สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 199 ความประหลาดใจของฉางลี่เฉียง
บทที่ 199 ความประหลาดใจของฉางลี่เฉียง
การตรวจทวารก็เหมือนกับการจับชีพจรในการแพทย์แผนจีน และอาจจะสำคัญกว่าด้วยซ้ำ เพราะเหตุใดน่ะหรือ
ก็เพราะก่อนที่มีการพัฒนาการแพทย์แผนปัจจุบัน วิธีการวินิฉัยโรคทางทวารหนักทางการแพทย์แผนจีนก็ได้ผลดีมาโดยตลอด ซึ่งวิธีที่ว่านั้นก็คือการตรวจทวารโดยการคลำ
การตรวจด้วยสายตาคือการตรวจดูว่าผิวหนังบริเวณทวารหนักมีอาการแดงบวมหรือไม่ แต่เป็นการยากที่จะตรวจพบรอยโรคในบริเวณทวารหนัก จึงต้องอาศัยการคลำด้วย
แพทย์ที่มีประสบการณ์จะรู้ตำแหน่งของโรค จำนวนรอยโรค ฯลฯ ได้อย่างชัดเจน
หลังจากกลับมาถึงหอพักในตอนเย็น ทั้งสี่คนก็มานั่งจับเข่าคุยกัน หยางเฉาเคยทำงานมาก่อนจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในในโรงพยาบาล ดังนั้นจึงไม่มีอะไรแปลกตาสำหรับเขา
ส่วนเหอเสี่ยวหมิงและหยางเผิงเหว่ยก็เอาแต่นั่งคุยกับสนุกสนาน เมื่อทั้งคู่เห็นว่าไป๋เยี่ยกลับมาค่อนข้างช้า เหอเสี่ยวหมิงก็เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน “ทำไมกลับมาช้าจังล่ะ”
ไป๋เยี่ยยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่อยู่เขียนวิธีรักษาแล้วก็ทำความเข้าใจกับโรคนิดหน่อยน่ะ เพิ่งวันแรกเลยยังไม่ชินเท่าไหร่”
เหอเสี่ยวหมิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมา “แผนกทวารหนักเหรอ นายไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอก เรียนไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี ไปที่นั่นก็มีหน้าที่แค่บันทึกเคสแล้วก็ล้างแผล น่าขยะแขยงจะตาย อีกอย่าง พวกเราเป็นหมออายุรกรรมนะ ต่อไปก็ไม่มีธุระอะไรกับแผนกนี้แล้วนี่นา นายว่าไหมล่ะ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ฉันแค่อยากรู้เรื่องทวารหนักและลำไส้น่ะ หาความรู้เพิ่มเติมหน่อยคงไม่เสียหายอะไรหรอก”
หยางเฉาพูดขึ้น “จริงๆ แล้วสาขาที่เราเรียนๆ กันก็ไม่มีผลกับงานในอนาคตอยู่ดี พอได้เป็นหมอเราก็ต้องไปแผนกที่ขาดคนอยู่ดี ไม่ใช่คิดจะไปที่ไหนก็ไป ความคิดของไป๋เยี่ยไม่เลวเลยนะ”
“ปีนี้เพื่อนร่วมชั้นของฉันก็เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนหนานจิง เขาต่อเฉพาะทางสาขาม้ามและระบบทางเดินอาหาร แต่แผนกนั้นก็ไม่ได้ขาดแคลนคน แต่กลับเป็นแผนกศัลยกรรมที่ขาดแคลนคนแทน บังเอิญว่าเพื่อนฉันก็ทำงานในแผนกศัลยกรรมได้ดีมาก จนได้รับคำชมจากหัวหน้าแผนก แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพแล้วนะ”
ค่ำคืนแห่งความเงียบงันผ่านไป ไป๋เยี่ยหยิบสมุดบันทึกของเขาออกมาและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแผนกทวารหนัก เขาไม่สนใจสิ่งที่คนอื่นพูด เพราะเขามีแผนของตัวเองและรู้ว่าควรทำอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ล้างแผลมาทั้งวัน เขาก็พบปัญหาหนึ่ง นั่นคือผู้คนมักละเลยขั้นตอนการล้างแผลซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐาน ทั้งที่มันมีผลอย่างมากต่อการฟื้นฟูบาดแผล
เมื่อได้ยินสิ่งที่หยางเฉาพูด เหอเสี่ยวหมิงก็ประทับใจมาก เขาเห็นว่าไป๋เยี่ยกำลังเสิร์ชอะไรบางอย่างอยู่ จึงถือโอกาสตอนที่ไป๋เยี่ยลุกไปเข้าห้องน้ำแอบดูสิ่งที่ไป๋เยี่ยเสิร์ชทิ้งไว้ และพบว่ามันคือข้อมูลเกี่ยวกับแผนกทวารหนัก เหอเสี่ยวหมิงเห็นดังนั้นก็กังวลขึ้นมาในทันใด
หลังจากที่ไป๋เยี่ยกลับมา เหอเสี่ยวหมิงก็เริ่มค้นคว้าบทความและวารสารเกี่ยวกับแผนกทวารหนักตามไป๋เยี่ยบ้าง
เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยตื่นแต่เช้าเพราะจะลงไปหาข้าวเช้ากิน ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงแรงสั่นบนเตียง และพบว่าเป็นเหอเสี่ยวหมิงที่กำลังยีผมตนเองก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างลูบหน้าไปมาแล้วจึงลุกพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เขาถามพลางสวมเสื้อผ้าไปด้วย “ทำไมไป๋เยี่ยตื่นเช้าจังล่ะ”
ไป๋เยี่ยตอบ “ว่าจะไปหาอะไรกินน่ะ หมอซ่งขอให้รีบไปล้างแผลให้คนไข้แต่เช้า”
เหอเสี่ยวหมิงชะงัก “หา หมอซ่งให้นายล้างแผลเองแล้วเหรอ”
ไป๋เยี่ยพึมพำ “วันนี้เขาต้องไปขึ้นวอร์ดผู้ป่วยนอกน่ะ ฉันเลยต้องเป็นคนล้างแผลเอง”
จู่ๆ เหอเสี่ยวหมิงก็รู้สึกอึดอัดมากยิ่งขึ้น เพิ่งจะได้มาที่แผนกแท้ๆ ฉันยังไม่เคยเห็นการล้างแผลเลยสักครั้ง แต่ไป๋เยี่ยได้ล้างแผลเองแล้วเนี่ยนะ
“นายทำได้เหรอ เพิ่งเข้าแผนกแล้วไปเป็นคนล้างแผลเลยงี้จะไม่มีปัญหาแน่เหรอ” เหอเสี่ยวหมิงอดใจถามไม่ได้
ไป๋เยี่ยยิ้ม “นายเองก็ทำได้ ฉันไปก่อนนะ”
เหอเสี่ยวหมิงมองตามไป๋เยี่ยที่เดินออกไปพลันกลับมาครุ่นคิดกับตนเอง วันนี้เขาควรจะบอกอาจารย์ว่าเขาจะไปล้างแผลด้วย ไป๋เยี่ยทำได้ ทำไมเขาจะทำไม่ได้ล่ะ
หลังจากไป๋เยี่ยกินข้าวเช้าแล้วเขาก็ไปถึงแผนกตอนเวลาเจ็ดโมงสี่สิบ ซึ่งทันเวลาเปลี่ยนเวรพอดี ทันทีที่เข้ามา ซ่งเจี๋ยก็ส่งยิ้มให้ไป๋เยี่ยโดยไม่ได้พูดอะไร
ทว่าไป๋เยี่ยก็แอบสังเกตเห็นเหอเสี่ยวหมิงยืนใส่เสื้อกาวน์สีขาวอยู่แถวๆ นั้นด้วย จึงยิ้มให้และกล่าวทักทายอีกฝ่ายไป
ในที่สุดวันนี้ไป๋เยี่ยก็ได้พบกับหัวหน้าแผนกทวารหนัก เขามีชื่อว่า ‘พานเซี่ยงเหนียน’ เป็นชายศีรษะโล้นอายุราวๆ ห้าสิบปี เขามักจะทำสีหน้าเคร่งขรึมไม่ยิ้มแย้มทุกครั้งที่ถึงเวลาเปลี่ยนเวร
เวลาแปดโมงสิบนาที หลังจากที่ถึงเวลาเปลี่ยนเวรแล้ว พานเซี่ยงเหนียนก็พยักหน้า “แยกย้ายได้”
ปกติแล้วพานเซี่ยงเหนียนจะอยู่ในห้องตรวจแทบทั้งสัปดาห์ ไม่ค่อยออกมาเข้าเวรในวอร์ดสักเท่าไหร่ เพราะเขาต้องคอยดูแลผู้ป่วยและทำการผ่าตัดอยู่เป็นประจำ
ซ่งเจี๋ยเดินไปทักทายผู้ป่วยคนอื่นๆ “วันนี้หมอต้องไปเข้าเวรวอร์ดผู้ป่วนนอก หมอไป๋จะเป็นคนล้างแผลให้พวกคุณเอง ถ้ามีอะไรก็โทรตามผมได้เลยนะ”
เจ๊คนหนึ่งขานรับ “ได้เลยจ้ะหมอ มีหมอไป๋ก็ค่อยสบายใจหน่อย”
ทุกคนพยักหน้ารับตามๆ กัน หลังจากเมื่อวาน ทุกคนก็พบว่าหมอไป๋เป็นคนมือนิ่งและมือเบากว่าหมอซ่งมาก จึงทำให้ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเท่าไหร่
โดยเฉพาะเฉียนโหรวที่กลัวการล้างแผลโดยซ่งเจี๋ยมาก แต่เมื่อเธอได้ยินว่าวันนี้ไป๋เยี่ยจะเป็นคนล้างแผลให้เธอ เธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ซ่งเจี๋ยยิ้ม ตอนแรกเขาเองก็กลัวว่าผู้ป่วยจะไม่พอใจ แต่ดูเหมือนทุกคนจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หลังจากที่ทักทายจางฮุ่ยแล้ว เขาก็ตรงไปที่วอร์ดผู้ป่วยนอกทันที
ไป๋เยี่ยสวมถุงมือและหน้ากากอนามัยเรียบร้อย ส่วนจางฮุ่ยก็คอยช่วยอยู่ข้างๆ เมื่อเตรียมพร้อมกันเสร็จแล้ว เฉียนโหรวก็เดินเข้ามาพร้อมผ้าขนหนู
เมื่อเธอเห็นว่าไป๋เยี่ยยังหนุ่ม ก็เผลอหน้าแดงออกมาโดยไม่รู้ตัว
ไป๋เยี่ยชะงักเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “ช่วยถอดกางเกงออก นอนตะแคง แล้วก็แอ่นก้นมาทางนี้หน่อยครับ”
จางฮุ่ยรับหน้าที่คอยส่งอุปกรณ์และปรับไฟให้ไป๋เยี่ยมองเห็นแผลได้ชัดขึ้น แต่เพราะเฉียนโหรวเองก็เป็นคนผิวขาวอยู่แล้ว จึงเห็นรอยแผลได้ชัดเจนมาก
หลังจากแกะผ้าก๊อซออก ไป๋เยี่ยก็มองตุ่มขนาดเล็กบริเวณทวารหนักก่อนจะหยิบแหนบขึ้นมาบีบตุ่มหนอง “เจ็บไหมครับ”
เฉียนโหรวพึมพำเสียงเบา “ก็นิดหนึ่งค่ะ”
“วันนี้ดูดีกว่าเมื่อวานนะครับ หนองไหลไม่มากเท่าไหร่ เดี๋ยวผมจะล้างแผลให้นะครับ ทนนิดหนึ่งนะ”艾琳小說
จางฮุ่ยมีอายุมากกว่าไป๋เยี่ยนิดหน่อย เขาจึงเรียกเธอว่าพี่ฮุ่ย
“พี่ฮุ่ยช่วยปรับไฟให้ผมหน่อยครับ ขอผมดูแผลหน่อยว่าเป็นไงบ้างแล้ว” ไป๋เยี่ยมองเข้าไปด้านในทวารแล้วค่อย ๆ ขูดเนื้อเยื่อออก
เฉียนโหรวลุกขึ้นมาสวมกางเกงก่อนจะกล่าวขอบคุณและเดินจากไป
คิวต่อๆ ไปผ่านไปอย่างราบรื่นดี การล้างแผลริดสีดวงทวารค่อนข้างง่าย ที่ยากมีเพียงแผลจำพวกฝีเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
แผนกทวารหนักมีห้องตรวจเพียงห้องเดียว ด้านในมีเพียงตียงทำแผลสองเตียงที่ถูกขั้นกลางด้วยผ้าม่านอีกทีหนึ่ง ทันใดนั้น ฉางลี่เฉียงก็เดินเข้ามาเตรียมจะล้างแผลให้ผู้ป่วยของเขาโดยมีเหอเสี่ยวหมิงเดินตามมาด้วย
ทันทีที่เห็นไป๋เยี่ย ฉางลี่เฉียงก็ถามขึ้น “หืม เสี่ยวฮุ่ย…อาจารย์ซ่งล่ะ”
ปีนี้ฉางลี่เฉียงอายุสามสิบห้าปี เขาเรียนจบปริญญาเอกสาขาเวชศาสตร์ทวารหนักจากไห่ซื่อ เมื่อเข้ามาทำงานในแผนกก็ได้ซ่งเจี๋ยมาเป็นแพทย์ที่ปรึกษาอยู่ระยะหนึ่ง ฉางลี่เฉียงจึงเรียกซ่งเจี๋ยว่าอาจารย์ซ่งนั่นเอง
จางฮุ่ยตอบ “เช้านี้อาจารย์ไปเข้าเวรวอร์ดผู้ป่วยนอกค่ะ เลยฝากให้หมอไป๋เป็นคนล้างแผลแทน”
ระหว่างที่ล้างแผลนั้น จางฮุ่ยก็ค้นพบว่าไป๋เยี่ยมีฝีมือค่อนข้างดีเลยทีเดียว เขาดูเหมือนไม่ใช่มือใหม่เลยสักนิด การเคลื่อนไหวของเขาดูคล่องแคล่วราวกับว่าเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์
ปกติแล้วพวกเขาจะไม่เรียกนักศึกษาแพทย์เหล่านี้ว่าหมอ เพราะว่า…นักศึกษาแพทย์เหล่านี้มีจำนวนมากเกินไป จึงได้แต่เรียกว่านักศึกษาเท่านั้น
สุดท้ายแล้วนักศึกษาพวกนี้ก็มาทำงานในแผนกแค่ช่วงเดียว ต่อไปก็ลืมชื่อกันแล้ว
ไป๋เยี่ยไม่รู้สึกอะไรกับการที่ถูกเรียกว่าหมอไป๋ ทว่าเหอเสี่ยวหมิงกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อนั้น เพราะก่อนหน้านี้พยาบาลก็เอาแต่เรียกเขาว่า ‘นักศึกษาคนนั้น’ อย่างเดียว
ฉางลี่เฉียงเองก็ดูอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน เมื่อเห็นฝีมือการล้างแผลอันยอดเยี่ยมของไป๋เยี่ยก็ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ “ไม่เลวนี่! สาขาทวารหนักเหรอ”
ไป๋เยี่ยยิ้ม “สวัสดีครับอาจารย์ฉาง ผมเป็นนักศึกษาป.โทของที่นี่เองครับ”
ฉางลี่เฉียงถามต่อ “อยู่สังกัดใครล่ะ ฝีมือใช้ได้เลยนะเนี่ย มาจากสาขาศัลยกรรมเหรอ!”
ไป๋เยี่ยฝืนยิ้ม เขารีบแนะนำตนเองไปแบบนั้นเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเกร็ง “ไม่ครับ ผมเรียนสาขาโรคประสาทและสมอง ที่ปรึกษาของผมคือผอ.หลิวครับ ปีนี้เพิ่งเรียนปีหนึ่งเองครับ”
ฉางลี่เฉียงพยักหน้า “อ้อ! เด็กผอ.หลิวนี่เอง คุณนี่เก่งนะ ฝีมือก็ดีด้วย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาจารย์ซ่งถึงไว้ใจคุณ ว่าแต่คุณชื่ออะไรนะ”
ไป๋เยี่ยตอบ “ไป๋เยี่ยครับ”
ฉางลี่เฉียงพึมพำเบาๆ “เอาละ ล้างแผลกันดีกว่า ผมไม่กวนคุณละ เสี่ยวเหอ ไปเรียกผู้ป่วยมาเร็ว เราจะเตรียมล้างแผลกันแล้ว คอยอยู่ช่วยผมก็พอ ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกของคุณ”
เหอเสี่ยวหมิงเห็นไป๋เยี่ยล้างแผลด้วยท่าทีชำนาญก็คิดว่ามันไม่น่าจะยากขนาดนั้น พลันคิดว่าถ้าเขาได้ติดตามซ่งเจี๋ย ซ่งเจี๋ยก็คงให้เขาลองล้างแผลเหมือนกัน
หลังจากที่ล้างแผลเสร็จ ไป๋เยี่ยก็หันมาทางจางฮุ่ย “ขอบคุณมากครับพี่ฮุ่ย”
จางฮุ่ยส่ายหัว “ไม่หรอก ฝีมือนายดีอยู่แล้ว ถ้าไม่บอกว่าเรียนอยู่ก็ไม่เชื่อหรอกนะ”
ไป๋เยี่ยได้แต่ยิ้มและเก็บข้าวเก็บของออกไปเข้าเวรทันที