนน เย่ป๋อยืนอยู่ที่หน้ารถคันนึงมองพวกเขาสองคนอย่างเคร่งขรึม
ถ้าเย่ป๋ออยู่ละก็แสดงว่าเย่เหนียนโม่ก็น่าจะมาด้วยละมั้ง ติงยียีมองไปที่หน้าต่างของรถ หน้าต่างรถดำสนิท มองไม่เห็นข้างใน
ติงยียีจะเดินไปทางรถ ก็ถูกเย่ชูหวินจับมือไว้ เขามองติงยียีอย่างกังวลใจ ในใจคิดว่าถ้าเย่แหนี่ยนโม่ทำอะไรไม่ดีกับเธอขึ้นมาจะทำยังไง
ติงยียีมองไปที่เขาแล้วยิ้ม เขย่งเท้าพูดไปที่หูของเขาเบาว่า “วางใจเถอะน่า ถ้ามีใครจะทำร้ายฉัน ฉันจะให้แพนด้ากัดเลย!”
ถึงแม้เย่ชูหวินจะรู้ว่าเธอแค่ปลอบเขาเท่านั้น แต่ก็คลายสีหน้าเป็นกังวลลง บนรถ เย่เหนียนโม่เห็นติงยียีก้าวเข้ามาหาตัวเองทีละก้าว จิตใจเย็นเยือกของเขาก็ค่อยๆอบอุ่นลง
เขาคลายหมัดที่กำไว้ มองไปที่หญิงสาวผู้เป็นที่รักจากทางกระจกฟิลม์สีชา
เขาอยากให้อิสระกับเธอ แต่ยิ่งบอกให้ตัวเองอดทนรอ ก็ยิ่งกลัวว่าเธอจะไม่กลับมา เมื่อได้ยินว่าเธออยู่กับเย่ชูหวิน ถึงจะรู้ว่าเธอไม่อะไรกับเขา แต่ก็อดมาหาเองไม่ได้
ในใจของเธอต้องเกลียดเขามากแน่ๆ จากที่เคยเป็นนางนวลทะเลที่โบยบินอย่างอิสระ กลับต้องถูกกักขังอยู่ในกรง เขาให้แก้วแหวนเงินทองกับเธอ ให้เธอใช้ชีวิตที่หรูหรา แต่เธอก็ยังคงคิดถึงชายฝั่งผืนนั้น
ประตูรถถูกเปิดออก แสงไฟของฤดูหวานสาดส่องเข้ามาแล้ว เงาของร่างบางนั่งขึ้นมา เธอเยือกเย็นและไร้อารมณ์
“ไปโรงแรมตี้เหา”เย่เหนียนโม่พูดเบาๆ ทั้งที่ในใจของเขาร้อนรนมาก แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
ติงยียีมองวิวข้างนอกหน้าต่าง บนหน้าต่างรถสะท้อนรูปร่างของคนข้างๆ เขาขมวดคิ้วแน่น ริมฝีปากเป็นเส้นตรง
การมารับเธอทำให้เขาเบื่อหน่ายมากสินะ เรื่องทั้งหมดมาถึงจุดจบแล้วจริงๆใช่ไหม?เธอรู้ว่าตัวเองควรดีใจ แต่ในใจก็ยังเจ็บปวดขึ้นมา
ที่โรงแรมตี้เหา จิ่วจิ่วคล้องแขนของฝู้เฟิงหยีอย่างเป็นกันเอง “แม่เลี้ยงคะ ฉันก็แค่อยากเยี่ยมคุณ มาคุยกับคุณ ไม่เห็นต้องออกมาข้างนอกเลย ฉันคิดว่าอาหารในบ้านกับที่นี่ไม่ได้ต่างกันอะไรเลยนะ!”
ฝู้เฟิงหยีตบแขนเธอเบาๆ “เห็นว่าเธอสบายดีแม่ก็ดีใจ ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาบอกแม่ แม่เลี้ยงคนนี้ไม่ได้มีไว้งั้นๆนะ”
เธอหันไปเห็นเหยนหมิงเย้าที่นั่งตัวตรงอยู่ข้างๆ “หมิงเย้าโตขนาดนี้แล้ว เป็นคนเก่งแน่ๆ”
ฝู้เฟิงหยีมองดูลูกชายบ้านตัวเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความรักเมตตา “เดิมทีก็หวังให้เขาได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขก็พอแล้ว แต่ไม่นานมานี้ดันบอกว่าอยากจะทำธุรกิจของตัวเอง ตอนนี้ยุ่งมากทุกวันเลย”
“ยุ่งก็ดีแล้ว ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็มีหาคนตระกูลเย่ได้”ฝู้เฟิงหยียิ้มตอบ
อ้าวเสว่นั่งตัวตรงฟังคนแก่ทั้งสองคุยกัน วุ่นวายอยู่ในใจ เหยนหมิงเย้าค่อยๆเอ่ยปากถามเธอ “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?”
“ค่ะ เรียบร้อยดี ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ” อ้าวเสว่ตอบอย่างระมัดระวัง แล้วก็เหลือบมองไปที่ฝู้เฟิงหยี ฝู้เฟิงหยีรู้จักเหยนหมิงเย้าตั้งแต่ตอนที่กลับมาเมืองตงเจียงแล้ว ตอนนี้กลับแกล้งทำเป็นไม่รู้มาก่อน คือลืมไปแล้วหรือว่าไม่ได้สนใจอะไร เรื่องพวกนี้เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
เธอครุ่นคิดอยู่ ข้อศอกก็เผลอไปกระทบไวน์แดงบนโต๊ะหก เธอรีบจัดการเรื่องบนโต๊ะ จู่ๆก็มีทิชชูยื่นมาให้ อ้าวเสว่ผงะแล้วก็รับมา “ขอบคุณค่ะ”
เหยนหมิงเย้าเอากระดาษทิชชูส่งให้เธอ กำลังจะกลับไปนั่งที่ เขาอยากกอดเธอไว้มาก อยากถามว่าเธอสบายดีไหม แต่ก็รู้ว่าถ้าเขาแสดงอาการอะไรแปลกไปอาจจะทำให้เธอเดือดร้อนได้