สุดยอดชาวประมง (极品小渔民) - บทที่ 121 โรงพยาบาลระทึกขวัญ[รีไรท์]
“เสี่ยวเหิน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ? ไม่ใช่ว่าต้องยุ่งอยู่กับที่บ้านหรอกเหรอ?” หลังจากเห็นฉู่เหินมาที่ห้องพิเศษ หวงเจี้ยนหมิงก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าพี่ชายปลอดภัยดี หัวใจของฉู่เหินที่เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ก่อนที่เขาจะเข้ามาที่โรงพยาบาล เขาได้ปล่อยฉู่เฟิงออกมาแล้ว ตั้งแต่ที่หุ่นเชิดฉู่เฟิงเข้าสู่ขั้นทองแดง มันก็ดูเหมือนว่าจะมีสติปัญญาขึ้นมา และตอนนี้มันก็สามารถคิดได้อย่างอิสระแล้ว และเพราะฉู่เฟิงได้รับการพัฒนาโดยฉู่เหิน ดังนั้นแม้ว่าวันหนึ่งเจ้าหุ่นเชิดจะคิดหรือทำอะไรได้เองมากกว่านี้ แต่มันก็คงจะไม่มีวันทรยศฉู่เหินเด็ดขาด
ตอนนี้ฉู่เฟิงปรากฏตัวพร้อมกับฉู่เหินที่โรงพยาบาล หวงเจี้ยนหมิงก็เอาแต่มองไปที่หุ่นเชิด มันไม่ใช่เพราะอย่างอื่น หากแต่เป็นเพราะผู้ชายคนนี้ดูเหมือนคนตะวันออก รูปร่างของเขาดูแปลกและแตกต่างจากคนทั่วไปเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังสีผิวที่ดำสนิทนั้นด้วย เพราะเหตุนี้เลยทำให้ทั้งหวงเจี้ยนหมิงกับซูวี่เหมยมองไปที่ฉู่เฟิงอยู่ตลอดเวลา
“พี่ชาย พี่สะใภ้ หมอนี่เป็นหนึ่งในลูกน้องของผมเอง เขาชื่อฉู่เฟิง แต่เพราะอุบัติเหตุบางอย่าง มันจึงทำให้เขาพูดไม่ได้” พอได้ยินแบบนั้น ทั้งสองก็ยิ้มเล็กน้อยเเกมขอโทษให้อีกฝ่ายทันที พวกเขารู้สึกว่ากิริยามองขึ้นมองลงเพื่อพิจารณาอีกฝ่ายเมื่อสักครู่เป็นการเสียมารยาทไปหน่อย
“พี่ชาย พี่สะใภ้ ผมมาที่นี่เพื่อคุยกับพี่โดยเฉพาะเลยนะ ผมว่าจะรอจนกว่าบ้านจะสร้างเสร็จ แต่ตอนนี้โลกภายนอกมันไม่สงบ ผมไม่สบายใจ เลยอยากให้ออกจากโรงพยาบาลก่อนกำหนดน่ะ” ฉู่เหินบอกกับพี่ของตนหลังจากคิดถึงเรื่องพวกนี้
จริง ๆ แล้วครั้งล่าสุดที่ฉู่เหินหายตัวไป หวงเจี้ยนหมิงและซูวี่เหมยก็เเอบคิดเเล้วว่าที่หายไปย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาเเน่ ๆ โดยเฉพาะในตอนที่พวกเขาตามหาฉู่เหิน มันถึงกับมีอิทธิพลจากพวกตระกูลใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมากมายเพื่อออกตามหาเขาด้วยเช่นกัน แถมผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ยังเรียกตัวเองว่าตระกูลจอมยุทธ์อีกด้วย
ตั้งแต่ตอนนั้น สองสามีภรรยาก็เริ่มคิดมากแล้ว เพียงเเต่พวกเขายังไม่รู้ว่าจะไปทางไหนเเละทำอะไรเเค่นั้นเอง ในเมื่อตอนนี้ฉู่เหินบอกว่าจะให้พวกเขาออกจากโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด หลังจากที่ทั้งสองมองหน้ากัน พวกเขาก็พยักหน้าให้แบบรู้กัน
“เสี่ยวเหิน นายพูดความจริงกับพี่มานะ นายไปมีเรื่องอะไรข้างนอกนั่นมาหรือเปล่า เเละคน ๆ นี้ก็มีอิทธิพลมากด้วยใช่ไหม?!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหวงเจี้ยนหมิง ฉู่เหินก็พยักหน้าอ้าปากค้างโดยไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่เขาก็พยักหน้าตอบกลับไปอย่างยากลำบาก ชายหนุ่มไม่อยากทำเรื่องที่หลอกพี่ชายเเละพี่สะใภ้ตัวเองจริง ๆ และเพราะอย่างนั้น การพยักหน้าในครั้งนี้จึงทำให้เขาค่อนข้างลำบากใจไม่ใช่น้อย
“เสี่ยวเหิน นายคิดมากไปรึเปล่า? ที่นี่โรงพยาบาลเชียวนะ มีเหรอที่พวกเขาจะกล้าทำผิดกฎหมายอย่างโจ่งเเจ้ง?” หวงเจี้ยนหมิงพูดอย่างฉุน ๆ
“พี่ชาย คนพวกนี้ฆ่าคนเป็นผักปลา เเละต่อให้ฆ่าไปเเล้ว พวกนั้นก็อยู่เหนือกฎหมายอยู่ดี เพราะไม่ใช่เเค่พวกเขาจะแข็งแกร่งเท่านั้น แต่เบื้องหลังพวกเขาเองยังมีบางอย่างคอยหนุนหลังอยู่ด้วย” ฉู่เหินบอก จากนั้นหวงเจี้ยนหมิงก็เงียบไปโดยสิ้นเชิง ผู้เป็นพี่ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับตัวเขาเองหรอก หากแต่เป็นห่วงฉู่เหินมากกว่า
“เสี่ยวเฉิน นายจะมีอันตรายไหม?” ภายใต้สถานการณ์เเบบนี้ สิ่งที่พี่ชายของเขากังวลกับไม่ใช่ความปลอดภัยของตนเอง เเต่กลับห่วงเขา นี่ทำให้ฉู่เหินรู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจ
“พี่ชาย พี่ไม่ต้องกังวลนะ พวกมันไม่สามารถทำอะไรผมได้หรอก แต่ผมกลัวว่าพวกมันจะทำร้ายคนที่อยู่รอบตัวผมมากกว่า เพราะอย่างนั้น พี่จะเป็นคนที่น่าจะตกอยู่ในอันตรายที่สุด ส่วนลี่ลี่กับเสี่ยวชิง ผมส่งคนไปปกป้องพวกเธอลับๆ แล้ว แต่พี่สองเป็นคนผมห่วงมากที่สุด” เมื่อฉู่เหินพูดออกมา ในแววตาของเขาก็มีร่องรอยของความกังวลอยู่
“เสี่ยวเหิน เอาตามที่นายพูดเลย ฉันกับวี่เหมยจะรีบออกจากโรงพยาบาลทันที! ถ้าเกิดพวกฉันถูกจับเป็นตัวประกัน พวกมันต้องเอามาข่มขู่นายเเน่” จากนั้นหวงเจี้ยนหมิงและซูวี่เหมยก็รีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ จู่ ๆ ฉู่เหินก็สัมผัสได้ถึงภัยอันตราย ตอนนั้นหวงเจี้ยนหมิงไม่ได้นอนอยู่บนเตียง หากเเต่นั่งอยู่บนรถเข็น ฉู่เหินรีบผลักรถเข็นของหวงเจี้ยนหมิงด้วยมือเดียว อีกมือกอดซูวี่เหมยไว้ และพุ่งไปที่มุมกำแพง
เพียงชั่วครู่ ก่อนที่เท้าของเขาจะพ้นจากพื้น กระสุนนัดหนึ่งก็ยิงเข้ามา จากนั้นก็มีกระสุนอีกมากมายถูกกระหน่ำเข้ามายังพื้นของห้องพิเศษจนเกิดเป็นรูพรุนเต็มไปหมด ถ้าเมื่อกี้เขาช้าไปนิดเดียวเกรงว่าพวกเขาทั้งสามคงจะตายอยู่ที่นี่แล้ว
สิ่งนี้ทำให้เขาโกรธมาก พวกมันกล้าลงมือกับพี่ชายเเละพี่สะใภ้ของเขา นี่มันถึงขีดสุดของเขาเเล้วจริง ๆ ไม่ว่าคนที่ส่งมาจะเป็นใคร ไอ้คนพวกนั้นจะต้องตายอย่างเดียวเท่านั้น!
“ฉู่เฟิง ฆ่ามันซะ” ฉู่เหินที่โมโหถึงขีดสุดสั่งหุ่นเชิดฉู่เฟิงทันที
ทันใดนั้น ร่างเงาสีขาวก็ปรากฏตัวออกมาและส่งเสียง “จี๊ดๆ!” พอฉู่เหินมองดูก็เป็นกระต่ายที่ชอบก่อเรื่องเสี่ยวหง ดูเหมือนว่ามันสัมผัสได้ถึงอันตรายจึงโผล่ออกมาจากเเหวนโดยฉับพลัน อารมณ์เหมือนอยากจะมาร่วมวงด้วย
“ฮ่าๆ ถึงตากระต่ายน้อยแสนซนแล้วสิ” ทุกครั้งที่เสี่ยวหงออกมา มันจะทำตัวอวดดีมาก ซึ่งก็ทำให้ฉู่เหินเอือมทุกที
“เสี่ยวหง มีพวกมือปืนอยู่ข้างนอก นายเห็นไหม? นายสาปพวกเขาข้ามกำแพงได้รึเปล่า?” ในเวลานี้ฉู่เฟิงสามารถแยกออกไปฉายเดี่ยวได้ เพราะเขาเป็นอมตะ แต่ถ้าปล่อยเสี่ยวหงไป นั้นอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้นฉู่เหินจึงไม่ต้องการให้เจ้ากระต่ายเสี่ยง
“จี๊ด ๆ! มั่นใจได้เลย ทุกอย่างจะสำเร็จแน่นอน ด้วยพลังแห่งน้องต่าย ฮ่าๆ! ทุกคนจงสยบอยู่แทบเท้าของฉันซะ ฉันจะให้พวกนายได้ลิ้มรสพลังแห่งการสาปแช่ง!” จากนั้นเสี่ยวหงก็เตรียมสาปแช่งคนที่อยู่ตรงกำแพง และตรงที่อื่น ๆ ทันที
“เสี่ยวหง แกห้ามแช่งคนมั่ว ๆ เหมือนครั้งที่แล้วนะ ไม่งั้นฉันจะไม่ไว้ใจแกอีก!” เมื่อได้ยินแบบนั้นเจ้ากระต่ายก็ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ทันที
“จี๊ด ๆ! ใช่สิ เสี่ยวหงมันไม่ดี ถ้าอยู่ภายใต้คำสาปแล้วสถานที่ทั้งหมดก็จะถูกสาป สาปแค่คนสองคนเสี่ยวหงยังไม่เก่งหรอกนะ เสี่ยวหงโกรธแล้ว” เสี่ยวหงพูดด้วยความโกรธที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่มันจะหันหัวไปที่ไหล่ของฉู่เหินด้วยความรู้สึกเสียใจ และกลายเป็นแสงสีขาวหายไปทันที
ปากของฉู่เหินกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ แต่โชคดีที่เขาบอกออกไปแล้ว ไม่งั้นคนทั้งโรงพยาบาลได้โชคร้ายกันหมดแน่ และหากคนที่นี่เกิดโชคร้ายขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าจะมีกี่คนที่อาจตาย ดังนั้นเรื่องอันตรายแบบนี้ฉู่เหินจึงไม่กล้าเสี่ยง
ฉู่เฟิงรีบวิ่งออกจากประตูด้วยความเร็วที่ราวกับลูกศร เมื่อเขาออกไปที่ทางเดิน ซึ่งแม้ว่าฉู่เหินจะไม่ได้ออกมาด้วย แต่ฉู่เหินก็สามารถรับรู้ทุกอย่างได้ เพราะดวงตาของฉู่เฟิงนั้นเทียบเท่ากับดวงตาของเขา ท้ายที่สุดแล้ว ส่วนหนึ่งของวิญญาณของชายหนุ่มก็ยังคงอยู่ในร่างของฉู่เฟิง
ฉู่เฟิงเห็นชายชุดดำสองคนเบื้องหน้าพร้อมปืนในมือที่กำลังยิงใส่เขาไม่ยั้ง แม้การโจมตีดังกล่าวจะกระหน่ำรัวขนาดไหนก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรต่อฉู่เฟิงในปัจจุบันเลย ร่างกายของฉู่เฟิงกะพริบวูบวาบขณะที่หลบกระสุนปืนและไล่ตามชายชุดดำ จากนั้นเจ้าหุ่นเชิดก็คว้าชายชุดดำ จับที่หัวของชายผู้นั้นไว้และบิดมันในครั้งเดียว
จากนั้นปืนที่กระหน่ำยิงอยู่ก่อนหน้านี้ก็หยุดลง เพราะชายชุดดำทั้งสองได้ตายแล้ว ซึ่งหลังจากจัดการสองคนนี้เสร็จ ฉู่เฟิงก็ยังไม่ได้ลดการระวังลง แต่สำรวจรอบ ๆ อย่างต่อเนื่องแทน
“ฉันได้ยินมาว่าไอ้เด็กนั่นมีปรมาจารย์อยู่ด้วย ไม่คิดเลยว่ามันจะมีจริง ๆ ไหนแสดงพลังที่แท้จริงของแกให้ฉันดูหน่อยซิ!” หลังจากสิ้นเสียงก็มีผู้หญิงคนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาจากระยะไกล ดูจากหน้าตาแล้ว เธอน่าจะอายุ 30 หรือ 40 ปี หากแต่ร่างกายของเธอนั้นดูแข็งแรงเกินกว่าอายุไปมาก และเพราะแบบนั้น นี่จึงทำให้ฉู่เฟิงรู้สึกเครียดขึ้นมา
ฉู่เหินซ่อนตัวอยู่ในห้องและแอบสังเกตการณ์จากข้างใน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยในระดับหนึ่งแล้ว เขาก็ให้พี่ชายและพี่สะใภ้ไปอยู่มุมห้อง ก่อนจะบอกทั้งสองว่าอย่าขยับ จากนั้นชายหนุ่มก็รีบหยิบวัสดุจำนวนนับไม่ถ้วนออกจากแหวน และเริ่มจัดวางมัน แน่นอนว่านี่เป็นการสร้างค่ายกลป้องกัน! ฉู่เหินเชื่อว่าหลังจากสร้างเสร็จ มันต้องเป็นการป้องกันที่ทรงพลังจนไม่มีใครทะลวงเข้ามาได้อย่างแน่นอน!