สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน - บทที่1605 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1445
คนในที่อยู่ในที่แห่งนั้นนตามเสียง สายตาของเย่เนี่ยนโม่ได้จรดไปที่สีหน้าขาวซีดของที่ตัวติงยียี ฝู้เฟิ่งหยียืนขึ้นมา “ชูหวินแกมาพอดีเลย กำลังจะกินข้าวแล้ว อยู่กินข้าวด้วยกันก่อน!”
เย่ชูหวินกวาดสายตามองเย่เนี่ยนโม่ไปอย่างเย็นชา ถือโอกาสแสดงท่าทีไม่ดีกับอ้าวเสว่ไปด้วยเลย “ไม่ต้องแล้วครับคุณย่า ผมมาส่งยียี เดี๋ยวก็จะไปเลย”
สีหน้าของฝู้เฟิ่งหยีไม่ค่อยดีนัก ในสายตาที่มองไปที่ติงยียีมีการตำหนิออกมา ติงยียีแสร้งทำเป็นมองไม่ออก เธอเดินไปที่ข้าง ๆ เย่เนี่ยนโม่ แล้วควักเอาเงินที่ชิวไป๋ให้มาออกมาจากในกระเป๋า
“ข้างในมีอยู่หกแสน คุณลองนับดู” ติงยียีเห็นสีหน้าที่ดูย่ำแย่ของเย่เนี่ยนโม่ ภายในใจมันมีความรู้สึกสะใจจากการได้แก้แค้นไป เธอผันร่างรีบสาวเท้าก้าวใหญ่ ๆ ออกไป
เย่ชูหวินถอนสายตากลับมาจากเงาร่างที่ได้เดินออกไปของเธอ “คุณย่า คุณย่าดูแลสุขภาพด้วยนะครับ ผมขอตัวก่อน”
เย่ชูหวินไปแล้ว อ้าวเสว่ก็มองเย่เนี่ยนโม่ไปอย่างระมัดระวัง “ให้ฉันไปพูดเกลี้ยกล่อมเธอให้สักหน่อยมั้ย?”
“ไม่ต้อง!” เย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้นเดินไปยังห้องทำงาน ฝู้เฟิ่งหยีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็โกรธจนกระหืดกระหอบออกมาเล็กน้อย “เด็กคนนั้นมันอะไรกัน ทำไมพอกลับมาบรรยากาศภายในบ้านมันถึงได้แย่ลงขนาดนี้!”
ติงยียีกลับมาที่ห้อง ต้าต้าได้ผ่านมาพอดี เห็นสีหน้าเธอไม่ดีจึงถามออกมาด้วยความเป็นห่วง “ยียีเธอโอเคหรือเปล่า วันนี้คุณผู้ชายยังสั่งให้ห้องครัวตุ๋นโจ๊กรังนกให้เธอด้วย ฉันไปเอามาให้เธอนะ”
ติงยียีขอบคุณไปอย่างอ่อนแรง ถึงแม้ว่าเธอจะกินอะไรไม่ลงเลย แต่ก็ไม่อยากขัดความหวังดีของต้าต้าไป ต้าต้าเดินไปที่ห้องครัว แต่กลับพบว่ามีสาวใช้คนหนึ่งกำลังหยิบโจ๊กรังนกที่อยู่ในซึ้งนึ่งเตรียมจะเดินออกไป
“โจ๊กชามนั้นเอาไว้ให้ยียี!” ต้าต้าขวางทางเดินของสาวใช้คนนั้นเอาไว้ สาวใช้คนนั้นเหล่ตามองเธอ “เธอนี่นะเธอมันจะโง่เกินไปแล้ว สถานการณ์ของตระกูลเย่ในตอนนี้เธอมองไม่ออกเหรอ แน่นอนว่าเป็นคุณอ้าวเสว่ที่ค่อนข้างจะมีค่าให้คอยดูแลหน่อย ตอนนี้วัน ๆ นึงเธอก็เอาแต่อยู่เล่นกับติงยียี หลังจากนี้จะไม่ถูกคุณอ้าวเสว่มองเป็นหนามยอกอกเอาหรือไง”
ต้าต้าเถียงสู้เธอไม่ได้ ก็เลยต้องมองเธอยกโจ๊กรังนกออกไปตาปริบ ๆ อยู่อย่างนั้น เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยความรู้สึกน้อยใจ “พี่ซางหัว วันนี้มีคนรังแกฉันอีกแล้ว”
ซางหัวนอนอยู่ในบ้านเช่าที่รกไม่เป็นระเบียบ เธอค่อย ๆ พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เนิบช้า “ต้าต้าเด็กดี ตระกูลเย่มีการเคลื่อนไหวอะไรบอกฉันมา ถ้าฉันกลับไปได้ ฉันจะไม่ให้คนอื่นมารังแกเธอได้!”
ต้าต้าวางโทรศัพท์ลง ปาดเช็ดน้ำตาแล้วเดินมือเปล่าไปที่ห้องของติงยียี “ยียี พวกเขาบอกว่าคุณอ้าวเสว่ก็อยากกินโจ๊กด้วยเหมือนกัน ก็เลยยกโจ๊กรังนกไปแล้ว”
นิ้วมือเธออยู่ไม่สุขออกมาด้วยความไม่สบายใจ “ยียี หล่อนรังแกเธอขนาดนี้แล้วเธอยังทนได้อยู่อีกเหรอ? ทั้ง ๆ ที่เป็นพี่น้องกันแท้ ๆ”
ติงยียีตบไหล่เธอไปเบา ๆ เหมือนกับการปฏิบัติต่อน้องสาวคนหนึ่ง “ต้าต้า คำพูดพวกนี้ตอนปกติอย่าได้พูดส่งเดชออกมา เลี่ยงไม่ให้เป็นการหาเรื่องใส่ตัว เรื่องนี้มันก็ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าจะกับใครเธอก็พูดออกไปไม่ได้เข้าใจหรือเปล่า?”
“แต่ว่า!” ต้าต้ารู้สึกไม่ยอมขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากที่เห็นสายตาที่แน่วแน่ของเธอแล้วก็ทำได้แค่พูดตอบรับเสียงพึมพำอยู่ในลำคอไปเท่านั้น ภายในใจหวังว่าพี่ซางหัวจะสามารถรีบ ๆ กลับมาไล่คุณอ้าวเสว่หญิงชั่วคนนั้นออกไปเสียที
“ต้าต้า!” ด้านหลังจู่ ๆ ก็มีเสียงของพ่อบ้านดังเข้ามา ต้าต้าหันไปอย่างลนลาน รีบก้มหน้าลงไปทันที “ท่านนาย”
“ลงไปเถอะ” พ่อบ้านขยิบตาให้กับต้าต้า เธอรีบผันร่างเดินออกไปทันที ฝู้เฟิ่งหยีเดินเข้ามาในห้อง สีหน้าได้มีความไม่พอใจออกมาจาง ๆ
“ท่านนายมีธุระเหรอคะ?” ติงยียีจ้องมองเธอไปตรง ๆ น้ำเสียงไม่ได้ฟังดูต่ำต้อยและก็ไม่ได้หยิ่งยโสจนเกินไป แต่ว่าภายในใจมันก็ยังมีความสงสัยอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าทำไมท่านนายถึงได้โกรธขนาดนั้น
ฝู้เฟิ่งหยีนั่งลง น้ำเสียงจริงจัง “ผู้หญิงของตระกูลเย่ ถ้าชาติกำเนิดไม่ดีมันไม่ใช่เรื่องใหย่ แต่จะต้องรักนวลสงวนตัว จะไปทำตัวเป็นผู้หญิงที่ทำตัวไม่อยู่กับร่องกับรอยไม่ได้”
ติงยียีมองเธอไปด้วยความประหลาดใจ ภายในใจได้เกิดความโกรธขึ้นมาจาง ๆ เธอพยายามรักษาวิธีการพูดที่สงบเยือกเย็นเอาไว้อย่างเต็มที่ “ท่านนาย ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”
“ความหมายของฉันเธอยังไม่เข้าใจอีกงั้นเหรอ? ในเมื่อเนี่ยนโม่ชอบเธอ เธอก็ควรทุ่มให้เขาไปทั้งใจ ทำไมถึงยังเดินกับชูหวินเสียใกล้ชิดขนาดนั้น ทำตัวเหลวแหลกเสียขนาดนั้น!”
ฝู้เฟิ่งหยีถลึงตามองเธอไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ในดวงตาเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม คำพูดของเธอทำให้ติงยียีตะลึงไปตรงนั้นเลย อะไรกันที่ว่าทำตัวเหลวแหลก เธอเปล่าเสียหน่อย!
หยาดน้ำตาคลออยู่ในเบ้าตาของเธอ จวนจะไหลพรากออกมาอยู่รอมร่อ เธอพยายามกัดริมฝีปากไปสุดชีวิต แต่เสียงมันกลับสะอึกสะอื้นออกมา “ท่านนาย ฉันไม่ใช่คนอย่างที่คุณว่ามา”
“งั้นความหมายของเธอคือจะบอกว่าสิ่งที่ฉันเห็นมันเป็นเรื่องไม่จริงทั้งนั้น ถึงแม้ว่าชูหวินจะชอบเธอ แต่ฉันหวังว่าเธอจะควบคุมพฤติกรรมของตัวเองสักหน่อย รักษาระยะห่างกับอีกฝ่าย อย่าทำตัวไม่รู้จักพอ” ฝู้เฟิ่งหยีเหยียดตัวลุกขึ้นมองติงยียีไปอย่างดุดัน
ติงยียีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ แล้วยังเป็นย่าของเย่เนี่ยนโม่อีก เธอจะไปโต้เถียงกับคนแก่คนนึงไม่ได้จริง ๆ เธอกดเสียงต่ำลง “ทราบแล้วค่ะคุณย่า”
“ฉันไม่ได้ยิน!” ในดวงตาของฝู้เฟิ่งหยีว่างเปล่าออกมา แม้ว่าจะไม่ได้โกรธเกรี้ยวออกมา แต่ก็ยังคงความน่าเกรงขามเอาไว้อยู่
ในทันใดนั้นเอง พ่อบ้านก็ได้เคาะประตูเข้ามา “ท่านนายครับ ด้านนอกมีนักออกแบบชาวฝรั่งเศสท่านนึงมา บอกว่ามาหาลูกศิษย์ ถ้าไม่เจอก็จะอยู่ที่ตรงนั้นไม่ไปไหน”
“มาหาลูกศิษย์? ใครกล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลเย่!” ฝู้เฟิ่งหยีมองติงยียีไปแวบนึง ผันร่างก้าวออกไปข้างนอก
ความคิดของติงยียีมันยุ่งเหยิงขึ้นมา หรือว่าอาจารย์จะมางั้นเหรอ? ในใจเธอมันร้อนใจขึ้นมา รีบไปยังห้องโถงด้วยความเร่งรีบทันที
ทันทีเข้ามาถึงห้องโถง เงาร่างใหญ่โตตัวหนึ่งได้กระโจนเข้ามา อุ้งเท้าหน้าของแพนด้าได้ตะปบลงมาบนไหล่ของติงยียี แลบลิ้นใหญ่ออกไปเลียหน้าเธอด้วยความรักใคร่
ติงยียีทั้งตกใจและทั้งดีใจ ลูบร่างที่มีขนเงาวับของมันไปอย่างมีความสุข เอเลนยืนมองเธอไปอย่างอ่อนโยนอยู่ตรงจุดที่ห่างออกไปหลายก้าว Alinชูไม้เท้าจะเข้าไปตีเธอ ชูอยู่นานแต่ก็ไม่ได้ลงมือไปเสียที “ยัยเด็กหน้าเหม็นคนนี้นี่ ฉันก็ว่าอยู่ว่าทำไมนานขนาดนี้แล้วเธอยังไม่กลับไปเสียที ใครคิดจะรังแกเธอไม่มีทางเสียหรอก!”
สายตาของเขาเลื่อนไปที่ฝู้เฟิ่งหยีไปโดยไม่ตั้งใจ สีหน้าของฝู้เฟิ่งหยีเยือกเย็นออกมา “ตระกูลเย่ของฉันถึงแม้ว่าจะต้อนรับแขก แต่ก็ไม่ใช่ที่ที่ใครอยากจะเข้ามาก็เข้ามาได้ ยียีเธอจัดการเรื่องวันนี้ให้เรียบร้อย”
พูดจบเธอก็ก้าวเท้าเตรียมจะเดินขึ้นไปชั้นบน Alinพูดออกมาประโยคนึงด้วยภาษาฝรั่งเศส “ผู้หญิงอารมณ์ร้ายจะแก่เร็วกว่าเดิม”
“เขาพูดว่าอะไร?” ฝู้เฟิ่งหยียืนอยู่ที่ปากบันไดขมวดคิ้วถามติงยียีออกไป Alinถลึงตาจ้องติงยียีไปแวบนึง “แปลให้หล่อนฟัง”
ติงยียีก็เลยต้องพูดข้อมูลจากอาจารย์ให้กับฝู้เฟิ่งหยีไปอย่างอ้อมค้อม “อาจารย์บอกว่าผู้หญิงที่ชอบยิ้มจะไม่แก่ง่ายมากกว่า”
ฝู้เฟิ่งหยีฟังจบแล้วก็ถลึงตาออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “ตาแก่ต่างชาติคนนี้มันยังไงกัน! ประเทศจีนของเราเป็นประเทศที่เคร่งเรื่องมารยาท ไม่อาจทนให้นายมาพูดจาไร้สาระไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอยู่ที่นี่ได้เป็นอันขาด”
คำพูดของเธอพูดออกมาจบ คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็พากันทอดสายตาไปที่ติงยียีกัน เอเลนอยู่ที่ข้าง ๆ มองความวุ่นวายไม่ส่งเสียงพูดอะไรออกมา ติงยียีเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงดี ไม่ว่าจะแปลไปยังไงมันก็ขัดใจทั้งสองคนทั้งนั้นเลย
“คุณย่า” เย่เนี่ยนโม่ปรากฏตัวมาที่ปากทางขึ้นลงบันได Alinพอเห็นเขาก็แสดงท่าทางโกรธออกมาทันที “ลูกศิษย์ของฉันนายก็กล้ารังแกได้ ถ้าไม่ได้สาวน้อยคนนึงให้เอเลนมาบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ฉันก็ยังไม่รู้ว่าลูกศิษย์ของฉันถูกกักขังเป็นคนใช้อยู่ที่นี่!”
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้ว แล้วใช้ภาษาฝรั่งเศสพูดออกมาประโยคนึง “ผมคิดว่าเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับท่าน”
Alinโบกมือออกมา เอเลนที่ยืนนิ่งอยู่ตลอดได้เดินเข้ามาวางกล่องในมือลงไปบนโต๊ะ เขาเปิดออกแล้วหันปากกล่องไปให้กับทุกคน “เงินดอลลาร์ด้านในคงจะเพียงพอที่จะไถ่ตัวยียีกลับมาได้นะ”
“ลูกศิษย์ พวกเรากลับ!” Alinยื่นมือไปลากติงยียีเดินไปด้านนอก ทันทีที่เดินไปถึงที่หน้าประตูทางเข้าก็ได้ถูกการ์ดล้อมเอาไว้ เสียงของเย่เนี่ยนโม่เรียบนิ่ง “ไม่ว่าใครก็พาเธอไปไม่ได้ทั้งนั้น”
บรรยากาศได้ตกอยู่ในภาวะหยุดชะงักไปชั่วขณะ ติงยียีมองเย่เนี่ยนโม่ในสายตามีความขอร้องวิงวอนออกมา หวังว่าเขาอย่าได้ปฏิบัติต่ออาจารย์ของเธออย่างนี้ แต่สิ่งที่ตอบกลับเธอมากลับเป็นดวงตาที่เย็นชาเสียจนมองไม่ออกถึงความรู้สึกในตอนนี้ของเขาเลย
“เนี่ยนโม่ คุณย่าเป็นอะไรเหรอคะ?” อย่างกับคิดว่ามันยังวุ่นวายไม่พอ อ้าวเสว่ได้แบกท้องโย้เดินออกมา เธอคล้องแขนของเย่เนี่ยนโม่ไปเบา ๆ มองคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เย่เนี่ยนโม่แกมันไอ้เวรระยำ!” นึกไม่ถึงว่าคนที่เปิดปากพูดออกมาก่อนเป็นคนแรกจะเป็นเอเลน เขาเหวี่ยงหมัดออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยวต่อยไปยังเย่เนี่ยนโม่ในตอนที่ผู้คนยังไม่ทันได้ตอบสนองกันออกมา
อ้าวเสว่ร้องตกใจออกมา เข้าไปหลบข้างหลังเย่เนี่ยนโม่ทันที คิ้วของเย่เนี่ยนโม่ขมวดแน่น ในชั่วพริบตาเดียวหมัดของเอเลนก็ได้ส่งเข้ามาที่ตรงหน้าเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขายื่นมือออกไปรับหมัดของเอเลนเอาไว้อย่างมั่นคงแล้วบิดไปอย่างแรง เอเลนปิดแขนเอาไว้ยืนทรงตัวไม่อยู่ ยืนโซเซอยู่บนบันไดไปหลายที
“เอเลนคุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย!” ติงยียีรีบเข้ามาประคองเขาขึ้นมา เอเลนพลิกมือกลับมาคว้าเธอเอาไว้ “ยียี พวกเราไปกันเถอะ ผู้ชายคนนี้แม้แต่ภรรยาก็มีแล้ว เธอกลับฝรั่งเศสกับพวกเราเถอะ”
“พอได้แล้ว!” ฝู้เฟิ่งหยีอดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูดออกมา เธอมองติงยียีไปอย่างเยือกเย็น “หรือเธอจะลืมสิ่งที่ฉันพูดกับเธอไปแล้วงั้นเหรอ? ทำไมเธอถึงไม่รู้จักวางตัวขนาดนี้!”
เอเลนกับAllinไม่รู้ว่าไม่รู้จักวางตัวมันหมายความว่าอะไร แต่เย่เนี่ยนโม่กลับได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วแน่นออกมา อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “คุณย่า”
ติงยียีปล่อยเอเลนออกไป เธอเดินเข้าไปที่ตรงหน้าฝู้เฟิ่งหยีจ้องมองเธอไปตรง ๆ “คุณย่า ฉันไม่ได้ไม่รู้จักวางตัว ลูกชายของคุณทำผู้หญิงคนอื่นท้อง นี่ต่างหากที่เรียกว่าไม่รู้จักวางตัว ฉันกับเขาไม่ได้แต่งงานกัน ฉันไม่ใช่คนของเขา ทำไมฉันจะไปหาผู้ชายคนอื่นไม่ได้!”
“เธอ!” ฝู้เฟิ่งหยีโกรธจนถอยออกไปข้างหลังติด ๆ ชี้ไปที่ติงยียีหายใจกระหืดกระหอบออกมาติด ๆ อยู่หลายครั้ง แต่กลับพูดไม่ออกเลยสักประโยคเดียว ติงยียีก้าวเข้าไปข้างหน้าก้าวนึงแล้วพูดออกไปต่อ “อาจารย์ของฉันไม่ได้ทำอะไรเลย คุณช่วยเกรงใจเขาสักหน่อย”
“ยียีพอแล้ว!” เย่เนี่ยนโม่จับข้อมือของติงยียีเอาไว้พร้อมกับตะคอกเสียงดังออกมา น้ำเสียงจริงจัง ไฟโกรธที่อยู่ในดวงตาได้ปิดซ่อนเอาไว้ไม่อยู่ อ้าวเสว่รีบพูดกล่อมอยู่ทางด้านหลังเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “อย่าโกรธเลย ยียีคงจะเพียงแค่โกรธมากเท่านั้นเอง”
ร่างของฝู้เฟิ่งหยีที่อยู่ข้าง ๆ จู่ ๆ ก็โงนเงนออกมา ทั้งร่างได้เซล้มไปข้างหลัง อ้าวเสว่ร้องตกใจออกมารีบเข้าไปประคองเธอเอาไว้ เย่เนี่ยนโม่หันหน้าไปมองติงยียีอย่างเยือกเย็นไปแวบนึง เพียงไม่นานก็ได้เบือนสายตาออกไปสั่งพ่อบ้าน “ไปเรียกหมอมา”
ติงยียียืนอยู่ตรงที่เดิม มองคนใช้ประดังกันเข้าไปล้อมท่านนายพากลับห้องไป ทุกคนวุ่นวายกันไปหมด เย่เนี่ยนโม่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้เงยหน้ามามองเธออีกเลย
เธอไม่รู้ว่ายืนอยู่นานแค่ไหน จนกระทั่งเอเลนเดินเข้ามาตบไหล่เธอไปเบา ๆ “พวกเราไปกันเถอะ”
เธอส่ายหน้าออกมาเล็กน้อย อารมณ์ดิ่งต่ำลง “ฉันทำผิดไปใช่มั้ย?”
Alinส่งเสียงเฮอะออกมา “ผู้ชายอย่างนั้นตกลงมันมีอะไรดีกัน เธอกลับฝรั่งเศสไปกับฉัน อยากได้ผู้ชายแบบไหนฉันจะหาให้เธอหมดเลย”