สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 72 สืบความต่อ
ตอนที่ 72 สืบความต่อ
มองเพียงแวบแรก ห้องรับรองแขกอาจไม่ต่างอันใดกับก่อนหน้านี้ แต่หากมองให้ละเอียดจะพบว่าไม่เหมือนเดิม เช่นโต๊ะที่ติดกำแพงมีแจกกันทรงกลมปักดอกไม้สดไว้ เก้าอี้ปูลาดด้วยเบาะนุ่มสีเขียว
หากหยิบยืมคำพูดของหลิวโจวมากล่าว เมื่อก่อนห้องรับรองให้ผู้ดูแลร้านสูงวัยใช้งานช่างไร้ราคาแท้
“พี่จี้นั่ง” ซินโย่วยิ้มทักทาย ยกกาน้ำชาเทสองแก้ว
ชาดอกเก๊กฮวยใส่น้ำตาลกรวดสองเม็ด ดื่มแล้วหวานสดชื่น จี้ไฉ่หลันดื่มติดกันไปหลายคำ เอ่ยชมไม่หยุดปาก “น้ำชาน้องโค่วอร่อยจริง”
“เช่นนั้นพี่จี้ก็มาบ่อยๆ”
“น้องโค่วไม่รังเกียจว่าข้ามารบกวนเวลางานของเจ้าก็พอ”
“จะรังเกียจได้อย่างไรกัน งานข้าไม่ยุ่ง ร้านหนังสือมีผู้ดูแลร้าน มีคนงาน มีช่างพิมพ์ มีข้าคนเดียวที่ว่าง”
จี้ไฉ่หลันรู้สึกเพียงแค่สหายใหม่ถูกใจไปเสียทุกอย่าง สีหน้าเผยรอยยิ้มยิ่งมาก “เช่นนั้นก็ดี น้องโค่ว ‘วาดหนัง’ เล่มสองเขียนเสร็จแล้วหรือ จะวางขายต้นเดือนเก้าจริงหรือ”
“น่าจะไม่มีปัญหา”
“ดีจริง!” จี้ไฉ่หลันบีบมือตนเองแน่นพยายามไม่เอ่ยถามว่าหวางเซิงมองเห็นสาวงามหรือปีศาจร้ายผ่านหน้าต่างบานนั้นกันแน่
นางไม่ใช่คนไม่รู้ความที่จะถามคำถามสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่นเช่นนั้น
ซินโย่วจิบชาไปคำหนึ่ง “ใช่แล้ว เหตุใดน้องโจวไม่มาด้วย”
ได้ยินซินโย่วเอ่ยถึงโจวหนิงเยวี่ย จี้ไฉ่หลันก็ถอนหายใจ “ระยะนี้น้องเยวี่ยอารมณ์ไม่ดี ถามอันใดนางก็ไม่ตอบ วันนี้ข้านัดนางมาด้วยกัน แต่นางกลับไม่ยอมออกจากบ้าน”
“ครั้งนั้นข้าเห็นน้องโจวอารมณ์ดีไม่เลวอยู่นี่”
“ใช่ ผู้ใดจะรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น” จี้ไฉ่หลันกลัดกลุ้ม
นางมีพี่ชายเพียงสองคน เห็นน้องสาวลูกพี่ลูกน้องผู้นี้เป็นดังน้องสาวแท้ๆ มาตลอด หากนางไม่เบิกบานใจ เที่ยวเล่นด้วยกันก็ไม่สนุก
“ข้ามีของบางอย่าง น้องโจวเห็นแล้วไม่แน่อาจจะเบิกบานใจ”
“ของอันใดหรือ”
“พี่จี้รอสักครู่”
ซินโย่วเดินออกไป สั่งเสี่ยวเหลียนที่ห้องโถงด้านนอกเบาๆ เสี่ยวเหลียนพยักหน้ารีบเดินออกไป
“น้องโค่วบอกข้าไม่ได้หรือว่าคืออันใด” จี้ไฉ่หลันถามอย่างไม่อาจระงับความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง
ซินโย่วคลี่ยิ้ม “บอกไปก็ไม่ตื่นเต้นน่ะสิ รออีกสักครู่พี่จี้ก็เห็นแล้ว”
เสี่ยวเหลียนไม่ได้ปล่อยให้ทั้งสองคนรอนาน เลิกม่านก้าวเข้ามา ส่งห่อผ้าสีเขียวให้ซินโย่วก่อนจะถอยออกไปเงียบๆ
ซินโย่วเปิดผ้าสีเขียวด้านนอกออก เผยให้เห็นสมุดเล่มเล็กที่ยังไม่มีหน้าปก
จี้ไฉ่หลันตื่นตะลึง
นี่คืออันใด! คงไม่ใช่พวกหนังสือเล่มน้อย[1]ในตำนาน พวกที่ไม่สวมเสื้อผ้าพวกนั้นกระมัง!
แม้นางไม่เคยอ่าน แต่หลายปีมานี้ได้อ่านหนังสือนิยายมากมายสั่งสมประสบการณ์มาไม่น้อย บางครั้งก็ได้ยินตัวละครในนิยายเหล่านั้นเอ่ยถึงอยู่บ้างว่าในหนังสือเล่มน้อยนั้นมีอันใด
นี่…หากน้องโค่วเชื้อเชิญให้นางอ่าน นางจะอ่านหรือไม่อ่านดี
จี้ไฉ่หลันกวาดตามองไปที่หน้าประตูอย่างตื่นเต้น พลันรู้สึกขัดแย้งในใจขึ้นมาอย่างรุนแรง
แม้ว่าซินโย่วมีความรู้ไม่น้อย แต่ไม่มีความรู้ในเรื่องหนังสือเล่มน้อย เห็นปฏิกิริยาจี้ไฉ่หลัน ในใจก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่น้อย เหตุใดคุณหนูจี้จึงได้มีสีหน้าลับๆ ล่อๆ ขึ้นมากะทันหันเช่นนี้
“พี่จี้เป็นอันใดไปหรือ”
“มะ ไม่มีอันใด”
ซินโย่วผลักสมุดให้นาง “เปิดดูสิ”
“อา นี่ นี่เหมาะหรือ” หนังสือเล่มน้อยในมือจี้ไฉ่หลันพลันหนักอึ้ง พูดจาไม่เป็นจังหวะ
นางยังไม่ทันเตรียมใจพร้อมนะ!
ซินโย่วยิ่งงุนงง “เหตุใดไม่เหมาะ ข้าเอาให้พี่จี้ดู พี่จี้ก็มิได้จะเอาไปให้ผู้อื่นดูเสียหน่อย”
จี้ไฉ่หลัน “!”
แต่น้องโค่วดูกระตือรือร้นจริง หรือว่า…ดูสักหน่อยละกัน
จี้ไฉ่หลันตัดสินใจเด็ดขาด เปิดหนังสือเล่มน้อยออกอ่าน
ภาพที่เห็นก็คือชายแต่งกายแบบบัณฑิตหยุดอยู่บนท้องถนน กำลังสนทนากับสตรีรูปร่างอรชร งดงามอย่างมาก
ภาพวาดนี้มิใช่ขาวดำ แต่แต่งแต้มสีสัน ไม่ว่าปิ่นปักผมสตรี หรือว่ากระโปรงยาวปักลายดอก ล้วนให้รายละเอียดประณีตมาก ราวกับมีชีวิต คล้ายว่าชายหญิงปรากฏอยู่ตรงหน้า
จี้ไฉ่หลันพลิกไปหน้าสองอย่างไม่ทันรู้ตัว ภาพวาดราวกับมีชีวิต
“เป็นอย่างไรบ้าง สนุกไหม” ซินโย่วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือเสียงหัวเราะ ทำให้จี้ไฉ่หลันได้สติคืนมา
จี้ไฉ่หลันผงะเงยหน้าขึ้น ชี้ไปที่ภาพบนหนังสือเล่มน้อย “นี่ นี่ไม่ใช่ภาพฉากหวางเซิงได้พบกับเหมยเหนียงบนถนนหรือ”
“บรรยายภาพเหมือนต้นฉบับ อยู่ๆ ข้าก็เกิดแรงบันดาลใจ วาดฉากใน ‘วาดหนัง’ เล่มหนึ่งออกมาเป็นฉากๆ พี่จี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
จี้ไฉ่หลันกะพริบตาเก้กัง
นางคิดมากไปแล้ว นางเพิ่งพลิกถึงหน้าสุดท้าย ยังคิดว่าพวกภาพไม่สวมเสื้อผ้าจะอยู่ท้ายเล่ม!
แต่ไม่นานความตื่นเต้นก็สะกดความเก้กัง แววตาจี้ไฉ่หลันลุกโชน สองมือกดสมุดเล่มน้อยแน่น “น้องโค่ว เจ้าร้ายกาจมาก คิดได้อย่างไรว่าจะวาดเรื่องนี้ออกมาเป็นภาพ!”
“อาจเพราะว่างมากกระมัง พี่จี้ พี่ว่าน้องโจวได้ดูเล่มนี้ จิตใจจะดีขึ้นบ้างหรือไม่”
“แน่นอน” จี้ไฉ่หลันพยักหน้าเต็มแรง เอ่ยวาจาเชื้อเชิญออกไปทันที “หากน้องโค่วไม่มีอันใด พวกเราก็ไปหาน้องเยวี่ยด้วยกัน ให้นางตื่นเต้นกับหนังสือเล่มน้อยนี้ด้วยกัน”
“ได้สิ” ซินโย่วรับปากอย่างลิงโลด
ทั้งสองคนเดินออกจากร้านหนังสือ ไม่ได้เช่ารถม้า แต่เดินไปคุยไป ไม่รู้ตัวก็มาถึงบ้านโจวหนิงเยวี่ย
“น้องเยวี่ย เจ้าดูสิ ผู้ใดมา!” จี้ไฉ่หลันยังอยู่ในลานก็ส่งเสียงตะโกนเรียกอย่างเบิกบานใจ
แม้ซินโย่วมีเรื่องในใจหนักอึ้ง แต่ได้อยู่กับเด็กสาวบริสุทธิ์สดใสเช่นจี้ไฉ่หลันก็อดเผยรอยยิ้มจริงใจไม่ได้
ประตูเรือนตะวันตกเปิดออก โจวหนิงเยวี่ยเดินออกมา เห็นซินโย่วมากับจี้ไฉ่หลันก็มีสีหน้าตกใจ “พี่โค่ว?”
ซินโย่วไม่ได้ตอบรับทันที ในแววตาพลันมีภาพหนึ่งขึ้นมาแทนที่
เป็นยามกลางวัน โจวหนิงเยวี่ยยืนอยู่นอกประตูคล้ายว่ามองเห็นอันใดสักอย่าง ตะกร้าในมือร่วงลงพื้น วิ่งล้มลุกคลุกคลานไปเหลียวหลังไป วิ่งไปถึงกลางลานก็ล้มลง สีหน้าปวดร้าวและตื่นตกใจ
คนที่ออกมาจากในห้องก็คือโจวทงบิดานาง
“พี่โค่ว…” เห็นซินโย่วนิ่งเงียบ โจวหนิงเยวี่ยก็ส่งเสียงเรียกอีกครั้ง
ซินโย่วได้สติคืนมา สาวน้อยเผยรอยยิ้มหวานล้ำตรงหน้ากับสาวน้อยตื่นตกใจสิ้นหวังในภาพที่เห็น ความแตกต่างอย่างหน้ามือหลังมือนี้ทำให้ในใจนางรู้สึกสับสนอย่างมาก
ดีที่แต่เล็กมาซินโย่วก็ผ่านชีวิตมาเช่นนี้ ภาพที่พลันปรากฏอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเหล่านั้นแม้ไม่อาจทำใจให้นิ่งไร้ความรู้สึก แต่ก็พอทำใจสงบยอมรับได้
“ไม่ได้พบกันหลายวัน คล้ายว่าน้องเยวี่ยผอมลง” ซินโย่วถามไถ่อย่างไม่แสดงพิรุธ ในใจกลับกำลังวิเคราะห์ภาพที่ได้เห็นอย่างรวดเร็ว
โจวหนิงเยวี่ยตั้งแต่ทำตะกร้าหลุดมือไปจนล้มลง ความเคลื่อนไหวไม่น้อย แต่ตอนบิดาโจวหนิงเยวี่ยไล่ตามมาถึงในลาน กลับไม่มีคนอื่นๆ อยู่ด้วย
มารดาโจวหนิงเยวี่ย สาวใช้ คนเฝ้าประตู แม่ครัว บ่าวรับใช้ ไม่มีคนออกมาสักคน
หรือว่ายามนั้นมีเพียงโจวทงกับโจวหนิงเยวี่ยสองพ่อลูกอยู่บ้าน
สถานการณ์เช่นนี้น่าประหลาดมาก
ซินโย่วมองตะกร้าที่ตกอยู่ที่พื้นอย่างนึกสงสัย
ตะกร้าสานพลิกคว่ำ ผ้าลายดอกที่ปิดตะกร้าเปิดออก ขนมไหว้พระจันทร์กระจายเต็มพื้น
ขนมไหว้พระจันทร์…ซินโย่วกระตุกวาบ
วันนั้นหรือว่าเป็นวันเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง[2]?
หากเป็นวันเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง คนอื่นไม่ว่า แต่ความเป็นไปได้ที่มารดาโจวหนิงเยวี่ยไม่อยู่บ้านน่าจะน้อยมาก
หวนคิดถึงโจวหนิงเยวี่ยยืนอยู่นอกประตูพลันเห็นภาพน่าตกใจ ทิ้งตะกร้าวิ่งออกมา ในใจซินโย่วก็คาดเดาได้แล้ว
[1] หนังสือภาพการ์ตูน
[2] วันไหว้พระจันทร์