สุดยอดชาวประมง (极品小渔民) - บทที่ 4 สองทางเลือก
บทที่ 4 สองทางเลือก
ทันทีที่เปิดประตูฉู่เหินก็ได้ยินเสียงร้องไห้อยู่ข้างใน เขาคุ้นเคยกับเสียงนี้ดี มันเป็นเสียงของพี่สะใภ้ซูวี่เหมย ปกติซูวี่เหมยเป็นคนที่เข้มแข็งมาก อย่างน้อยหลายปีมานี้เขาก็ไม่เคยเห็นเธอร้องไห้เลย แต่วันนี้ผู้หญิงที่เข้มแข็งคนนี้กลับต้องมาหลั่งน้ำตา
“วี่เหมย อย่าร้องไห้สิ แค่ขาคู่หนึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ก็แค่ตัดขาเท่านั้นเอง!” เสียงอันเข้มแข็งนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือหวงเจี้ยนหมิงพี่ชายของฉู่เหินนั่นเอง
หวงเจี้ยนหมิงเป็นคนเข้มแข็ง แม้ว่าตอนนี้เขาจะนอนอยู่บนเตียง และขาทั้งสองข้างอาจต้องถูกตัดภายในไม่กี่วันข้างหน้า เขาก็ยังคงสามารถพูดด้วยรอยยิ้มได้
“เกิดอะไรขึ้นกับขาของพี่กันแน่?” หลังจากได้ยินการสนทนาของพี่ชายและพี่สะใภ้ เขารู้สึกว่าเรื่องราวจะหนักหนากว่าที่เขาคิด
“เสี่ยวเหิน นายฟื้นมาตอนไหน พึ่งฟื้นมาทำไมไม่พักผ่อน วิ่งมาถึงนี่ได้ยังไงกันหื้ม” แม้ว่าคำพูดของพี่หวงจะดูเหมือนการตำหนิ แต่เมื่อฉู่เหินได้ยินก็รู้สึกได้ว่ามันเต็มไปด้วยความห่วงใย เขาไม่เคยมีพ่อมาก่อน พี่ชายที่อยู่ด้านหน้านี้เป็นทั้งพี่ชายและพ่อในสายตาของเขา
“พี่ใหญ่ ขาของพี่เป็นอะไร!” ฉู่เหินมองคนข้างหน้าอย่างร้อนรน เขาเป็นทั้งพี่ชายและพ่อหากไม่มีคนตรงหน้านี้เกรงว่าเขาคงจะแข็งตายบนถนน ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว!
“เสี่ยวเหิน ฉันสบายดี อีกไม่กี่วันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะน่า” จนถึงตอนนี้หวงเจี้ยนหมิงก็ยังคงมีรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของเขา แต่ฉู่เหินเห็นความเศร้าโศกที่แฝงอยู่บนใบหน้านั้น!
“อาซ้อในเมื่อพี่ใหญ่ไม่ยอมบอก พี่ช่วยบอกผมทีเถอะ” ฉู่เหินมองไปที่ซูวี่เหมยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และกำลังร้องไห้ราวกับดอกไม้กลางสายฝน เขารู้ว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายอย่างที่พี่ชายพูด อย่างไรก็ตามหลังจากที่ซูวี่เหมยได้ยินคำถามของฉู่เหินเธอก็ร้องไห้ต่อไป
“เมื่อพี่สองคนไม่พูดอะไร ผมจะไปถามหมอเอง” ด้วยเหตุนี้ฉู่เหินจึงจะเดินออกไปนอกห้อง
“กลับมา ฉันจะเล่าให้นายฟังเอง!” เมื่อมองดูท่าทางแข็งกร้าวของฉู่เหิน ในที่สุดหวงเจี้ยนหมิงก็ยอมแพ้
เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนหมดสติลงในวันนั้น เนื่องจากคลื่นลมแรงมากเสาเรือจึงหักโค่นลงมาทับบนขาของหวงเจี้ยนหมิง
แพทย์บอกว่า นี่เป็นอาการบาดเจ็บที่ร้ายแรง ขาของเขาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงและไม่สามารถรักษาได้ รวมถึงเนื้อเยื่อโดยรอบยังเสียหายอีกด้วย อาจกล่าวได้ว่าค่อนข้างร้ายแรง! ในกรณีนี้แพทย์ให้ทางเลือกแค่สองทาง หนึ่งคือการตัดขาทิ้ง สองคือการรักษาแบบค่อย ๆ ฟื้นฟูซึ่งไม่จำเป็นต้องตัดขา แต่วิธีที่ว่าก็ต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ค่ารักษาพยาบาลไม่ได้แค่จ่ายเพียงครั้งเดียว เนื่องจากการรักษาแบบค่อย ๆ ฟื้นฟูนี้ อาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน หลายปีหรือนานกว่านั้น!
ค่าใช้จ่ายของการรักษาแบบที่สองถือได้ว่าสูงมาก อาจมีมูลค่าหลายแสนถึงหลายล้านหยวน หากคุณสามารถรักษาหายภายในสามหรือห้าเดือน คุณอาจสามารถยืมเงินเพื่อการนี้ได้ แต่ประเด็นคือการรักษารูปแบบนี้ไม่อาจฟันธงได้แน่ชัดว่าเมื่อไหร่จะหาย
ไม่ต้องพูดถึงค่าใช้จ่ายในภายหลัง เพียงแค่ขั้นแรกของการรักษาก็ต้องจ่ายมากกว่าหนึ่งแสนหยวน ตอนนี้หวงเจี้ยนหมิงอาจพอจ่ายเงินไปก่อนได้ แต่ถ้ามันเพิ่มขึ้นอีกสามหมื่นหยวน หรือห้าหมื่นหยวนล่ะ? แค่ขั้นแรกของการรักษาเขาก็แทบจะจ่ายไม่ไหวแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงการบำบัดเพื่อฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องในอนาคตอีก
ด้วยเหตุนี้หวงเจี้ยนหมิง จึงขอให้ภรรยาของเขาลงนามในหนังสืออนุญาตให้ตัดขา แม้ว่าเขาจะกลายเป็นคนพิการแต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เพิ่มภาระให้กับครอบครัวมากเกินไป หวงเจี้ยนหมิงมั่นใจว่า เมื่อเขาล้มลงซูวี่เหมยจะสามารถประคับประคองครอบครัวต่อไปได้
สำหรับฉู่เหิน หวงเจี้ยนหมิงไม่ต้องการรบกวนเขามากเกินไป เขารู้สึกว่าวันหนึ่งฉู่เหินก็ต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ดังนั้นแม้แต่ตอนนี้ เขาก็ไม่คิดที่จะพึ่งพาฉู่เหินแม้แต่น้อย
“พี่สะใภ้ ผมตัดสินใจแล้ว เราจะทำการรักษาแบบค่อย ๆ ฟื้นฟู ส่วนเรื่องเงินพวกพี่ก็ไม่ต้องกังวล ผมจะลองคิดหาวิธีดูอีกที” หลังจากที่ฉู่เหินได้ยินคำพูดของหวงเจี้ยนหมิง เขาก็ตัดสินใจทันที
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เหิน ทั้งคู่ก็ตกตะลึงและมองฉู่เหินด้วยใบหน้าที่เหลือเชื่อ อย่าตลกน่า! ยังไม่ต้องพูดถึงเงินที่ต้องใช้ในการฟื้นฟูหลังจากนี้ แค่เงินเริ่มต้นหนึ่งแสนหยวน พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะหายืมมาได้จากที่ไหนแล้ว!
แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาจะมีเพื่อนที่เคยกินข้าวกินน้ำด้วยกันหลายคน แต่ถ้าคิดจะไปยืมเงิน น่ากลัวว่ามันจะเป็นเรื่องยาก อันที่จริงซูวี่เหมยพึ่งจะโทรศัพท์หาเพื่อนและญาติสนิท คนที่เธอคิดว่าพอจะมีเงินอยู่บ้าง แต่คำตอบที่เธอได้มันก็เหมือนกันทุกราย!
“อ่า ฉันเพิ่งใช้เงินซื้อบ้านไป ฉันขอโทษจริง ๆ นะ!” นี่คือคำตอบที่เพื่อนสนิทของเธอให้มา
“เธอน่าจะบอกก่อนหน้านี้ ตอนนี้ฉันไม่มีเงินอยู่กับมือแล้ว! เธอรออีกสองถึงสามเดือนได้รึเปล่า?”
ไม่ต้องพูดว่าบุคคลนั้นเป็นใคร สิ่งที่เขาพูดออกมามันใช่คำพูดของคนที่ไหน การรักษาอาการป่วยใครจะรอได้อีกสองถึงสามเดือน!
เมื่อตอนยังดีอยู่ก็มีเพื่อนนับไม่ถ้วน เมื่อคุณมีปัญหา มันเป็นเรื่องยากมากที่จะหาเพื่อนที่จริงใจ เป็นเพราะซูวี่เหมยได้ลิ้มรสความเย็นชาของผู้คนมาแล้ว เมื่อเธอได้ยินฉู่เหินพูดว่าเขากำลังจะหาเงิน เธอกลัวว่าฉู่เหินจะเป็นเหมือนตัวเธอเองที่ไม่สามารถไว้ใจใครได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตามเธอเห็นความแน่วแน่และความเพียรในสายตาของฉู่เหิน เธออ้าปากค้างสักพัก แต่ไม่รู้จะพูดอะไร
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ พวกพี่ต้องสัญญากับผม ภายในสามวันผมจะรีบกลับมา แต่ก่อนที่ผมจะกลับมาพี่อย่าเพิ่งผ่าตัดนะ” มองดูหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังของฉู่เหิน ทั้งคู่จึงพยักหน้ารับ
หลังจากฉู่เหินออกมาจากห้อง เขาก็ไปพบแพทย์เจ้าของไข้ “หมอหวังครับ ผมจะกลับไปหาเงิน เราเลือกการรักษาแบบค่อย ๆ ฟื้นฟู ถ้าผมยังไม่กลับมาคุณอย่าเพิ่งทำการผ่าตัดนะครับ” หลังจากหมอหวังพยักหน้าตกลง เขาก็ทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ไว้ ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว
โรงพยาบาลที่ฉู่เหินรักษาตัวอยู่เป็นโรงพยาบาลประจำเขตของพวกเขา ถ้าเดินทางจากในเมืองกลับไปที่หมู่บ้านต้องนั่งรถประจำทางเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้ถนนหนทางได้รับการพัฒนาไปมาก คุณสามารถนั่งรถจากในเมืองไปถึงหน้าประตูบ้านของคุณได้เลย และเป็นเพราะการจราจรที่พัฒนาขึ้นในปัจจุบัน วิถีชีวิตของชาวประมงในปีที่ผ่านมาจึงค่อย ๆ ดีขึ้น
หลังจากขึ้นรถประจำทาง ฉู่เหินก็มองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่า มีคนไม่มากนัก เขาจึงเดินไปนั่งริมหน้าต่าง ในขณะที่รถแล่นใจของฉู่เหินก็คิดอยู่ตลอดเวลา
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เงินที่พี่ชายและพี่สะใภ้ให้เขาไว้ เขาไม่เคยใช้แม้แต่หยวนเดียว แต่ถึงจะรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันก็ยังไม่เพียงพอ เขาคิดไปมาอย่างรวดเร็ว ฉันจะต้องทำยังไงเพื่อให้ได้เงินจำนวนหนึ่ง
หลังจากคิดไปคิดมา ในที่สุดเขาก็นึกถึงระบบเชื่อมโลกา บางทีมันอาจจะเป็นโอกาสบางอย่าง อย่างไรก็ตามมันไม่ชัดเจนว่าระบบเชื่อมโลกาคืออะไรกันแน่ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องรีบกลับไป และไปที่ทะเลเพื่อลองดูสักครั้ง
ขณะที่ฉู่เหินกำลังคิดอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่ทำให้เขาตื่นจากภวังค์
“อ๊าย! แก แกจะทำอะไรน่ะ?” เมื่อหันไปตามเสียง เขาก็เห็นเด็กสาวที่น่ารักราวกับดอกไม้คนหนึ่ง
“ร้องทำไม ก็แค่แตะโดนนิดหน่อย! นั่งรถเมล์มันก็ต้องมีโดนตัวกันบ้าง ถ้าไม่อยากให้คนอื่นโดนตัวก็ไปนั่งแท็กซี่สิ!” ผู้ชายอายุราว ๆ สี่สิบปี หน้าตาอัปลักษณ์พูดกับเด็กสาวพลางมองขึ้นลง ด้วยสายตาจาบจ้วงอย่างน่ารังเกียจ