สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 170 เรื่องราวสิ้นสุดลง
บทที่ 170 เรื่องราวสิ้นสุดลง
คืนนั้นถังฮั่นได้เชิญชวนผู้ถือหุ้นรายอื่นเข้ามาจัดการประชุมฉุกเฉินตามคำแนะนำของไป๋ตงหลิน
สาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทน่าย่าดำเนินกิจการมาได้จนถึงปัจจุบันก็มาจากความสามารถในการกระจายหุ้นส่วนของบริษัท
ในฐานะที่เป็นประธานของบริษัท ถังฮั่นจึงเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทในเครือน่าย่าไว้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
เขามีอำนาจควบคุมบริษัทในเครืออย่างสมบูรณ์ ซึ่งหมายความว่าหุ้นส่วนทั้งหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นยังคงวนเวียนอยู่ในบริษัทในเครือ เพราะว่ามีบริษัทที่เข้ามาร่วมหุ้นและจดทะเบียนจำนวนมากนั่นเอง
ความเป็นไปได้ที่บริษัทยักษ์ใหญ่มูลค่าหลายพันล้านจะมีผู้ถือหุ้นเพียงรายเดียวนั้นแทบจะเป็นศูนย์ ผู้ที่ถือหุ้นมากกว่า 66.67% จะถูกเรียกว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจควบคุมอย่างสมบูรณ์ เพราะว่าในการประชุมผู้ถือหุ้นจะมีการแก้ไขข้อบังคับหรือการเพิ่มลดปัจจัยต่างๆ เช่น ทุนจดทะเบียน การควบรวมกิจการ การแบ่งส่วน และการเปลี่ยนรูปแบบบริษัท ฯลฯ ด้วยจึงจะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ออกเสียงมากที่สุด
ซึ่งถังฮั่นก็คือบุคคลที่มีสิทธิ์นั้น
การประชุมกินเวลาราวๆ หนึ่งชั่วโมง โดยมีผู้ถือหุ้นทั้งเจ็ดรายเข้ามาเสนอความคิดเห็นต่างๆ และในที่สุด บริษัทน่าย่าก็ได้ตัดสินใจดังนี้
ทุกคนเห็นด้วยกับข้อเสนอของไป๋ตงหลิน โดยมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย คือบริษัทน่าย่ายินดีที่จะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็นยี่สิบล้านหยวน แต่มูลค่าสิทธิบัตรของไป๋เยี่ยจะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 33.33% ของหุ้นทั้งหมด
พวกเขาต้องการเป็นผู้ควบคุมโดยสมบูรณ์
ทว่าถังฮั่นก็ยังมีแนวทางอื่นให้ไป๋เยี่ยเช่นกัน ไป๋เยี่ยจะเพิ่มจำนวนทุนจดทะเบียนได้มากสุดถึงสิบล้านหยวน ซึ่งเขาจะได้รับหุ้นส่วนครึ่งหนึ่ง
ด้วยวิธีนี้ ทุนจดทะเบียนของบริษัทจะกลายเป็นสี่สิบล้านหยวน ทำให้จุดเริ่มต้นนั้นแตกต่างออกไป…
แน่นอนว่าทุนจดทะเบียนมูลค่ายี่สิบล้านกับสี่สิบล้านย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายก็กลับมาเจอกันที่โรงแรมเดิม
ถังฮั่นอธิบายสิ่งที่เขาตกลงไว้กับไป๋ตงหลินให้ไป๋เยี่ยฟัง ทำเอาไป๋เยี่ยอดตะลึงไม่ได้ พ่อเดาทุกอย่างไว้แล้ว!
หลังจากกลับไปเมื่อคืน ไป๋เยี่ยก็คิดว่าการเจรจาคงเป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งไป๋ตงหลินพูดขึ้นมาว่า
“จุดแข็งของพวกคุณทุนคือการลงทุนเพื่อเพิ่มความได้เปรียบ”
จากนั้นไป๋ตงหลินก็เล่าแนวทางที่พอเป็นไปได้ให้ไป๋เยี่ยฟัง ซึ่งการเพิ่มทุนจดทะเบียนก็เป็นหนึ่งในแนวทาง
ไป๋ตงหลินกล่าวอย่างยิ้มๆ “จริงๆ แล้วเพิ่มทุนจดทะเบียนแบบนี้ก็ดีนะ ตอนแรกพ่อก็กลัวว่าทุนแค่ยี่สิบล้านอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ อาร์คิมิดีสกล่าวว่า โลกของเรานั้นเคลื่อนที่ได้เพราะคานและจุดหมุน ตอนนี้เรามีจุดหมุนของเราแล้ว เหลือแค่คานเท่านั้น ยิ่งจุดหมุนของเราอยู่สูงมากเท่าใด คานของเราก็จะยิ่งยาวมากขึ้นเท่านั้น หุ้นที่จะเรานำไปใช้ประโยชน์ได้ก็สูงขึ้นได้เหมือนคานนั่นแหละ!”
ไป๋เยี่ยเคยเห็นความเก่งกาจของไป๋ตงหลินมานานแล้ว จากชายผู้ไม่มีการศึกษาจนมาเป็นเถ้าแก่บริษัทถ่านหิน จนได้เข้าไปสัมผัสกับโลกของนายทุนในยุโรปและอเมริกาจนได้ถือหุ้นในบริษัทบางแห่ง…
ถึงแม้ว่าเขาจะต้องชดเชยหุ้นที่เสียไปก็ตาม…แต่ดูเหมือนว่าอย่างน้อยปีที่แล้วเขาก็ได้ส่วนแบ่งจำนวนห้าสิบสามเปอร์เซนต์มา
ทว่าไป๋เยี่ยก็ยังคงกังวล “ถ้าอีกฝ่ายเพิ่มทุนจดทะเบียนขึ้นมาเราจะทำไงดี”
ไป๋ตงหลินยิ้มก่อนจะเปิดกระเป๋าและหยิบสมุดบัญชีออกมา “งั้นแม่เอ็งจะทิ้งสมุดบัญชีไว้ทำไมล่ะ”
ไป๋เยี่ยมองไปที่สมุดบัญชีที่มีเงินในนั้นกว่าสิบล้านหยวนด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “พ่อนี่เทพจริงๆ!”
เช้าวันนั้น ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในสัญญาที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ ซึ่งผู้ลงนามก็คือไป๋เยี่ยนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีขั้นตอนเฉพาะอีกหลายอย่างที่ยังต้องรอการดำเนินการต่อไปอยู่
ตามสัญญา ถังฮั่นจะเป็นผู้รับผิดชอบการจัดตั้งบริษัทและส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนไป๋เยี่ยจะเป็นผู้ถือหุ้นไว้ครึ่งหนึ่ง โดยเขาจะโอนหรือแลกเปลี่ยนหุ้นไม่ได้ เพราะถังฮั่นเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับธุรกิจและการตลาดของบริษัทมากที่สุด ส่วนไป๋เยี่ยจะเป็นผู้มีอำนาจในด้านงานวิจัยและการพัฒานวัตกรรมต่างๆ
ทุกคนพอใจกับความร่วมมือครั้งนี้มาก ถังฮั่นจึงกลับไปที่เมืองหลวงในวันเดียวกันนั้น โดยปล่อยให้รองประธานบริษัทเป็นผู้หารือประเด็นเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยต่อไป
การประชุมในมหาวิทยาลัยดำเนินมาเป็นระยะเวลาสองสามวันแล้ว ซึ่งไป๋เยี่ยก็ถูกเรียกให้เข้ามาร่วมประชุมด้วยหลายครั้ง
เพราะว่าไป๋เยี่ยถือเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการร่วมมือกันครั้งนี้ จนแม้แต่ผู้อำนวยการสถาบันเอ็มไอโออย่างเอ็นเดอร์สยังกล่าวว่าถ้าไป๋เยี่ยไม่ได้เป็นประธานหน่วยงานรับรองมาตรฐานเกณฑ์เอ็มไอโอ-บีพีเอฟเอช เขาจะไม่มีทางเข้าร่วมการประชุมและจะปฏิเสธทุกการร่วมมือ
ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เอ็นเดอร์สและไป๋เยี่ยได้คุยกันบ่อยมาก เอ็นเดอร์สรู้สึกตื่นตะลึงในความรอบรู้ของไป๋เยี่ย อีกทั้งแนวคิดของเขาเกี่ยวกับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และแนวโน้มต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตยังสร้างความประทับใจให้เอ็นเดอร์สเป็นอย่างมาก
หลังจากที่คุยกันมาหลายวัน เอ็นเดอร์สก็ยิ่งให้ความสำคัญกับไป๋เยี่ยมากขึ้น ทั้งยังชวนเขาเข้ามาทำงานในสถาบันเอ็มไอโอด้วย
อย่างไรก็ตาม แผนการของไป๋เยี่ยในอนาคตข้างหน้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับสัตววิทยาทดลองมากนัก ทำให้เมื่อเอ็นเดอร์สรู้เรื่องนี้ก็รู้สึกเสียดายไม่น้อยเลย
แต่ถึงกระนั้น เอ็นเดอร์สก็ตัดสินใจร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีในการจัดตั้งสถาบันย่อยของสถาบันวิจัยเอ็มไอโอภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นสถาบันในสังกัดของเอ็มไอโอ โดยจะได้รับการสนับสนุนด้านเทคนิคและทักษะบางอย่าง
หลังจากที่ได้ทราบข่าวนี้แล้ว รองผู้ว่าการมณฑล ถานเจี้ยนกว๋อ และ ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี จางฮั่นหลินก็รู้สึกตกตะลึงและยินดีมาก
การที่สถาบันวิจัยชั้นนำของโลกเข้ามาร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการจัดตั้งหน่วยวิจัยและให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีและทักษะต่างๆ นั้นถือเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีที่มีคุณภาพงานวิจัยต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
การทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ให้กับนโยบายหลักแห่งศาสตร์วิชาได้อย่างไม่น่าสงสัยเลย
ทว่าตอนนี้เอ็นเดอร์สได้เสนอให้ไป๋เยี่ยเป็นผู้รับผิดดชอบหน่วยวิจัย
ทำเอาทุกคนสับสนไปตามๆ กัน
แต่ที่นี่คือประเทศจีนไงล่ะ
จะทำอะไรก็ต้องเห็นหัวรุ่นพี่ก่อน ไป๋เยี่ยเป็นคนเก่ง ถึงเขาจะคิดค้นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมและสร้างผลงานความสำเร็จไว้มากมายก็ตาม แต่เขาก็มีอายุเพียงยี่สิบสี่ปีเท่านั้น
ถ้าเขากลายเป็นผู้รับผิดชอบจริง เขาจะไปควบคุมใครได้
แต่คำพูดของเอ็นเดอร์สนั้นกลับทำให้ทุกคนพูดไม่ออก “คนในเอ็มไอโอต่างเชื่อมั่นในตัวไป๋เยี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะไป๋เยี่ย พวกเขาคงไม่สนใจที่นี่หรอกครับ…สิ่งที่นักวิจัยตามหานั้นไม่ใช่ประสบการณ์ แต่เป็นความสำเร็จต่างหาก ที่จีนไม่มีคำพูดทำนองนี้บ้างเหรอ ‘ใครประสบความสำเร็จก่อนเท่ากับชนะ‘ น่ะ ผมเคยอ่านประวัติศาสตร์จีนมาบ้าง ขนาดกานหลัว[1]ยังขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดีตอนอายุเจ็ดขวบได้เลย ทำไมไป๋เยี่ยจะทำไม่ได้ล่ะ”
เอ็นเดอร์สมองเห็นความลังเลในแววตาของทุกคนจึงกล่าวเสริม “ถ้าไป๋เยี่ยไม่อยากไปที่อเมริกา ผมก็เต็มใจจัดตั้งสถาบันวิจัยสัตววิทยาทดลองไว้ที่นี่ และถ้าไม่ใช่ภายใต้การนำของไป๋เยี่ย ผมก็คงไม่เชื่อมั่นศักยภาพในการทำงานวิจัยของพวกคุณหรอก”
เอ็นเดอร์สพูดอย่างตรงไปตรงหน้าจนเริ่มมีคนกระดาก
แต่ก็ไม่มีใครคิดปฏิเสธเลย!
จู่ๆ ก็มีคนโพล่งคำถามสิ้นคิดออกมา “ไป๋เยี่ยใกล้จะเรียนจบแล้ว หลังจากนั้นเขาก็จะไปเรียนต่อโทที่เมืองหลวง ถ้าไม่มีเขาแล้วจะทำยังไงล่ะ”
ทันทีที่ชายคนนั้นพูดจบ ทั้งจางฮั่นหลินและถานเจี้ยนกว๋อก็เหลือบมองชายผู้นั้นด้วยสายตาพร้อมพิฆาต
เอ็นเดอร์สส่ายหัว “เข้าใจผิดกันแล้วครับ ความรู้ของไป๋เยี่ยด้านสัตววิทยาแซงหน้าพวกคุณไปไกลแล้วด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาต้องการทำนั้นไม่ใช่แค่การทดลอง แต่ต้องการสร้างแนวทางการวิจัยและพัฒนาให้พวกคุณ ถ้าพวกคุณอยากสร้างหลักแห่งศาสตร์วิชาจริงๆ การให้ไป๋เยี่ยขึ้นเป็นผู้นำทีมคงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อีกอย่าง เราจัดตั้งหน่วยวิจัยขึ้นมาก็เพื่อปรับปรุงและทำการวิจัยเกณฑ์บีพีเอฟเอช”
“เพราะฉะนั้นไม่ว่าไป๋เยี่ยจะอยู่ที่ไหน ตราบใดถ้าเขายังมีฐานะเป็นผู้รับผิดชอบหน่วยวิจัยแห่งนี้ ทุกอย่างจะยังเป็นไปตามแผนเหมือนเดิมครับ”
เอ็นเดอร์สพูดจบก็เงียบไป เขาได้พูดทุกอย่างที่ควรพูดออกไปหมดแล้ว เหลือแค่รอดูปฏิกิริยาของคนอื่นเท่านั้น
วันที่ 10 มิถุนายน เวลาเก้าโมงตรง
“ยึดแนวทางการสร้างหลักแห่งศาสตร์วิชาและการปฏิรูปการศึกษา…การก่อตั้งหน่วยวิจัยสัตว์ทดลอง ขึ้น ณ มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีได้รับการอนุมัติแล้ว”
การอนุมัติเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว
ทว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
เว็บไซต์ทางการของศูนย์จัดการโครงการได้ออกประกาศฉบับหนึ่ง
[สถาบันของเขาจะร่วมมือกับสถาบันวิจัยสัตว์ทดลองเอ็มไอโอในการจัดตั้งหน่วยวิจัยสัตว์ทดลองที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี…]
ข่าวนี้ต้องเป็นข่าวใหญ่อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสถาบันเอ็มไอโออย่างเอ็นเดอร์สก็ได้ออกประกาศสาธารณะเช่นกัน “สถาบันเอ็มไอโอและองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน ไอเอสโอ จะร่วมการจัดตั้งหน่วยงานตรวจสอบเกณฑ์เอ็มไอโอ-บีพีเอฟเอชขึ้นที่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี และจัดตั้งหน่วยงานในสถาบันเอ็มไอโอขึ้นมารับผิดชอบงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเกณฑ์บีพีเอฟเอชทั้งหมด ซึ่งคุณไป๋เยี่ยจะได้รับตำแหน่งเป็นผู้รับผิดชอบหน่วยงานตรวจสอบเกณฑ์เอ็มไอโอ-บีพีเอฟเอชและหน่วยวิจัยเอ็มไอโอ”
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีตกเป็นเป้าความสนใจของผู้คนในชั่วข้ามคืน
ทำไมกันล่ะ
ก็เพราะว่าในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยแห่งชาตินั้น มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีอยู่ที่อันดับสี่ร้อยสิบห้า ซึ่งถือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตามที่จางฮั่นหลินเคยพูดไว้
อย่างไรก็ตาม หากทางมหาวิทยาลัยต้องการสร้างหลักแห่งศาสตร์วิชาขึ้น ก็ต้องร่วมมือกับสถาบันวิจัยชั้นนำในต่างประเทศเพื่อนำผู้เชี่ยวชาญและนวัตกรรมล้ำยุคเข้ามา
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีจึงออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ
“มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีได้ทำตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ…ว่าด้วยเรื่องการสร้างหลักแห่งศาสตร์วิชาขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากสถาบันวิจัยเอ็มไอโอ ศูนย์จัดการโครงการ และ บริษัทเป่ยจิงน่าย่าในการจัดตั้งหน่วยวิจัยสัตว์ทดลองขึ้น ซึ่งไป๋เยี่ยจะเป็นผู้อำนวยการกิตติมศักดิ์คนแรกและผู้รับผิดชอบงานวิจัยทั้งหมดในหน่วยวิจัย”
[1] กานหลัว เป็นอัครมหาเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์จีน