สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - ตอนที่ 47 เตรียมการล่วงหน้า
ตอนที่ 47 เตรียมการล่วงหน้า
ทั้งคู่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของร้านกาแฟและสั่งกาแฟซิกเนเจอร์มาสองแก้วพร้อมด้วยของหวาน
รอยยิ้มอ่อนๆ นั้นแทบจะติดอยู่บนใบหน้าของหยางเจ๋อตลอดเวลา ดูเป็นธรรมชาติมาก
ไป๋เยี่ยดูออกว่าครอบครัวของฝ่ายตรงข้ามบ่มเพาะเขามาอย่างดี เขาทั้งมีมารยาท และเข้าใจในสถานการณ์ ตั้งแต่เข้ามาเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากถึงเหตุการณ์เมื่อครู่เลย แม้ว่าเขาจะอายุมากกว่าไป๋เยี่ยหลายปี แต่เขาก็ปฏิบัติต่อไป๋เยี่ยอย่างปกติ
นี่แหละผลของการศึกษา!
ไป๋เยี่ยเป็นฝ่ายเริ่มทักก่อน “ขอบคุณสำหรับเรื่องวันนี้มากเลยครับ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมคงยังออกมาจากตรงนั้นไม่ได้แน่ๆ”
หยางเจ๋อส่ายหน้า “ถือว่าเป็นน้ำใจจากผมแล้วกันครับ คุณเป็นอัจฉริยะจริงๆ! ไม่นึกเลยว่าคุณจะมีความรู้เรื่องเหล้ามากขนาดนั้น! รู้ลึกจริงๆ ครับ”
ไป๋เยี่ยยิ้มรับ “ชมเกินไปแล้วครับ แค่โชคดีที่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้นแหละครับ”
หยางเจ๋อพยักหน้าและพูดต่อ “คุณอายุยี่สิบสี่ใช่ไหม นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ได้ที่หนึ่งในการแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนจะเป็นนักศึกษาป.ตรีที่ยังเรียนอยู่คนหนึ่ง”
“ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเชื่อว่าบนโลกใบนี้จะมีอัจฉริยะอยู่จริงๆ แต่พอได้เจอคุณ ผมก็ได้รู้ว่าที่แท้อัจฉริยะก็มีตัวตนอยู่จริงๆ”
ไป๋เยี่ยกำลังจะพูดต่อ ทว่ากลับโดนหยางเจ๋อแทรก “คุณไม่ต้องถ่อมตัวหรอกครับ คุณโดดเด่นมากทั้งที่ในทีมมีแต่คนจบป.โท ด็อกเตอร์ โพสต์-ด็อก หรือแม้กระทั่งบุคลากรอาวุโส อย่าถ่อมตัวไปเลยครับ”
พูดจบหยางเจ๋อก็หันมาที่ไป๋เยี่ย “ผมอยากผูกมิตรกับคนเก่งๆ แบบคุณมาโดยตลอด ผมคิดว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้นะ”
ไป๋เยี่ยมองหยางเจ๋อด้วยความสงสัยว่าเขาอยากจะพูดอะไรกันแน่
จู่ๆ หยางเจ๋อก็พูดขึ้นอีก “วัยรุ่นนี่มันดีจริงๆ เลย อายุยี่สิบสี่เป็นวัยที่ทำอะไรได้เต็มที่สุดๆ เสียดายที่ตอนนี้ผมก็อายุสามสิบสี่สามสิบห้าปีแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ หยางเจ๋อก็จ้องไป๋เยี่ยด้วยแววตาจริงจังก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “คุณพอจะช่วยผมสักเรื่องได้ไหม”
ไป๋เยี่ยนิ่งไป ในที่สุดก็ยอมพูดแล้วสินะ
พูดตามตรง ไป๋เยี่ยไม่ได้ทำตัวเย็นชาใส่หยางเจ๋อเลย เพราะเขารู้สึกว่าหยางเจ๋อมีเรื่องในใจหลายเรื่อง
การที่เขาเก็บซ่อนความรู้สึกมากมายไว้แบบนี้ทำให้ไป๋เยี่ยรู้สึกแปลกๆ เขาไม่ได้รังเกียจหยางเจ๋อ แต่แน่นอนว่าเขาก็ไม่ชอบหยางเจ๋อสักเท่าไหร่
ไป๋เยี่ยเอ่ยขึ้น “อ้อ ลองพูดมาก็ได้นะครับ เผื่อว่าผมจะพอช่วยได้”
หยางเจ๋อยิ้มพลางหยิบบัตรธนาคารใบหนึ่งออกจากกระเป๋ามาวางลงบนโต๊ะและส่งให้ไป๋เยี่ย ก่อนจะพูดขึ้น “ผมอยากได้ที่หนึ่ง! ในนี้มีเงินอยู่สองล้านหยวน ถ้าคุณทำให้ผมได้ที่หนึ่ง เงินทุกหยวนในบัตรใบนี้ก็จะเป็นของคุณ!”
ไป๋เยี่ยอึ้ง ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
หยางเจ๋อถอนหายใจ “กฎการแข่งขันกำหนดไว้ว่าผู้เข้าแข่งขันจะต้องมีอายุสามสิบห้าปีลงไปถึงจะเข้าร่วมได้ นี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายของผมแล้ว คุณพอจะช่วยทำให้ผมสมหวังหน่อยได้ไหม”
“แน่นอนว่าผมจะไม่ทำให้คุณเสียเวลาหนึ่งปีไปฟรีๆ สองล้านหยวนนี่ถือเป็นคำขอบคุณจากผมแล้วกันนะ ยังไงปีหน้าคุณก็ยังมีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันแบบนี้อีกอยู่ดี…แต่ว่าผมน่ะ ไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว!”
คำพูดของหยางเจ๋อเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ทว่าไป๋เยี่ยกลับส่ายหน้า อย่างไรเขาก็ไม่ตกลงแน่นอน
ไม่ใช่เพราะเหตุใด แต่เพราะว่ารางวัลมหาศาลจากภารกิจ ‘ได้ที่หนึ่งจากทั้งประเทศ’ กำลังรอเขาอยู่ต่างหาก อีกอย่างถ้าเขาได้ที่หนึ่ง เขาก็ได้เงินรางวัลตั้งล้านหยวน
เมื่อคิดดีแล้ว ไป๋เยี่ยก็ตอบกลับพลางส่ายหัวไปมา “ขอโทษครับ แต่…ผมทำให้ไม่ได้”
พูดจบไป๋เยี่ยก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินหนีไป
ทว่าหยางเจ๋อกลับรั้งเขาไว้และกล่าวเสียงเรียบ “สามล้าน”
ไป๋เยี่ยก็ยังคงส่ายหัว
หยางเจ๋อไม่มีท่าทีโกรธแต่กลับยิ้มให้ “อืม! คุณเป็นคนยึดมั่นในตนเองดีนี่ พวกเราเหมือนกันเลยนะ ตอนผมอายุยี่สิบสี่ผมก็เป็นแบบคุณ”
“คิดให้ดีๆ นะครับ ก่อนการแข่งขัน อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ นี่เบอร์โทรของผม ถ้าตัดสินใจได้แล้วก็โทรมาหาผม เรื่องเงินน่ะ เราคุยกันได้อยู่แล้วครับ”
พูดจบหยางเจ๋อก็สอดนามบัตรเข้าไปในกระเป๋าของไป๋เยี่ย
ไป๋เยี่ยเรียกรถแท็กซี่กลับไปที่โรงแรม
เมื่อกลับมาถึง เขาก็พบว่าเพื่อนร่วมทีมของเขาก็ยังคงนั่งเล่นเกมกันอยู่
ไป๋เยี่ยเดินเข้าไปถามสวี่จงเหล่ย “พี่สวี่ พี่รู้จักหยางเจ๋อไหม”
สวี่จงเหล่ยชะงักก่อนจะถามกลับ “รู้จักสิ! ทำไมเหรอ”
ไป๋เยี่ยยิ้ม “เปล่าครับ ถามดูเฉยๆ”
สวี่จงเหล่ยเบ้ปาก “หมอนั่นเรียนจบที่เดียวกันกับฉัน แต่เด็กกว่าฉันหนึ่งรุ่นนะ ที่ปรึกษาของเขาเป็นรองผอ.จากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนปักกิ่ง หมอนั่นดังมาก เพราะตอนที่เขาเรียนปีสามเขาได้ลงวารสารวิทยาศาสตร์ตั้งสามฉบับ ว่ากันว่าที่บ้านของเขาเปิดบริษัท ซึ่งก็รวยอยู่พอตัวล่ะนะ
อีกอย่างตอนเรียนเขาก็ได้เป็นประธานกรรมการนักศึกษามาตลอดเลย แถมยังเป็นผู้รับผิดชอบงานเกี่ยวกับสังคมอีกด้วย เขาเลยเป็นพวกชนชั้นสูงในมหา’ลัยน่ะ แล้วหมอนี่ก็เป็นงานด้วย รู้จักต้อนรับคนจนได้เป็นคนใกล้ชิดของผอ.มหา’ลัยแน่ะ!”
ไป๋เยี่ยได้ฟังจากปากสวี่จงเหล่ยก็เริ่มรู้สึกประทับใจในตัวหยางเจ๋อขึ้นมาหน่อย
ทว่าสวี่จงเหล่ยกลับแทรกขึ้นมา “แต่นายไม่ต้องกังวลหรอก หมอนั่นสอบได้แค่หกสิบคะแนนเอง ยังห่างจากนายที่ทำได้ร้อยคะแนนเยอะ เขาไม่ใช่คู่แข่งของนายเลยด้วยซ้ำ เว้นแต่ว่านายจะยอมแพ้น่ะนะ ไม่งั้นเขาก็คงไม่มีโอกาสหรอก!”
ไป๋เยี่ยหัวเราะ ทันใดนั้นโทรศัพท์ของไป๋เยี่ยดังขึ้น ไป๋เยี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์แปลกหน้า ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปรับสายในห้องน้ำ
“ฮัลโหล สวัสดีครับ”
“ไป๋เยี่ยใช่ไหม ดิฉันหูเฟิงอวิ๋นนะคะ!”
ไป๋เยี่ยผงะไปชั่วครู่ “สวัสดีครับผอ.”
“ไป๋เยี่ย คุณฟังดิฉันนะ คุณต้องตั้งใจสอบสัมภาษณ์นะ มันสำคัญสำหรับคุณมากๆ คนที่ได้ที่หนึ่งถือเป็นคนมีโอกาสนะคะ คุณต้องรักษาโอกาสนี้ไว้ให้ดีนะ!”
“ครับ” ไป๋เยี่ยได้แต่พยักหน้าโดยที่ไม่ถามอะไรต่อ
“ที่ปรึกษาของดิฉันบอกว่าครั้งนี้คนที่ได้ที่หนึ่งจะได้เข้าไปเรียนในกลุ่มการทดลองโนเบลของผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์แผนจีนอย่างถูโยวด้วยนะ ซึ่งมันจะมีประโยชน์ต่อคุณมากๆ เลยละ”
ทุกอย่างชัดเจนขนาดนี้แล้ว!
ถูโยว! คนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์เลยนะ! เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์คนแรกของจีนด้วย!
แถมยังเป็นผู้อำนวยการสถาบันแพทย์แผนจีนประจำประเทศจีนอีกด้วย ซึ่งคนที่ได้ที่หนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้จะได้รับโควตาในการเข้าไปฝึกงานกับกลุ่มทดลองของโนเบล!
ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่เป็นโอกาสหายาก เพราะว่าถ้าได้เข้าร่วมกลุ่มทดลองนี้ ก็หมายความว่าจะได้เข้าร่วมทีมทดลองแนวหน้าของโนเบลเช่นกัน มีทั้งผู้ได้รับรางวัลโนเบล ทั้งกลุ่มทดลองทางวิทยาศาสตร์ชั้นนำระดับโลก ทั้งทีมวิชาการระดับนานาชาติ
ไม่แปลกใจเลย!
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหยางเจ๋อถึงยอมจ่ายเงินสองล้านหยวนเพื่อโควตานี้ แต่จะว่าไปตาหยางเจ๋อนี่ก็รวยจริงๆ แฮะ
แต่ถึงกระนั้นไป๋เยี่ยเองก็ตื่นเต้นกับการคว้าโอกาสในครั้งนี้เหมือนกัน!
อีกด้านหนึ่ง หยางเจ๋อกำลังนั่งคุยกับพ่ออยู่ในห้องหนังสือสุดหรูในอะพาร์ตเมนต์หรูหราขนาดสองร้อยห้าสิบแปดตารางเมตรที่ตั้งอยู่ในย่านคนรวยในเขตถนนสามวงแหวนกลางเมืองหลวง
หยางเจ๋อชงชาอย่างระมัดระวัง และรินชาร้อนๆ ให้ผู้เป็นพ่อดื่มก่อน
หยางเฟิงเหนียนมองที่หยางเจ๋อด้วยความพึงพอใจ “พ่อรู้เรื่องหมดแล้ว หยุดเถอะ”
หยางเจ๋อผงะทั้งที่ยังถือถ้วยชาไว้ในมือ “พ่อ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
หยางเฟิงเหนียนส่ายหน้า “ครั้งนี้แกทำตัวไม่เป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย ระวังจะไปเป็นขี้ปากให้ใครเขา มันไม่ดีต่อการพัฒนาตัวเองหรอก”
หยางเจ๋อเคารพในตัวหยางเฟิงเหนียนผู้เป็นพ่อมาโดยตลอด เขาวางถ้วยชาลงและตั้งใจรับฟัง
หยางเฟิงเหนียนเอ่ยปากช้าๆ “ข้อแรก แกประเมินความสำคัญของการแข่งขันครั้งนี้ต่ำเกินไป รู้ไหมว่ามีคนตั้งเท่าไหร่เฝ้าจับตาดูการแข่งครั้งนี้อยู่ ยังดีที่ไป๋เยี่ยไม่เป็นอะไร ไม่งั้นแกคงจะรับผิดชอบเขาไม่ไหวแน่ๆ
ข้อที่สอง แกรู้จักไป๋เยี่ยมากแค่ไหนกัน บางคนก็รักในเงินทอง แต่บางคนก็ไม่ แกไม่รู้จักไป๋เยี่ยเลยสักนิด คิดจะใช้เงินซื้อขายสิ่งที่ต้องการ แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเลิกไป
ข้อที่สาม แกจะไม่สนใจคนที่ไม่เก่งเท่าแกก็ได้ แต่แกต้องหัดเข้าหาคนที่เก่งกว่าแกบ้าง! แบบนี้แกก็จะได้สนิทกับเขาง่ายๆ หน่อย หรือไม่แกก็อาจจะโค่นเขาลงได้เมื่อถึงเวลาอันสมควร!…”
หยางเจ๋อได้ฟังก็นั่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างตั้งใจ “ขอบคุณพ่อที่ช่วยชี้แนะ!”
หยางเฟิงเหนียนจิบชาต่อด้วยความพอใจ “อืม แกเป็นคนเก่ง แต่พ่อคงคาดหวังอะไรจากแกมากไปหน่อย ยังไงสักวันทั้งบ้านหลังนี้และบริษัทก็ต้องตกเป็นของแกอยู่ดี ห้ามทำให้เสียเรื่องเด็ดขาด ตั้งแต่ใช้ชีวิตมาพ่อเจอคนที่เก่งกว่าตัวเองมาหลายคน แต่กลับเจอคนที่รู้จักระมัดระวังตัวน้อยเหลือเกิน!”
พูดจบ หยางเฟิงเหนียนก็ลุกขึ้นและเดินออกไป ทิ้งให้หยางเจ๋อนั่งครุ่นคิดกับชุดชงชาชุดนั้นต่อไป
ไป๋เยี่ยล้มตัวลงบนเตียง เขาไม่ได้นอนมาเกือบครึ่งวัน พลันนึกขึ้นได้ว่าตนยังเหลือโอกาสจับรางวัลอีกหนึ่งครั้ง
คิดได้ดังนั้น ไป๋เยี่ยก็เปิดหน้าจอโปร่งแสงนั้นขึ้นมาและกดใช้โอกาสจับรางวัลสามดาวที่ยังเหลืออยู่ครั้งเดียว
สุ่มรางวัล!
จานหมุนเริ่มหมุนไปเรื่อยๆ ไป๋เยี่ยเพ่งไปที่จานหมุนใบใหญ่นั่น หยุด!
เข็มหยุดลงทันที โดยที่ชี้ไปทางถุงโชคดีถุงหนึ่ง
ไป๋เยี่ยตะลึง เขาเคยเห็นถุงโชคดีแบบนี้มาก่อน แถมยังเคยเห็นมาหลายครั้งแล้วด้วย มันคือ ‘ถุงค่าประสบการณ์’ ยังไงล่ะ
นึกไม่ถึงเลยว่ารางวัลสามดาวจะมีเจ้าถุงนี่ด้วย
ไป๋เยี่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรแล้วกัน เขากดรับถุงใบนั้นและได้รับข้อความแจ้งเตือนจากระบบ
[ติ๊ง! คุณได้เปิดถุงโชคดีระดับสามดาวแล้ว ได้รับค่าประสบการณ์แบบสุ่มจำนวน 10000 แต้ม]
ที่แท้ก็เป็นแบบสุ่มนี่เอง
ก็ไม่แย่เท่าไหร่นี่
ไป๋เยี่ยได้ข้อสรุปเกี่ยวกับถุงค่าประสบการณ์จากการที่เขากดสุ่มรางวัล รางวัลหนึ่งดาวจะได้ค่าประสบการณ์สามพันแต้ม รางวัลสองดาวได้ห้าพันแต้ม ส่วนรางวัลสามดาวจะได้หนึ่งหมื่นแต้ม เพียงพอต่อการอัปเลเวลจากสามขึ้นเป็นสี่ซึ่งต้องใช้ค่าประสบการณ์หนึ่งหมื่นแต้มพอดี
ไป๋เยี่ยรู้สึกมีความสุข ไม่เลว มาดูกันว่าค่าประสบการณ์นี้จะไปเพิ่มให้กับวิชาไหน
ไป๋เยี่ยครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจเปิดดูหน้าวิชาศิลปะป้องกันตัว
แล้วก็พบว่าวิชาศิลปะป้องกันตัวของเขาได้อัปเลเวลจาก เลเวล 2: 120/5000 เป็น เลเวล 3: 5120/10000
วิชาศิลปะป้องกันตัวอัปถึงเลเวลสามซึ่งอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญ หลังจากมาที่เมืองหลวง เขาก็ได้พบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาต้องระวังตัวมากขึ้น ใครจะไปรู้ว่าวันไหนจะต้องเผชิญกับคนชั่วบ้าง อย่างน้อยถ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะป้องกันตัวก็น่าจะพอสู้ได้ในระดับหนึ่งแหละ!
ไป๋เยี่ยรู้สึกว่าทั้งร่างกายและความคิดของเขาเปลี่ยนไป เขารู้สึกสงบขึ้นมาก ทั้งความเครียดและความกระวนกระวายในใจค่อยๆ สลายไป จนในที่สุดเขาก็ได้นอนหลับอย่างสบายใจเสียที