สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่1487 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1387
รถบีเอ็มดับเบิลยูเห็นท่าอย่างนี้ก็เลี้ยวโค้งขับหนีไป เย่เนี่ยนโม่ลงมาจากรถ สองคนที่ลงมาจากรถเก๋งสองคันนั้น มีหนึ่งคนในนั้นพูดว่า “คุณชายเย่ ต้องตามไปมั้ยครับ”
ติงยียีอยากลงจากรถ แต่เย่เนี่ยนโม่ขวางประตูรถไว้ พูดกับสองคนนั้นเบาๆว่า “ไม่จำเป็น”
ทั้งสองคนพยักหน้า แต่ละคนขับรถของตนเองตามรถของเย่เนี่ยนโม่มาในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เย่เนี่ยนโม่กลับรถ ติงยียียื่นคอออกไปนอกหน้าต่าง พูดอย่างเป็นห่วงว่า “เหมือนเย่ป๋อจะหายไปแล้ว ”
สีหน้าโมโหของเย่เนี่ยนโม่อ่อนลงเล็กน้อย เอียงตัวมาตรวจสอบเข็มขัดนิรภัยของเธอ พลางเอ่ยว่า “วางใจเถอะ เขาไม่เป็นไร”
รถยนต์กลับมาแล่นบนถนนใหม่อีกครั้ง ติงยียีมองเห็นรถสองคันตามตัวเองมาในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกลด้วยความเร็วกำลังดีผ่านกระจกมองหลัง เมื่อก่อนคิดมาตลอดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ คิดไม่ถึงว่าทุกครั้งที่เย่เนี่ยนโม่ออกเดินทางล้วนมีบอดี้การ์ดคอยติดตามเขา
รถยนต์แล่นเข้าไปในหมู่บ้าน เย่เนี่ยนโม่ลากเธอเข้าไปในคอนโดมิเนียม ติงยียีมองเห็นคนสองคนที่แต่งตัวเหมือนกับชายชุดดำที่สะพานต่างระดับวันนี้ผ่านไปแวบๆตรงที่หัวมุมหนึ่ง
ภายในห้อง เย่เนี่ยนโม่เทนมให้เธอหนึ่งแก้ว ลูบศีรษะเธอ “นอนพักสักหน่อย พอตื่นผมก็กลับมาแล้ว”
หลังจากเย่เนี่ยนโม่ไปแล้ว ติงยียีก็ไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานเท่าไหร่ ในความงัวเงียก็ได้ยินเสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้น เธอค่อยๆลืมตา เสียงกริ่งประตูดังขึ้นอีก
เธอรีบยืนขึ้นมา หลังจากเสียงกริ่งประตูดังขึ้นสามครั้งพอดีก็ นิ่งเงียบลง ติงยียีเปิดประตู หลังจากมองเห็นผู้มาเยือนแล้วก็รีบพูดว่า “อาจารย์เซี่ย!”
เซี่ยชีหรั่นดูเหมือนจะไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ได้เจอเธอที่นี่ พยักหน้าให้เธอ “ฉันเข้าไปได้มั้ยคะ”
“ได้แน่นอนค่ะ” ติงยียีรีบหลีกทางต้อนรับเธอเข้ามา ด้านหลังของเซี่ยชีหรั่นยังมีผู้หญิงคนหนึ่งตามมาด้วย พอหญิงสาวเข้ามาในห้องก็เริ่มเก็บของทำความสะอาดห้องทันที
“นี่เป็นห้องที่เนี่ยนโม่ใช้เงินที่ตนเองหาได้เป็นครั้งแรกตอนมัธยมปลายซื้อ เขาไม่เคยมาพักอยู่เลย แต่ฉันก็รู้ว่าห้องนี้มีความหมายกับเขาอย่างมาก”
เซี่ยชีหรั่นนั่งอยู่บนโซฟายิ้มพลางมองมาที่เธอ ท่วงท่าง่างามอย่างที่สุด ติงยียีรีบนั่งบนโซฟาอีกด้านทันที
เซี่ยชีหรั่นสีหน้าอ่อนโยน ท่วงท่างามสง่า คนรับใช้ที่อยู่ด้านข้างทำงานอย่างเงียบๆ ติงยียีมองเธอ อายุไม่ได้ทิ้งริ้วรอยไว้บนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้เลย ตอนที่มองเห็นซือซือเธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายสวยมาก แต่เมื่อเทียบกับอาจารย์เซี่ยแล้ว ความสวยแบบนั้นก็ถูกบดบังไปทันที
คนรับใช้ชงชามาหนึ่งแก้ว ส่งให้เซี่ยชีหรั่นอย่างนอบน้อม เธอค่อยๆจิบอึกหนึ่ง ติงยียีเป็นฝ่ายที่นั่งไม่ติดก่อน เธอถามว่า“อาจารย์เซี่ยคุณเองก็มาเกลี้ยกล่อมให้ฉันเลิกกับเนี่ยนโม่สินะคะ”
เซี่ยชีหรั่น พยักหน้า “หนึ่งคือฉันคิดว่าเธอไม่เหมาะสมกับเนี่ยนโม่ สองตระกูลสวีมีบุญคุณกับฉัน ฉันเห็นอ้าวเสว่เติบโต เธอก็เหมือนลูกสาวฉันคนหนึ่ง”
“เป็นเพราะบ้านฉันไม่ร่ำรวยเหรอคะ” ติงยียีจู่ๆก็ถามขึ้นมา เธอรู้ดีถึงความแตกต่างของตนเองกับเย่เนี่ยนโม่ ตระกูลเย่เป็นตระกูลเศรษฐีชั้นแนวหน้าของเมืองตงเจียง แต่ตนเองไม่มีอะไรเลยเซี่ยชีหรั่นได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็แปลกใจมาก ดวงตาค่อยๆเบิกโพลง “ทำไมเธอถึงคิดแบบนี้”
ติงยียีก้มหน้านิ่งไม่พูดอะไร เสียงอ่อนหวานดังมาข้างหู “ตอนแรกฉันเป็นหญิงรับใช้ของตระกูลเย่”
ติงยียีเงยหน้ามองหน้า เซี่ยชีหรั่นปรมาจารย์นักออกแบบอัญมณีระดับโลกตอนสาวๆเป็นหญิงรับใช้หรอกหรือ!
เซี่ยชีหรั่นยิ้มอย่างอ่อนโยน พูดต่อไปว่า “ความฝันและความรัก มักจะอยู่ที่เส้นทางเหมือนกัน คุณติงจะเลือกแบบไหนคะ”
คำถามของเธอทำให้ติงยียีเองก็ตอบไม่ได้ ได้แต่นั่งอยู่อย่างเซื่องๆ เซี่ยชีหรั่นลุกขึ้น ตบไหล่เธอ น้ำเสียงอ่อนโยน “ฉันไม่เหมือนพ่อแม่คนอื่นที่ใช้เงินบีบให้เธอไปจากเขา นี่มันเป็นการดูถูกความรักพวกเธอ แต่ฉันหวังว่าด้วยฐานะของคนเป็นแม่ขอให้เธอคิดทบทวนให้ดี”
เซี่ยชีหรั่นลุกขึ้น สาวใช้รีบช่วยเธอเปิดประตู เธอเพิ่งจะออกจากประตู ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ฉันรับปากคุณค่ะ”
เธอไม่ได้หันหน้ามา ถอนหายใจหมุนตัวเดินจากไป ตามมาด้วยเสียงปิดประตู ภายในห้องเหลือเพียงเธอกับสาวใช้
สาวใช้ได้แต่ค่อยๆส่งสัญญาณไปทางเธอ แล้วก็เข้าไปทำงานในห้องครัวต่อ กลิ่นหอมของคุ้กกี้ลอยออกมาจากในเตาอบ ติงยียีรู้สึกว่าห้องขนาดหลายร้อยตารางเมตรนี้ไม่ได้อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เธอเดินเข้าห้อง หยิบกระเป๋าเดินทางของตนเองออกมา เอาเสื้อผ้าที่เย่เนี่ยนโม่ซื้อให้เธอแขวนไว้ในตู้อย่างเรียบร้อยเอาเสื้อผ้าที่ตัวเองเอามาสองสามชุดใส่เข้าไป
เดินออกมาจากในห้อง เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก ในห้องน้ำยังมีแปรงสีฟันและแก้วน้ำบ้วนปากแบบเดียวกันวางอยู่ ข้างแก้วน้ำบ้วนปากมีน้ำยาบ้วนปากสองขวดวางซ้อนกันอยู่
“นี่ คุณใช้น้ำยาบ้วนปากของฉันใช่มั้ย น้ำยาบ้วนปากของฉันกลิ่นมิ้นต์ค่อนข้างเข้มข้นกว่า!” ในหัวเธอจู่ๆก็นึกถึงท่าทางตอนที่เย่เนี่ยนโม่เพิ่งตื่นนอนหยิบผิดใช้น้ำยาบ้วนปากของตนที่เพิ่งซื้อมาแล้วยังไม่ยอมรับ หัวเราะคิกคักออกมา
สาวใช้เดินผ่านมาพอดี ก็มองเธออย่างแปลกๆ เธอหุบยิ้ม เก็บของต่อไป หนึ่งชั่วโมงต่อมา เธอมองกระเป๋าเดินทางที่ยัดไม่เข้าแล้วอย่างเหม่อๆ ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เธอเห็นที่นี่เป็นบ้านด้วยความเคยชิน เป็นฝ่ายเอาของใช้ส่วนตัวเข้ามาวางที่นี่ก่อน ตอนที่ต้องเก็บข้าวของออกไป จึงพบว่าความเคยชินได้หลอมรวมเขามาอยู่ในชีวิตแล้ว
ติงยียีหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดหมายเลขที่คุ้นเคย ไม่นานก็มีคนกดรับสาย “ตื่นแล้วเหรอ” เย่เนี่ยนโม่ถาม
จู่ๆเธอก็อยากร้องไห้ แต่กลับพยายามยิ้มออกมา “วันนี้กลับมาเร็วหน่อยได้มั้ยคะ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ”
หลังจากวางสาย เธอก็ทนไม่ไหว ปล่อยน้ำตาไหลพรากอย่างเต็มที่ ในห้องทำงาน เย่ป๋อยืนอยู่อีกด้านรอเย่เนี่ยนโม่คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วจึงพูดต่อไปว่า “ผมตามรถคันนั้นไปที่โรงเรียนสอนขับรถแห่งหนึ่ง คนผู้นั้นเป็นเพียงครูสอนขับรถธรรมดา เขายอมรับว่าซือซือให้เงินเขาสามหมื่นเพื่อให้เขาขับรถชนคุณติงยียีครับ”
เย่เนี่ยนโม่ฟังอย่างเงียบๆ ทุกอย่างเป็นเหมือนกับที่เขาคาดเดาไว้ ซือซือคิดว่าคนที่นั่งอยู่ในรถคือติงยียีและเย่ป๋อ จึงได้ลงมือ เขาหยิบเอกสารออกมาหนึ่งฉบับ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้พบกับซือซือเขาก็รู้สึกอีกฝ่ายหลบสายตา สายตาที่มองตนเองยังแฝงด้วยความแค้นแม้เขาจะเห็นแก่ลุงสวี แต่เขาก็ไม่ปล่อยผู้หญิงคนนี้
“คุณชาย คุณยังไม่ได้บอกคุณติงยียีเหรอครับว่ารู้เรื่องที่เธอเป็นลูกสาวของซือซือกับคุณสวีแล้ว” เย่ป๋อที่อยู่ข้างๆถามอย่างระมัดระวัง ตอนแรกคุณชายให้เขาไปสืบเรื่องพยาบาลในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ชื่อติงเหม่ยหรงรวมถึงประวัติการทำคลอดเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน พอสืบดูก็พบว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนซือซือเคยมาคลอดลูกที่โรงพยาบาลจริงๆ
เย่เนี่ยนโม่บีบสันจมูกตัวเอง ความสงสัยในใจที่มีต่อซือซือยิ่งเพิ่มมากขึ้น เหตุผลอะไรที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมปล่อยแม้แต่ลูกของตัวเอง!
ประตูถูกเปิดออก เย่เชินหลินเดินเข้ามาอย่างปราดเปรียวว่องไว เขาพูดตรงๆไม่อ้อมค้อม “สืบได้ความอะไรแล้วหรือยัง!”
เย่เนี่ยนโม่ส่ายหน้า ลุงสวีเคยบอกว่าอย่าพูดออกไปว่าแม่ของอ้าวเสว่คือใคร แม้ว่าเขาจะไม่รู้จุดประสงค์ของลุงสวี แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่จำเป็นเขาก็จะไม่ทรยศหักหลังเขา
เย่เชินหลินได้แต่นิ่งเงียบไปสิบกว่าวินาที ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดพูดว่า “พ่อจะติดต่อกับผู้มีอำนาจ ดึงภาพจากกล้องวงจรปิดออกมาจะต้องหาตัวคนคนนั้นออกมาให้ได้
เย่เนี่ยนโม่มองพ่อที่ยังคงสุขุมเย็นชา มองเห็นความห่วงใยที่ไม่ปิดบังอยู่ในแววตาเขาโดยไม่ตั้งใจ มีความอบอุ่นบางอย่างไหลเวียนในใจ นิสัยของพวกเขาคล้ายกันมากเกินไป ดังนั้นมักจะเป็นการทำร้ายอีกฝ่าย
“ไม่ว่าคนนั้นจะพุ่งเป้าไปที่ใคร นับจากวันนี้เป็นต้นไปกลับมาอยู่ที่บ้าน!” ความหมายชัดเจนอยู่ในคำพูดของเย่เชินหลิน
“ผมจะคิดทบทวนดูให้ดี” เย่เนี่ยนโม่ดึงสายกลับไปมองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะใหม่
“ต้องคิดนานแค่ไหนถึงได้คำตอบ” เย่เชินหลินรู้จักลูกชายตัวเองดี บีบถามเขา เย่เนี่ยนโม่ยักไหล่ “ใครจะไปรู้ล่ะครับ อาจจะพรุ่งนี้ อาจจะครึ่งเดือน อาจจะหนึ่งปี!”
เย่เชินหลินกลับยิ้มด้วยความเดือดจัด ลุกขึ้นยืนพูดว่า “แกจะทำอะไรฉันจะไม่ก้าวก่าย แต่จะให้แม่แกเป็นห่วงไม่ได้เด็ดขาด!”
เขาเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว เย่ป๋อรีบตามไปส่งเขา เย่เนี่ยนโม่หยิบเสื้อคลุมขึ้นมา เดินตามออกไป ตอนนี้เขาอยากพบคนคนหนึ่ง
กลับบ้านด้วยความกระตือรือร้น พอเข้าประตู ก็มีร่างหนึ่งโผเข้าหาเขา เย่เนี่ยนโม่รีบกอดคนที่โผมาหาเขาคนนั้น ถอยหลังติดๆสองสามก้าวจึงยืนได้มั่น
ติงยียีลากเขาไปหน้าโต๊ะอาหาร ชี้ไปยังอาหารบนโต๊ะด้วยรอยยิ้มพลางมองไปที่เขา เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องอะไรขี้น”
“ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรนี่” ติงยียีรีบหมุนตัวไปตักข้าว เย่เนี่ยนโม่ตามมาข้างๆเธอ พูดอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ทุกครั้งตอนที่น้าหวูมาทำความสะอาดที่บ้านมักจะวางถุงเครื่องหอมหนึ่งถุงไว้หน้าประตูด้วยความเคยชิน”
ติงยียีที่ทำท่าตักข้าวชะงักไปทันที เขารับชามข้าวมาจากในมือเธอ มองเธอไม่ให้เธอหลบหนีไปไหน ในขณะที่เธอกำบังสาละวนอยู่ที่เคาน์เตอร์ปรุงอาหาร
“วันนี้อาจารย์เซี่ยมาค่ะ” เธอหลบสายตาเขา ในใจเย่เนี่ยนโม่เต้นตึกตัก พูดว่า “แล้วยังไง”
“เขาถามฉันว่าความใฝ่ฝันกับความรักฉันเลือกอันไหน และฉันพบว่าฉันเลือกความรัก แต่ฉันกลับไม่เต็มใจอย่างมาก” เย่เนี่ยนโม่ปล่อยเธอ เดินกลับไปทีโซฟาอย่างเงียบๆ หยิบบุหรี่หนึ่งมวนออกมาจากในกล่องบุหรี่ แต่กลับไม่ได้จุด ได้แต่เอามาเล่นในมือ
ติงยียีเดินไปตรงหน้าเขา ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาเขา “ฉันเคยพูดว่าฉันจะไม่พูดออกมาว่าปล่อยมือสองคำนี้ ดังนั้นครั้งนี้คุณเป็นคนพูดว่าปล่อยมือได้มั้ยคะ”
เย่เนี่ยนโม่ขยี้บุหรี่ในมือจนเละ กลิ่นนิโคตินกระจายที่นิ้วมือ เขามองเธอพลางพูดทีละคำว่า “ได้ ผมปล่อยมือ”
น้ำตาเอ่อนองขอบตา ติงยียีรีบยืนขึ้นมา หันหลังให้พูดว่า “โอ้ย ฉันหิวจังเลย พวกเรารีบไปกินข้าวกันเถอะ!”
บนโต๊ะอาหาร เธอไม่มีความกล้าหาญพอที่จะกินข้าวจนเสร็จ เธอลากกระเป๋าเดินทางของตนเองออกมาจากในห้องเดินไปทางด้านนอกอย่างเหนื่อยล้า
“ติงยียี” เย่เนี่ยนโม่เรียกเธอเอาไว้ หยิบเสื้อคลุมที่เธอลืมไว้บนโซฟา เดินไปสวมให้ตรงหน้าเธอ
เธอมองเขาที่ช่วยตนเองติดกระดุมอย่างตั้งใจเหมือนที่ผ่านมา พร้อมกับดึงคอเสื้อให้กระชับ จากนั้นถอยหลังพูดกับเธออย่างจริงจังว่า “ลาก่อน”
“ลาก่อน” ติงยียีหมุนตัวไปอย่างเศร้าๆ จากไปโดยไม่หันกลับมามองเลย ไม่ได้สังเกตคนที่ตามมาด้านหลังตนเอง
บนรถแท็กซี่ คนขับรถปลอบเธอพลางขับรถไปพลาง “คุณผู้หญิง คุณอย่าร้องไห้เลยนะ ตกลงว่ายังไง ท้องแล้วหรือว่าถูกทิ้งกันแน่”
ติงยียีเช็ดน้ำตา แต่จะเช็ดอย่างไรก็ไม่แห้ง ส่ายหน้า พยายามฝืนยิ้ม คนขับเห็นท่าทางแบบนั้นก็ไม่มีอะไรจะพูด มองจากกระจกหลัง แกล้งพูดว่า “ข้างหลังมีรถมาเซราตีหนึ่งคันด้วย หึๆ นี่ถ้าให้ผมนั่งสักครั้งก็ถือว่าตายตาหลับแล้ว”