สุดยอดชาวประมง (极品小渔民) - บทที่ 117 การปฏิรูปอุตสาหกรรมอาหาร[รีไรท์]
บทที่ 117 การปฏิรูปอุตสาหกรรมอาหาร[รีไรท์]
“นายจะต้องรู้ก่อนว่ามีสินค้าจำนวนมากที่เคลมว่าเป็นของจากธรรมชาติ เพราะงั้นมันก็ไม่แปลกที่คนทั่วไปจะกลัวหรือว่าไม่เชื่อ แล้วนายจะมีวิธีไหนบ้างล่ะที่จะทำให้คนพวกนั้นไว้ใจนาย!” ฉู่เหินถามขึ้นมาอีกครั้ง
“การผลิตอาหารกระป๋องของฉันจะต้องโปร่งใส ตราบใดที่พวกเขาต้องการ ใคร ๆ ก็สามารถที่จะมาตรวจสอบยังไงเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนการคัดปลา เราก็จะต้องใช้ปลาที่ดีตามที่เราบอกเอาไว้ ตราบใดที่พวกเขาเห็นภาพพวกนี้ด้วยดวงตาของตัวเอง ฉันว่าเราน่าจะสามารถทำให้เขามั่นใจในสินค้าของเราได้” ทันทีที่พี่รองพูดออกมา ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
“ถ้าความคิดของนายมันเกิดขึ้นจริงได้ งั้นธุรกิจนี้จะต้องได้รับการยอมรับจากทุก ๆ คนอย่างแน่นอน และเราก็สามารถเผยแพร่มันไปยังอินเทอร์เน็ตเพื่อให้ทั่วโลกรับรู้ด้วยได้ด้วย!”
“ใช่แล้วฉู่เหิน นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิดไว้เหมือนกัน ด้วยวิธีนี้เราจะสามารถส่งออกสินค้าให้กับคนทั่วทั้งโลก สินค้าของเราจะต้องได้มาตรฐาน ถ้าเราทำได้ มันก็คงไม่มีทางที่คนจะไม่เชื่อใจเรา”
ทั้งสองยิ่งคุยกันไป และก็หัวเราะออกมาเป็นพัก ๆ ดวงตาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยประกาย เห็นได้ชัดว่ามันเป็นอะไรที่บ้าระห่ำมาก! อย่างไรก็ตาม มีแค่คน 3 คนในบ้านหลังเล็ก ๆ หลังนี้เท่านั้นที่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น!
ต่อมา ทั้งสองก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดของปัญหาต่าง ๆ และแผนการดำเนินงาน ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาทั้งสองคนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก และไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยอ่อนเลยแม้แต่น้อย
“พี่รอง เนื่องจากที่เราวางแผนไว้ เราต้องมีงบประมาณในด้านนี้ด้วยนะ! ถ้าเราต้องการที่จะเริ่มต้น มันต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่?” ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากสำหรับเรื่องเงินในตอนนี้ แต่สำหรับฉู่เหินแล้ว ถ้าอีกฝ่ายต้องการ เขาก็สามารถหาเงินได้ในทันที
ในโลกนี้ ความสำเร็จจะมีให้กับผู้ที่เพียบพร้อมก่อนเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราต้องเดินหน้าและต้องรอบคอบให้มาก และเพื่อการนั้นแผนการก็เป็นสิ่งที่จำเป็น ยิ่งพวกเขาคิดได้ละเอียดเท่าไหร่ นั่นก็ยิ่งช่วยเพิ่มโอกาสและความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น
“อาคารของโรงงานแล้วก็สิ่งอำนวยความสะดวก ถ้าจะเอาให้ได้แบบที่คิดจริง ๆ เราคงต้องใช้ประมาณ 15 ล้าน เอาจริง ๆ แค่ในส่วนของสายการผลิตเอง มันก็ต้องใช้เงินมากกว่า 5 ล้านแล้ว”
ดวงตาของพี่รองเริ่มมืดหม่นลงอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะมีความรู้มากมาย แต่ถึงอย่างงั้นเขาจะไปหาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหนละ?
“โชคร้ายหน่อยที่ว่าตอนนี้เงินของพวกเราขาดไปเยอะมาก ต่อให้กู้ยืม มันก็คงไม่พออยู่ดี!” พี่รองพูดออกมาด้วยท่าทางท้อแท้
“ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินหรอกน่า! เอาเป็นว่าฉันจะเป็นคนที่ช่วยในสายงานการผลิตเอง ดีไหม?”
เมื่อมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฉู่เหิน มันก็ทำให้พี่รองนั้นรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ ถึงเขาจะรู้ว่าพี่น้องของเขาคนนี้ตอนนี้จะรวยอยู่แล้ว แต่เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าฉู่เหินจะรวยขนาดนั้น การที่เขาบอกว่าเงิน 10 ล้านเป็นแค่เรื่องจิ๊บ ๆ นั้นมันก็ฟังดูขี้โม้เกินไปหน่อยนะ?
อย่างไรก็ตาม พี่รองก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง ถ้าไม่ใช่จากการลักขโมย หรือเรียกค่าไถ่ เขาไม่เชื่อว่าฉู่เหินจะมีเงินทุนมากมายนัก นอกจากนี้ ถ้าฉู่เหินรวยอยู่แล้ว แบบนั้นทุกอย่างมันก็ไม่มีความหมายอยู่ดี
ถ้ามองจากภายนอก ถึงแม้ว่ามันจะดูดีก็จริง แต่การที่คนอื่น ๆ หรือพี่น้องของเขาต้องยื่นมือมาช่วยเพราะสงสาร ความรู้สึกแบบนี้เขาไม่ค่อยโอเคกับมันสักเท่าไหร่!
และถึงแม้แผนการปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหารมันจะเป็นของพวกเขาก็จริง แต่ด้วยเพราะแบบนี้มันจึงอาจยังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง ซึ่งต้องรู้ด้วยว่าถ้าการผลิตนั้นมีความผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียวล่ะก็ คนทั่วไปก็จะไม่ไว้ใจในทันที และถ้าเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น แบรนด์ที่เกิดข้อผิดพลาดนั้น ๆ ก็จะต้องล้มละลายลงอย่างรวดเร็วแน่นอน
แน่นอนว่านี้เป็นเพียงแค่ความกังวลอย่างหนึ่งเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดก็คืออาหารแต่ละอย่างจะต้องมีจุดเด่นของตัวเอง และก็ต้องมีวิธีการป้องกันการลอกเลียนแบบไปในตัวด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พูดมานั้น ทั้งสองเองก็ได้ให้ความสำคัญกับมันอย่างเต็มที่เท่าไหร่ เพราะยังไงเสีย แผนการของพวกเองมันก็ถือว่าดีมากอยู่แล้ว แน่นอนว่าเรื่องที่เขาพูดไปก่อนหน้า นั่นก็จะเก็บเอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายอีกที
เพื่อให้พี่รองเริ่มธุรกิจนี้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด ฉู่เหินจึงได้ไปคุยกับหัวหน้าเซี๋ยงโดยตรง ก่อนจะเริ่มจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้อย่างลับ ๆ อันที่จริงมันก็มีปัญหาไม่มากนัก ซึ่งเมื่อยิ่งได้รับความช่วยเหลือของหัวหน้าเซี๋ยงด้วยแล้ว นั่นก็ยิ่งทำให้จัดการปัญหาได้อย่างรวดเร็วเข้าไปอีก หลังจากที่ปัญหาทุกอย่างหมดไปแล้ว การเตรียมการต่าง ๆ ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ฉู่เหินวางแผนเอาไว้ว่า หลังจากที่จัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว เขากับพี่รองจะเป็นหุ้นส่วนกันคนละครึ่ง หลังจากนั้น เขาก็จะปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการเรื่องทั้งหมด แต่เมื่อพี่รองของเขาได้ยิน พี่รองก็คัดค้านอย่างรุนแรง เขาขอให้ฉู่เหินถือหุ้นไว้ 70 ที่เหลืออีก 30 ค่อยเขา ส่วนหน้าที่บริหารจัดการ เรื่องพวกนั้นก็ปล่อยให้พี่รองจัดการเอง
พี่รองของเขามีทักษะด้านการเงิน และการบริหารจัดการอยู่บ้าง ดังนั้นทุกอย่างจึงถูกวางแผนมาอย่างเสร็จสรรพรอบคอบ ส่วนฉู่เหิน เขาก็กำลังคิดเรื่องทำเลที่ตั้งอยู่ โรงงานของพวกเขานั้น มันต้องตั้งตรงไหนถึงจะดีกันนะ?
ที่ตั้งของโรงงานต้องไม่ไกลจากทะเล เพราะการหาวัตถุดิบจากสถานที่ใกล้ ๆ นั้นย่อมใช้ต้นทุนน้อยกว่า ซึ่งมันก็มีอยู่ 2 ทางเลือกคือ บริเวณใกล้หมู่บ้านชาวประมง และก็ที่ต้าหวังจวน! ซึ่งแต่เดิมทีมันเป็นภูเขาหินที่มีขนาดเล็ก และไม่มีอะไรที่สามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้เลย!
การเลือกทำเลที่ตั้งในครั้งนี้อาจมีโอกาสที่จะเกินงบประมาณไปบ้าง แต่เพราะว่ามันอยู่ใกล้หมู่บ้าน ดังนั้นในอนาคตจึงน่าจะช่วยประหยัดค่าใช้ย่าจเรื่องการหาวัตถุดิบ เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว มากนิดมากหน่อยพวกเขาสองคนก็ยอมรับมันได้
เมื่อตัดสินใจแล้ว ฉู่เหินก็รีบติดต่อคนที่เขารู้จักเพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที ที่ต้องถามก็เป็นเพราะว่าเรื่องพวกนี้เขาไม่สันทัดเท่าไหร่
เมื่อเห็นว่าพี่รองกลับมามีความมั่นใจเหมือนเดิมแล้ว เสี่ยวเฟิงเอง เธอก็ดูมีความสุขมาก ฉู่เหินที่เห็นภาพของสองคนนี้ เขาก็ยิ้มเล็ก ๆ ให้กับความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดของทั้งคู่
ผ่านมา 2 วัน ฉู่เหินนั้นก็ออกทะเลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มก็ยังคงตกอะไรดี ๆ ไม่ได้เลย มันทำให้เขาหัวเสียอยู่ไม่น้อย และยิ่งเห็นสิ่งที่เขาได้รับมานั้น นั่นก็ยิ่งทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก เพราะมันคือต้นไม้หน้าตาประหลาด ๆ ต้นหนึ่ง
ขณะที่กำลังจะโยนเจ้าต้นไม้นั่นทิ้งทะเล เสียงจากระบบก็ดังขึ้น
“ผู้ถือครองฉู่เหิน หากคุณนั่งอยู่ใต้ต้นไม้นี้เงียบ ๆ มันจะช่วยเพิ่มค่าประสบการณ์ของคุณ 1,000”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉู่เหินก็แทบจะสะดุ้งขาตัวเองล้ม เมื่อได้รับรู้แบบนั้น มุมมองที่เขามีต่อเจ้าต้นไม้นี่ก็เปลี่ยนไปทันที เอาจริง ๆ ต้นไม้เล็ก ๆ นี่มันก็ดูสวยงามอยู่บ้างแหละ ถึงมันไม่ได้สูงมากนัก แต่สีแดงสลัว ๆ ที่มันปล่อยออกมาในตอนกลางคืนก็ทำให้ดูสวยดีนะ