สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 8 สมบัติตระกูล
ตอนที่ 8 สมบัติตระกูล
การหมดสติไปครั้งนี้ของซินโย่วไม่เพียงทำให้นายหญิงผู้เฒ่าตกใจ ยังมีนายหญิงใหญ่เฉียวซื่อกับนายหญิงรองจูซื่อ
ตลอดทางกลับจากเรือนหว่านฉิง เฉียวซื่อที่เดินอยู่ข้างกายนายหญิงผู้เฒ่าถามอย่างแปลกใจว่า “ไม่คิดว่าชิงชิงสูญเสียความทรงจำแล้วจะจำได้เพียงแม่นมนาง”
นายหญิงผู้เฒ่าสายตาเข้มขึ้น เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “น่าจะเพราะการหมดสติครั้งนี้ ขึงเริ่มค่อยๆ จำได้แล้ว”
เฉียวซื่อชะงักฝีเท้า แต่มุมปากก็พลันแย้มยิ้ม “หากเป็นเช่นนี้ก็ดีมาก การลืมเรื่องในอดีตอย่างไรก็ไม่ค่อยดีนัก”
นายหญิงผู้เฒ่าคล้ายว่าเหนื่อยล้าแล้ว ไม่เอ่ยอันใดอีก ให้สาวใช้ประคองกลับเรือนหรูอี้ถัง
เฉียวซื่อกับจูซื่อแยกกันเดินกลับเรือนพักตนเอง ริมฝีปากไร้รอยยิ้ม
“เหลียนหมัวมัว เจ้าว่าความทรงจำคุณหนูนอกฟื้นคืนมาแล้วหรือยัง”
เหลียนหมัวมัวเป็นคนสนิทที่ติดตามเฉียวซื่อออกเรือนมา ได้ยินก็ถามอย่างลังเล “ล้วนกล่าวกันว่าสมองถูกกระทบกระเทือนยากจะคาดการ อาจจะจำไม่ได้ไปตลอดชีวิต และก็อาจเป็นไปได้ว่าจะนึกขึ้นมาได้กะทันหัน คุณหนูนอกอายุยังน้อย หายเร็ว…”
ใกล้ถึงเรือนหย่าซินย่วนที่พักเฉียวซื่อแล้ว นางยืนนิ่งยิ้มมุมปาก “ใช่ อายุยังน้อย หายเร็ว”
เรือนหว่านฉิง
กลิ่นยาตลบอบอวล เสียงร่ำไห้ของฟางหมัวมัวกับเสี่ยวเหลียนยังคงดังอยู่
ฟางหมัวมัวร้องไห้ที่ได้กลับมาพบกับคุณหนูอีกครั้งหลังจากกันไปนาน เสี่ยวเหลียนร้องไห้เพราะหวั่นเกรงเรื่องคุณหนู ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตาย ตกอยู่ในอันตราย
พอเป็นเช่นนี้ ซินโย่วก็พยายามทำใจให้นิ่งสงบมากกว่าปกติ “เสี่ยวเหลียน ไปยกน้ำร้อนมากะละมังหนึ่ง ให้ฟางหมัวมัวล้างหน้าล้างตาก่อน”
เสี่ยวเหลียนรับคำออกไปยกกะละมังน้ำร้อนมา
ฟางหมัวมัวล้างหน้าแล้ว ขอบตาก็แดงก่ำยิ่งขึ้น จับจ้องมองแต่ใบหน้าซินโย่วอย่างไม่อาจตัดใจละสายตาไปได้ “ไม่ได้พบกันสามปี คุณหนูโตขึ้นมาก และก็ผอมลง”
ซินโย่วยิ้มอ่อนโยน
หลังมีความคิดที่จะให้ฟางหมัวมัวกลับมา นางได้ปรึกษากับเสี่ยวเหลียนแล้ว ว่าจะไม่เผยสถานะตน เวลาสามปีเพียงพอจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง นางเชื่อว่านางจะไม่ทำให้ฟางหมัวมัวสังเกตเห็น
“คุณหนู ก่อนหน้านี้เอ่ยกับนายหญิงผู้เฒ่าว่าจำบ่าวได้ หมายความเช่นไรเจ้าคะ” เห็นสีหน้าซินโย่วยังพอมีกำลังวังชา ฟางหมัวมัวจึงถามเรื่องที่ตนสงสัยออกไป
ซินโย่วมองเสี่ยวเหลียนทีหนึ่ง
เสี่ยวเหลียนเล่าเรื่องโค่วชิงชิงตกหน้าผาสูญเสียความทรงจำ ก่อนหน้านี้ได้รับการกำชับมาจากซินโย่วแล้ว จึงเล่าไปอย่างไม่ได้ปกปิดเรื่องใด
ฟางหมัวมัวฟังจบ ก็กอดซินโย่วร้องไห้อย่างปวดใจ “คุณหนู ลำบากท่านแล้ว”
“แม่นมเดินทางมาก็คงเหนื่อยแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว” ซินโย่วเอ่ยขึ้นเบาๆ
“บ่าวไม่เหนื่อย วันนี้บ่าวจะเฝ้าคุณหนู คุณหนูรีบนอนเถอะ”
ซินโย่วพยักหน้าเล็กน้อย หลับลงอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเหลียนเห็นฟางหมัวมัวเหน็บมุมผ้าห่มให้ซินโย่ว แววตามีทั้งความหวังและความไม่สบายใจ
คุณหนูบอกว่าไม่ได้พบกันสามปี ฟางหมัวมัวถูกคนซื้อตัวไปแล้วหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้ ต้องดูปฏิกิริยาฟางหมัวมัวก่อนค่อยว่ากัน
ฟางหมัวมัว…จะทำให้นางผิดหวังหรือไม่
กลางคืนดึกสงัด สาวน้อยบนเตียงหลับสนิท ที่ปลายเท้านางมีฟางหมัวมัวปูพื้นเฝ้าสังเกตอาการอยู่ตลอดเวลา แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน
พอรุ่งเช้า คนจากทุกเรือนที่พากันมาเยี่ยมต่างก็ตกใจที่สีหน้าซินโย่วดูดีขึ้นมาก แต่ฟางหมัวมัวที่มาถึงเมื่อวานกลับขอบตาดำคล้ำ คล้ายว่าจะล้มลงได้ตลอดเวลา
แม้ซินโย่วไม่ได้พูดคุยกับคนที่มาเยี่ยมมากนัก แต่ก็ดำรงมารยาทอย่างดี จากที่ฟางหมัวมัวได้เห็น สาวน้อยตรงหน้าที่เคยเป็นคุณหนูที่สูญเสียบิดามารดาไปกะทันหันในความทรงจำนางได้กลายเป็นคุณหนูที่สุขุมนิ่งและระวังตัว
กว่าจะได้กลับมาอยู่ข้างกายคุณหนูไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมฟางหมัวมัวคิดว่าจะค่อยๆ จัดการ แต่พอได้เห็นวันนี้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“คุณหนูบ่าวมีเรื่องพูดกับคุณหนูเจ้าค่ะ”
ซินโย่วบอกให้เสี่ยวเหลียนออกไปก่อน “แม่นมต้องการพูดอันใดกับข้าหรือ”
ฟางหมัวมัวสีหน้าสับสน พลันคุกเข่าลง ตัดสินใจเด็ดขาดเอ่ยขึ้นว่า “บ่าวแยกจากคุณหนูมานาน รู้ว่าคำพูดบ่าว คุณหนูอาจไม่เชื่อ แต่บ่าวขอสาบานต่อฟ้า หากมีจิตคิดยุยงแม้แต่น้อย ขอให้ฟ้าผ่าลงกระหม่อมบ่าว…”
ซินโย่วดึงมือฟางหมัวมัวมากุมพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “แม่นมอย่าได้สาบานรุนแรงเช่นนี้ ท่านเป็นแม่นมข้า เป็นคนที่สนิทชิดใกล้ที่สุดบนโลกนี้ของข้าตอนนี้ ข้าจะไม่เชื่อคำพูดท่านได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ข้ายังเด็ก เห็นแก่หน้าตาตนเองเหนือสิ่งใด ผ่านเรื่องราวเคราะห์ร้ายนี้มา จึงได้เข้าใจว่าคนที่เราใส่ใจนั้นสำคัญที่สุด…”
ซินโย่วพูดคำพูดนี้ออกไป ก็อดสะอื้นไม่ได้
ใช่แล้ว ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าคนที่เราใส่ใจอีกแล้ว แต่บนโลกนี้ คนที่นางใส่ใจล้วนไม่อยู่แล้ว
ฟางหมัวมัวย่อมรับรู้ได้ถึงความจริงใจจากคำพูดของซินโย่ว ร้องไห้ไปหัวเราะไปเอ่ยว่า “คุณหนูโตแล้ว โตแล้ว…”
ผ่านไปครู่หนึ่ง อารมณ์ก็สงบลง ฟางหมัวมัวกวาดตามองไปที่ประตูทีหนึ่ง หรี่เสียงให้เบาลงเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนูจำภาพตอนตกหน้าผาไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ”
ซินโย่วส่ายหน้า
“คุณหนูไม่ใช่คนประมาท บ่าวนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าจะลื่นตกหน้าผาได้อย่างไร ได้ยินเสี่ยวเหลียนบอกว่าตอนคุณหนูกลับมา ได้เชิญหมอมาตรวจก็ไม่มีอาการหนักหนาสาหัสอันใด เมื่อวานกลับพลันปวดท้องสลบไป ไม่ใช่บ่าวคิดชั่ว บ่าวยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา เกรงว่าในจวนมีคนคิดทำร้ายคุณหนู…” ฟางหมัวมัวจ้องมองซินโย่วเขม็ง เกรงว่าจะเห็นสีหน้าไม่เชื่อหรือโมโหบนใบหน้าของนาง
หากคุณหนูรังเกียจนาง จุดจบแม่นมเช่นนางก็คงไม่มีค่าอันใดให้เอ่ยถึง แต่หากความสงสัยนางเป็นจริง คุณหนูแสนซื่อบริสุทธิ์ไร้ที่พึ่งเช่นนี้จะทำอย่างไร!
ฟางหมัวมัวไม่เคยลืมเรื่องที่ถูกส่งไปอยู่โรงบ้านชานเมือง และเพราะเรื่องนี้ ทำให้ความสงสัยในใจผุดขึ้นมาไม่หยุด
ซินโย่วนิ่งฟังจบ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลังเล “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อแม่นม แต่คนในจวนรองเจ้ากรมล้วนเป็นญาติข้า ข้าไม่เคยล่วงเกินผู้ใด ใครจะคิดทำร้ายเอาชีวิตข้ากัน”
ฟางหมัวมัวคว้ามือเย็นเล็กน้อยของสาวน้อยเอาไว้แน่น เอ่ยน้ำเสียงแหบพร่า “คุณหนูเจ้าคะ โลกเรานี้หลายครั้งล่วงเกินผู้อื่นอาจไม่เป็นอันใด แต่เพราะเงินๆ ทองๆ จึงต้องการเอาชีวิตนะเจ้าคะ!”
สาวน้อยสีหน้าตกใจ คล้ายว่าฟังจนนิ่งไปแล้ว
“คุณหนู บ่าวขอใช้กรรไกรหน่อยเจ้าค่ะ”
ซินโย่วตั้งสติได้ เอ่ยสั่งการว่า “เสี่ยวเหลียน หยิบกรรไกรมาหน่อย”
เสี่ยวเหลียนที่เฝ้าอยู่นอกประตูรีบเดินเข้ามา หยิบกรรไกรส่งให้ฟางหมัวมัว สายตามองไปทางซินโย่วเต็มไปด้วยความกังวลอยู่มาก
เดิมนางไม่คิดมาก อยู่ร่วมกันกับคุณหนูท่านนี้นานวันก็อดรู้จักคิดไตร่ตรองให้มากไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้พบกับฟางหมัวมัวมาสามปี เกิดทำร้ายคุณหนูเข้า…
พอได้เห็นสายตาปลอบใจจากซินโย่วแล้ว ไม่รู้เหตุใด ในใจเสี่ยวเหลียนก็พลันสงบลง ค่อยๆ ถอยออกไปเงียบๆ
พออยู่กันแค่สองคน ฟางหมัวมัวก็เลิกชายเสื้อขึ้นตัด หยิบสมุดเล่มบางๆ ออกมาจากด้านในเสื้อที่เย็บซ้อนไว้
“คุณหนู เชิญอ่านก่อน”
ซินโย่วรับสมุดที่ยังมีไออุ่นจากกายฟางหมัวมัวมาเปิดอ่าน พออ่านดูก็ถูกตัวเลขที่จดไว้หน้าแรกสุดทำเอาตกตะลึงพรึงเพริดไปทันที หนึ่งล้านสองแสนตำลึง…
นอกจากนี้ ยังมีรายการที่ดินร้านค้าอีกมากมาย
ซินโย่วพลันรู้สึกว่าสมุดเล่มบางหนักอึ้งขึ้นมาทันที
“ตอนนั้นสถานการณ์เร่งด่วน สิ่งที่นายหญิงขายได้ก็ขายไปหมดแล้ว ที่เหลือไม่ทันได้จัดการก็จดลงไว้ในสมุดเล่มนี้ ตอนคุณหนูจากเมืองหลวงมา นอกจากเครื่องประดับมีค่าที่ติดตัวมา ยังมีตั๋วแลกเงินล้านตำลึงนี้กับโฉนดที่ดินและอาคารเหล่านี้…” ฟางหมัวมัวเล่ารายละเอียดตอนนั้นที่โค่วชิงชิงยังเล็กไม่รู้ความ กัดฟันเอ่ยถามว่า “คุณหนูรู้ไหมว่าตั๋วแลกเงินล้านตำลึงกับโฉนดที่ดินและอาคารอยู่ที่ใด”