สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 39 การสอบสุดเขย่าขวัญ
ตอนที่ 39 การสอบสุดเขย่าขวัญ
ค่ำคืนนี้ผ่านไปโดยไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนตื่นมาตอนเช้าตรู่ รับประทานอาหารเช้า และรีบตรงไปที่สนามสอบ
อย่างไรนี่ก็เป็นการสอบระดับประเทศ ทุกคนจึงเครียด ไม่ว่าจะมาจากที่ไหน ก็ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ กันทั้งนั้น
พอเห็นว่าเพื่อนเครียดก็ช่วยกันปลอบใจ “ไม่ต้องกลัวแล้ว พอเขาแจกข้อสอบก็ไม่ต้องเครียดแล้วนะ”
แน่นอน! เอ๊ะ เดี๋ยว
อะไรวะนั่น
นี่มันอะไรกัน
แค่ข้อแรกก็ตกม้าตายกันเป็นแถบแล้ว!
‘จงเชื่อมโยงความสัมพันธ์เรื่องธาตุทั้งห้าและอากาศทั้งหกกับสภาพอากาศของปีนี้ วิเคราะห์การระบาดของโรคและเสนอแนวทางป้องกันโรค ยี่สิบคะแนน’
ทุกคนผงะ
แล้วของปีนี้มันคืออันไหน
ใครจะไปรู้
ในตำรา ‘เน่ยจิง’ มีคำกล่าวว่า ‘ถ้าไม่รู้จักธาตุทั้งห้าและอากาศทั้งหก จะป้องกันโรคได้เยี่ยงไร’
ปัจจุบันคนที่เข้าใจเรื่องธาตุทั้งห้าและอากาศทั้งหกนั้นมีน้อยมาก ถึงมีก็คงเป็นพวกคนอายุหกสิบเจ็ดสิบทั้งนั้น
ทว่าไป๋เยี่ยศึกษาตำรา ‘เน่ยจิง’ และ ‘โจวอี้’ มาเยอะ
อีกทั้งเมื่อคืน…เขายังเพิ่งอธิบายแนวคิดเรื่องธาตุทั้งห้าและอากาศทั้งหกไปสดๆ ร้อนๆ ไม่เพียงแค่นั้น ไป๋เยี่ยยังยกตัวอย่างด้วย เช่นปีนี้เป็นปีมะแม หยินสัมพันธ์กับความชื้นและธาตุดิน ส่วนหยางสัมพันธ์กับความเย็นและธาตุน้ำ ในขณะที่ธาตุไม้นั้นไม่เพียงพอ ปีนี้จึงมีสภาพอากาศเย็นชื้น เพราะฉะนั้นปีนี้อาจจะต้องระวังเรื่องความเย็นและความชื้นในม้ามและกระเพาะอาหาร และควรจะทำให้ม้ามและกระเพาะอาหารอยู่ในสภาพแห้งชื้นไว้…
เมื่อคืนไป๋เยี่ยตั้งใจจะบรรยายละเอียดๆ อีกสักรอบ ทว่าตอนนี้ทุกอย่างก็ดูราบรื่นกว่าเก่า
ผู้เข้าสอบทั้งสามร้อยสี่สิบคนอยู่ในห้องนี้ ทุกคนต่างจ้องมองข้อสอบด้วยความงุนงงพร้อมกับพลิกข้อสอบไปมาด้วยความจนปัญญา
เปิดข้อแรกมาเจอเรื่องธาตุทั้งห้าและอากาศทั้งหกก็ทำทุกคนเสียหลักแล้ว แต่ละคนก็เป็นแค่คนวัยสามสิบกว่าๆ ต่อให้จะมีผลการเรียนอันยอดเยี่ยม แต่คนเราก็มีขีดจำกัดเช่นกัน แถมพวกเขาก็ใช่ว่าจะเข้าใจหัวข้อที่ซับซ้อนแบบนี้ด้วย
แต่บางอย่างก็เป็นข้อยกเว้น เช่นผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบคนจากมณฑลจิ้นซี แววตาของแต่ละคนดูกรุ้มกริ่มราวกับว่าได้เห็นหญิงสาวเปลือยกายต่อหน้าจนแทบอดใจลุกไปหาไม่ไหว
ข้อที่หนึ่งนี่มัน!
อาจารย์ไป๋เยี่ยเคยอธิบายให้ฟังนี่นา
นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าจะมีข้อนี้จริงๆ!
ไป๋เยี่ยชะงักเมื่ออ่านโจทย์ข้อที่สอง
‘จงอธิบายข้อบกพร่องของระบบการจำแนกกลุ่มอาการตามเส้นลมปราณทั้งหก’
‘ระบบการจำแนกกลุ่มอาการตามเส้นลมปราณ’ คืออะไร แล้วใครเป็นคนคิดค้น
ก็ ‘จางจ้งจิ่ง’[1] ยังไงล่ะ! ท่านเป็นถึงปรมาจารย์แห่งการแพทย์ มีข้อบกพร่องตรงไหนด้วยเหรอ คนปกติคนไหนจะไปรู้!
ทว่าไป๋เยี่ยเข้าใจถึงแนวคิดของจางจ้งจิ่งได้อย่างลึกซึ้ง เขาพอบอกข้อบกพร่องของการจำแนกกลุ่มอาการตามเส้นลมปราณได้บ้าง แต่ถ้าจะให้อธิบายทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก
อย่างไรเสียผู้คิดค้นระบบแบบนี้ก็คงไม่ได้เป็นแค่อาจารย์ทั่วๆ ไป แต่เป็นยอดปรมาจารย์ต่างหาก!
ใช่ว่าทุกๆ ร้อยปีจะมียอดปรมาจารย์ปรากฏตัวขึ้นสักคน
ทว่าตอนนี้ ทุกคนต่างพากันถอนหายใจ ข้อสอบบ้าอะไรเนี่ย โคตรยากเลย
คงจะไม่ได้ศูนย์หรอกนะ!
ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวทุกคน
น่ากลัวชะมัด ทั้งห้องสอบมีคนไม่ใช่อัจฉริยะด้วยเหรอ อย่างน้อยๆ ก็น่าจะเป็นด็อกเตอร์กันแล้วมั้ง จะได้ศูนย์คะแนนจริงดิ
ทุกคนคิดแล้วก็เหม่อ
ทว่าหลังจากที่เวลาสอบผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมง จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็ยืนขึ้น “อาจารย์ครับ ผมขอส่งข้อสอบ!”
พูดจบเขาก็ยื่นข้อสอบที่เต็มไปด้วยตัวอักษรไป
ทั้งห้องอึ้งไปชั่วขณะ
ไอ้หมอนี่มันล้อกันเล่นเปล่าวะ
บ้าไปแล้ว
ฉันยังไม่ได้เขียนสักคำเลย
ไอ้หนุ่มนี่ทำเสร็จแล้วเหรอ
ทำเร็วขนาดนี้ เขาทำมั่วหรือเปล่า แต่จะมั่วยังไงเหรอ
แม้แต่เจ้าหน้าที่ในสนามสอบก็พากันอึ้งตามๆ กันไป พวกเขารู้อยู่แล้วว่าข้อสอบนั้นยากแค่ไหน ต่อให้พวกเขาเป็นคนทำก็คงทำไม่ได้หรอก
เพราะว่าอาจารย์หมอระดับประเทศทั้งสิบท่านเป็นผู้ออกข้อสอบพวกนี้เพื่อทดสอบความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนของแต่ละคน
จู่ๆ ชายคนหนึ่งก็กระแอมออกมา “ไม่ลองคิดต่ออีกสักหน่อยเหรอ ยอมแพ้แบบนี้น่าเสียดายนะ”
ที่แท้คนก็มองว่าไป๋เยี่ยยอมแพ้นี่เอง
ไป๋เยี่ยยิ้มตอบ “ผมทำเสร็จแล้วครับ”
ชายคนนั้นดูจะไม่เชื่อสักเท่าไหร่จึงรับข้อสอบมา แล้วเขาก็ต้องตกตะลึง!
ข้อสอบทั้งสองหน้าเต็มไปด้วยตัวอักษร อีกทั้งยังมีเหตุมีผล มีหลักฐานอ้างอิงต่างๆ มีการวิเคราะห์เป็นขั้นๆ ตัวอักษรก็ชัดเจนดี อ่านง่าย แถมยังเรียงลำดับความคิดได้ดีอีกด้วย
ชายคนนั้นอึ้งไป ก่อนจะรีบเอ่ยปากถาม “คุณ…คุณชื่ออะไรครับ”
ไป๋เยี่ยยิ้ม “ไป๋เยี่ยครับ!”
ทันใดนั้น คำพูดของไป๋เยี่ยก็ทำให้คนทั้งห้องตื่นตัว!
“คนนั้นเหรอไป๋เยี่ย”
“ไป๋เยี่ยที่ได้ที่หนึ่งสองครั้งติดไง! เก่งขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!”
ชายหนุ่มจากชวนตูมองไป๋เยี่ยที่กำลังเดินออกไปก็รู้สึกเครียดขึ้นมาในทันใด หัวใจของเขาเต้นแรงมาก!
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมไป๋เยี่ยถึงน่ากลัว ต้องเป็นคนแบบไหนกัน ให้เวลาทำข้อสอบสามชั่วโมง แต่เขาทำแค่ชั่วโมงเดียวก็เสร็จแล้ว
สวี่จงเหล่ยได้ยินคนรอบข้างเอาแต่พูดคุยจ้อกแจ้กก็อดประหลาดใจไม่ได้
นี่พวกคุณไม่เคยนั่งสอบกับไป๋เยี่ยเลยเหรอ ถึงไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มันน่ากลัวแค่ไหน!
แค่นี้ยังน้อย
ก็แค่สงข้อสอบเร็วเท่านั้นแหละ รอผลคะแนนออกมาก่อนเถอะ เดี๋ยวได้รู้แน่ว่าเขาน่ากลัวตรงไหน
เมื่อทั้งเก้าคนเห็นไป๋เยี่ยเดินออกไปด้วยท่าทีมั่นใจก็พลอยสบายใจไปด้วย รู้สึกมีที่พึ่งแล้วแฮะ ค่อยสบายใจหน่อย!
ทว่า
พวกเขาไม่รู้เลยว่าคนอื่นไม่สบายใจสักนิด!
พึงรู้ไว้ว่าที่นี่มีแต่อัจฉริยะ ทุกคนเป็นคนเก่ง แต่จิตใจของแต่ละคนกลับอ่อนแอมาก
เมื่อเห็นว่าไป๋เยี่ยค่อยๆ เดินจากไป ความสิ้นหวังก็สะท้อนออกมาในแววตาของทุกคน
ไป๋เยี่ยเดินไปคิดไป เมื่อคืนเขาเพิ่งอธิบายโจทย์ข้อที่หนึ่งไป พวกเขาน่าจะพอทำได้บ้าง ได้สักสิบ สิบห้าคะแนนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว ส่วนข้อที่สอง วันก่อนอาจารย์หวังซื่อหมินเพิ่งจะพูดถึง ‘ซางหานจ๋าปิ้งลุ่น’ ที่เขียนโดยจางจ้งจิ่งไปคร่าวๆ คงจะพอทำคะแนนได้บ้าง ส่วนข้ออื่นๆ เป็นข้อยาก แต่คงไม่ยากขนาดที่จะทำไม่ได้สักคะแนน
ตอนแรกไป๋เยี่ยว่าจะกลับไปรอพวกเขาที่ห้องหลังจากทำข้อสอบเสร็จ แต่เมื่อออกมาจากห้องสอบเขาก็เห็นกลุ่มคนสูงอายุสี่ห้าคนกำลังนั่งทำอะไรบางอย่างอยู่ที่หน้าประตู
เขาได้ยินกลุ่มคนพวกนั้นกำลังคุยกัน
“เผ่า[2] เดินตรงสามช่องขึ้นไปแถวสี่!”
“เบ๊[3] เดินตรงสองช่องขึ้นแถวหนึ่ง เหอะๆ ดูม้าฉันไว้ดีๆ เถอะ!”
“หึ จุก[4]เดินซ้ายสองช่องขึ้นแถวหนึ่ง”
“ไปขวาหน่อย”
โอ้โห! ไป๋เยี่ยตะลึงไปชั่วครู่ นี่มันหมากรุกจีนไม่ใช่เหรอ ยังมีคนเล่นเป็นอยู่ด้วย แถมยังเดินหมากด้วยการพูด! คนพวกนี้เก่งชะมัดเลย!
ไป๋เยี่ยพอรู้เรื่องหมากรุกจีนนิดหน่อย แต่ต่อให้เขาชำนาญก็คงเล่นไม่ได้แบบนี้หรอก
คนพวกนี้…
จู่ๆ ชายสูงอายุที่กำลังดูการเล่นหมากรุกอยู่ก็พูดขึ้น
“โอ้ มีคนออกมาแล้ว!”
อีกคนหนึ่งกวาดสายตามอง “อย่ามารบกวนสิ แค่เด็กเอง คงออกมาเพราะทำไม่ได้แหละมั้ง ฉันเนี่ยแหละคนคิดโจทย์ข้อที่หนึ่ง พวกเขาคงเสียเวลากับข้อนี้เกินครึ่งชั่วโมงแน่!”
ไม่มีใครคิดว่าไป๋เยี่ยออกมาเพราะทำเสร็จแล้วจริงๆ ดูจากอายุแล้วน่าจะออกมาเพราะทำไม่ได้มากกว่า
“รุกฆาต! ฮ่าๆ มันจบแล้วเหลาสวี่ ผมมีสองตี่[5] แต่คุณน่ะจนมุมแล้ว!”
ชายชราอีกคนถอนหายใจ “เฮ้อ เมื่อกี้เสียสมาธิไปหน่อยน่ะ เพราะไอ้หนุ่มนี่แท้ๆ! ไม่นับๆ มาอีกสักตา”
“ไม่เล่นแล้ว อ้อ แล้วพวกคุณคิดว่าครั้งนี้ทุกคนจะสอบได้สักกี่คะแนนกัน” ชายชราคนหนึ่งถามขึ้น
ชายชราอีกคนส่ายหัวไปมา “โจทย์รอบนี้ไม่ได้ทำมาเพื่อให้ทุกคนทำได้ซะหน่อย มันมีไว้เพื่อคนที่มีแววติดสิบอันดับแรกต่างหาก เพราะฉะนั้นคนอื่นๆ จะสอบได้กี่คะแนนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ อีกอย่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแนวคิดของคนเหล่านั้นต้องตรงกับคนแก่อย่างเราด้วย ไม่งั้นจะหาลูกศิษย์ยังไง”
ชายชราอีกคนพยักหน้า “อืม ก็ตามนั้น ถ้าพื้นฐานยังไม่ถึงระดับนั้นก็ไม่น่าจะทำได้สักข้อ แต่คนที่พวกเราจะเลือกนั้นคือเสาหลักของประเทศ ไม่ใช่อัจฉริยะ คนที่เหมาะสมคือคนที่แบกรับภาระแห่งชาติได้ต่างหาก คงจะไม่ง่ายหรอกนะ”
ทุกคนมองหน้ากันพร้อมกับพยักหน้า
[1] จางจ้งจิ่ง เป็นแพทย์ และนักเขียนในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
[2] เผ่า คือตัวหมากในเกมหมากรุกจีน หมายถึงตัวปืนใหญ่
[3] เบ๊ คือตัวหมากในเกมหมากรุกจีน หมายถึงตัวม้า
[4] จุก คือตัวหมากในเกมหมากรุกจีน หมายถึงตัวเบี้ย หรือ ทหารเลว
[5] ตี่ คือตัวหมากในเกมหมากรุกจีน หมายถึงแม่ทัพ