สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 246 เรื่องยาก
บทที่ 246 เรื่องยาก
ช่วงไม่กี่วันมานี้หานกว๋อหมิงยุ่งมาก ภายในใจอัดอั้นไปด้วยความหงุดหงิด บังเอิญพ่อของเขาดันอยากออกมาเดินเล่นในวันอากาศหนาว
หิมะหนาวเหน็บร่วงลงมายังพื้นดินที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง บรรยากาศหม่นหมองไปด้วยสีเทา ทำให้พ่อของเขาที่เพิ่งจะเดินออกมาล้มลงกับพื้นจนกระดูกหัก
โชคดีที่การรักษาเป็นไปอย่างทันท่วงทีและไม่เกิดปัญหาใหญ่อะไร ถ้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็…
หานกว๋อหมิงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ถอนหายใจ ใกล้ตรุษจีนแล้ว ทุกแผนกกำลังคำนวณและสรุปผลงานกัน อีกทั้งทางการยังเพิ่งจะออกเอกสารมาให้ประชาสัมพันธ์อีกด้วย
ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการหน่วยงานการศึกษา หานกว๋อหมิงจึงไม่อยากประสบปัญหาในช่วงเวลาอันสำคัญนี้ ยังดีที่ยังมีภรรยาคอยจัดการเรื่องที่โรงพยาบาลให้ เขาจึงพอยืดเส้นยืดสายได้บ้าง
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ บิดขี้เกียจและมองออกไปยังหิมะที่ตกอยู่นอกหน้าต่าง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาภรรยาและบอกเธอว่าช่วงสองวันนี้พยายามอย่าออกไปไหน
ปีนี้ที่ปักกิ่งหิมะตกหนักมาก ซึ่งค่อนข้างแปลก หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีหิมะตกปีละสองครั้งมาก่อน ว่ากันว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา หิมะที่ม่ายกว๋อตกหนักจนกลายเป็นสถิติใหม่ในรอบสิบปี สภาพอากาศแบบนี้…ผิดปกติจริงๆ ต้องรู้ว่าม่ายกว๋อเป็นเกาะที่อยู่ทางตอนใต้ของจีน มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ดีมาก เดิมมีภูมิอากาศเขตร้อนซึ่งกลายมาเป็นช่วงพีคของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ไม่มีหิมะตกตลอดปี ทั้งสี่ฤดูมีสภาพอากาศราวกับฤดูใบไม้ผลิ ทว่าปีนี้กลับมีหิมะตกหนัก ทำให้หานกว๋อหมิงพลันรู้สึกหดหู่ไปด้วย
เดิมทีเขากำลังคิดจะพาครอบครัวไปเที่ยวม่ายกว๋อช่วงตรุษจีน ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ พ่อจะล้มกระดูกหัก แถมที่ม่ายกว๋อยังมีหิมะตกหนักอีก…
เลขาของหานกว๋อหมิงเดินเข้ามาพร้อมเอกสาร “หัวหน้าครับ นี่คือเอกสารที่ทางการส่งมา”
หานกว๋อหมิงพยักหน้า “เสี่ยวโจว ชงชาร้อนๆ ให้ผมสักแก้วที หนาวชะมัด!”
ชายคนนั้นพยักหน้า “ได้ครับ”
เมื่อหานกว๋อหมิงเอ่ยชื่อเสี่ยวโจวก็พลันนึกถึงเรื่องที่โรงพยาบาลจนอดส่ายหัวหัวเราะไม่ได้ ปกติเขาเรียกชื่อเสี่ยวโจวจนเคยชินแล้ว พอเห็นว่าไป๋เยี่ยไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นเพียงนักศึกษาแพทย์ฝึกงานจึงเผลอเรียกเขาว่าเสี่ยวไป๋
อันที่จริงหากหานกว๋อหมิงเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นแพทย์ก็จะเรียกเขาว่าหมอไป๋ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นแค่นักศึกษาแพทย์ ก็รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย
แต่ถึงกระนั้น เขาก็คิดว่ามันไม่เป็นไรและคิดว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด พ่อของเขากระดูกหักนะ จะให้นักศึกษาแพทย์เป็นคนผ่าตัดได้อย่างไร!
โชคดีที่เขาไม่ให้อีกฝ่ายทำ มิเช่นนั้นเกิดพ่อเขาเป็นอะไรขึ้นมา เขาคงจะเสียใจสุดๆ แค่ปล่อยคนเฒ่าคนแก่อายุมากขนาดนี้ล้มจนกระดูกหักก็รู้สึกผิดเกินพอแล้ว
จะมีลูกที่ไหนไม่อยากหาหมอดีๆ มารักษาพ่อล่ะ
พูดอีกอย่างหนึ่ง การไม่รักษาน้ำใจนักศึกษาฝึกงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
ทันทีที่หานกว๋อหมิงเห็นหัวข้อของเอกสารก็รู้สึกประหลาดใจ
‘รายชื่อที่เพิ่มเข้ามาในโครงการอัจฉริยะไป่เชียนว่าน’
รายชื่อเหล่านี้ล้วนเป็นเสาหลักของแผ่นดิน แต่ละคนคือบุคลากรผู้เป็นสมบัติแห่งชาติ
ในฐานะที่ทำงานในหน่วยงานการศึกษา หานกว๋อหมิงตระหนักได้ถึงความสำคัญที่ประเทศมีให้กับอัจฉริยะเหล่านี้ มีนโยบายสนับสนุนเงินทุนจำนวนมากให้โครงการในทุกๆ ปี ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้คนอุทิศให้แก่อุตสาหกรรมระดับแนวหน้าของประเทศ
หานกว๋อหมิงรู้ว่าเขาทำงานของตนเองได้ดี แต่ในแง่ของการทำวิจัยนั้น เขากลับทำได้ไม่ดีนัก เขาเป็นคนไอคิวน้อยแต่มีอีคิวสูง ซึ่งเขาเองก็คิดว่านี่คือข้อได้เปรียบของเขา เขาจัดการและประสานงานได้เป็นอย่างดี รวมถึงการดูแลความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หานกว๋อหมิงคิดว่าเขาทำมันได้ดีพอสมควร
ปีนี้โครงการไป่เหรินเพิ่มรายชื่อมาอีกเจ็ดคน ซึ่งทั้งหมดเป็นนักวิชาการ เอ๋ นักวิชาการจางก็อยู่ในโครงการด้วยแฮะ ได้ข่าวว่าหัวหน้าจ้าวก็เป็นศิษย์ของเหล่าจาง ดูท่าต่อไปเขาจะก้าวหน้ามากเลย…
ในฐานะที่ทำงานราชการในปักกิ่ง คุณอาจไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง แต่คุณต้องมีความตื่นตัวกับรายชื่อเหล่านี้
ยิ่งไปกว่านั้น หานกว๋อหมิงผู้ทำงานในหน่วยงานการศึกษาจะต้องรอบรู้ทุกเรื่องในแวดวงวิชาการ จะต้องรู้ว่าแต่ละฝ่ายเชื่อมโยงกันอย่างไร
การจะเป็นนักวิชาการได้ ไม่เพียงแค่ต้องมีความรู้ทางวิชาชีพเท่านั้น แต่ต้องมีความรู้ในระบบการศึกษา ระบบการเมือง ไปจนถึงระบบเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ด้วย
ดังนั้นจึบไม่ควรมองข้ามเบื้องหลังความแข็งแกร่งของนักวิชาการไป
ซึ่งโครงการไป่เหรินก็ถือเป็นโครงการที่มีการแข่งขันสูงในหมู่นักวิชาการ
เช่นเดียวกันกับโครงการเชียนเหรินและโครงการว่านเหรินที่มีการแข่งขัน
มีหลายคนที่หานกว๋อหมิงไม่รู้จัก แต่ในคอมพิวเตอร์จะมีประวัติและข้อมูลคร่าวๆ ของแต่ละคนอยู่ หานกว๋อหมิงจึงพอรู้จักคนเหล่านั้นบ้าง
อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องชะงักไปเมื่อได้เห็นรายชื่อที่ถูกเพิ่มเข้ามาในโครงการเชียนเหริน
“ไป๋เยี่ย?”
ชื่อคุ้นมาก!
หานกว๋อหมิงหลุดหัวเราะ ก็แค่ชื่อเอง จะตกใจทำไมเนี่ย แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังเปิดดูข้อมูลของไป๋เยี่ย
ทว่าทันทีที่เปิดข้อมูลขึ้นมา เขาก็ตะลึงงันไป
[ไป๋เยี่ย: เพศชาย อายุ 25 ปี หัวหน้ากองบรรณาธิการของโรงพยาบาลผู่เจ๋อ ผู้ได้รับรางวัลผลงานดีเด่นระดับโลก ประธานสาขาทวารหนักสมาคมศัลยแพทย์…]
เมื่อหานกว๋อหมิงเห็นตำแหน่งมากมายของไป๋เยี่ย หัวใจของเขาก็เต้นระรัว เวรแล้ว!
มีรูปถ่ายแนบมากับข้อมูลด้วย หานกว๋อหมิงมองใบหน้าอันคุ้นเคยพลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันใด
ไป๋เยี่ยนี่อายุก็น้อย ทำไมถึงเก่งขนาดนั้น
แถมยังได้เข้าโครงการเชียนเหรินด้วย!
อายุแค่ยี่สิบห้าปีแต่ได้รับตำแหน่งมากมายขนาดนี้ก็คงบอกได้แค่คำเดียวว่า
อนาคตก้าวไกล!
นี่เราเผลอเสียมารยาทกับคนที่เก่งขนาดนี้ได้ไงกัน
หานกว๋อหมิงคิดได้ดังนั้นก็อดกระวนกระวายใจไม่ได้ ทำไงดี
หลังจากเลิกงานวันนั้น หานกว๋อหมิงก็ตรงไปที่โรงพยาบาลผู่เจ๋อทันที จุดประสงค์แรกคือไปรับภรรยากลับบ้าน ส่วนอีกจุดประสงค์หนึ่งคือไปดูว่าไป๋เยี่ยอยู่หรือไม่ จะได้ชวนไปกินข้าว
พอมาถึงชั้นล่าง หานกว๋อหมิงก็ซื้อผลไม้ติดมือมาด้วย
เมื่อเห็นว่าไป๋เยี่ยไม่อยู่ที่นี่ เขาก็ถอนหายใจและหันไปพูดคุยกับพ่ออีกสักพักหนึ่ง จากนั้นก็พาภรรยากลับบ้านไป
วันรุ่งขึ้น หานกว๋อหมิงไม่ได้ไปที่ทำงาน แต่ขับรถมาส่งภรรยาที่โรงพยาบาลแทน พร้อมกับซื้อของมาอีกนิดหน่อย
ทันใดนั้นเขาก็ได้พบกับไป๋เยี่ย แต่ดูเหมือนว่าไป๋เยี่ยจะกำลังยุ่ง หลังจากทักทายกันแล้ว ไป๋เยี่ยก็รีบไปทำงานต่อทันที
หานกว๋อหมิงรู้ดีว่าเขาไม่ควรรีบร้อนกับเรื่องนี้ เขาจึงส่งยิ้มให้ไป๋เยี่ย กล่าวขอบคุณและวางผลไม้ไว้ก่อนจะจากไป
ตอนเที่ยง หานกว๋อหมิงชวนเพื่อนเก่าที่ทำงานในผู่เจ๋อมาทานข้าวด้วยกัน ระหว่างนั้นก็เอ่ยถึงไป๋เยี่ยด้วย
เมื่ออีกฝ่ายได้ยินชื่อไป๋เยี่ย แววตาก็เป็นประกาย “เหล่าหาน จะบอกอะไรให้ คนนี้น่ะสมบัติของผู่เจ๋อเลยนะ!”
หานกว๋อหมิงถามอย่างระมัดระวัง “โอ้ เขาเด็กมากเลยนะ เก่งขนาดนั้นเลยเหรอ”
อีกฝ่ายยิ้ม “นายไม่เข้าใจ จะเอาเกณฑ์คนทั่วไปมาตัดสินไป๋เยี่ยไม่ได้ เขาได้รับรางวัลระดับนานาชาติตั้งแต่อายุยังน้อย เก่งเกินอายุจริงๆ…”
หานกว๋อหมิงถามต่อ “เรียนหมอมันหนักนะ อายุแค่นี้เป็นไปได้เหรอ”
อีกฝ่ายยังคงยิ้ม “จะบอกไรให้ อัจฉริยะกับคนทั่วไปน่ะไม่เหมือนกันหรอกนะ ไป๋เยี่ยฝึกงานในแผนกทวารหนักแค่เดือนเดียวก็ได้ไปร่วมงานประชุมประจำปีของสาขาทวารหนักแล้ว ทำให้ประเทศเราได้รับรางวัลที่น่าเชื่อถือมากที่สุดในโลกอย่างรางวัลผลงานดีเด่นมาด้วย”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่แผนกศัลยกรรมกระดูกมาเดือนกว่าแล้ว ฝีมือการทำกายภาพบำบัดถือว่ายอดเยี่ยมมากจริงๆ วันนั้นฉันไปกินเหล้ากับเหล่าหลี่ที่อยู่แผนกนั้น หลี่เจี้ยนเหว่ยน่ะ นายรู้ไหมเหล่าหลี่ว่าไงบ้าง เขาบอกว่าฝีมือกายภาพบำบัดของไป๋เยี่ยเข้าขั้นปรมาจารย์แล้ว ถือว่าเก่งกาจกว่าตัวเขาเองอีก!”
ชายคนนั้นจิบน้ำ “ฉันไม่เชื่อสิ่งที่คนอื่นพูดหรอกนะ แต่เหล่าหลี่ออกปากเองแบบนี้ก็ต้องเป็นเรื่องจริงแน่นอน! สัปดาห์ที่แล้วไป๋เยี่ยก็เป็นคนทำกายภาพบำบัดให้แม่ของประธานสภาประชาชนที่กระดูกหักมาด้วย คิดดูสิ หัวหน้าแผนกอย่าเหล่าหลี่ไม่ทำ แต่กลับให้ไป๋เยี่ยเป็นคนทำซะงั้น คิดว่ามันหมายความว่าไงล่ะ”
“จะบอกอะไรให้ ตอนนี้จะให้ไป๋เยี่ยทำกายภาพบำบัดให้ยังยากกว่าให้เหล่าหลี่เป็นคนทำเลย เพราะอะไรรู้ไหม ก็เพราะเขาไม่ได้จัดคิวไงล่ะ แค่ให้นั่งรอในวอร์ดแปบเดียวเท่านั้น ยังไงเขาก็เป็นแค่นักศึกษา โรงพยาบาลดูแลไม่ได้หรอก!”
หลังจากได้ฟังสิ่งที่เพื่อนเก่าพูดแล้ว สีหน้าของหานกว๋อหมิงก็ไม่ค่อยดีนัก ไม่คิดเลยว่าเราจะเผลอทำตัวเสียมารยาทใส่คนถึงสองคน คนแรกคือไป๋เยี่ย อีกคนก็คือหลี่เจี้ยนเหว่ย!
ขนาดแม่ของประธานสภาประชาชนยังให้ไป๋เยี่ยรักษาเลย แกเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ หานกว๋อหมิง ไม่ได้ยินเหรอว่ากว่าจะได้รักษามันยากแค่ไหน
หานกว๋อหมิง แกนี่นะ! ยังคิดว่าตัวเองฉลาดอีกเหรอ!