สูตรโกงฉบับเด็กเรียน - บทที่ 297 หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
บทที่ 297 หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดการจัดการประชุมถึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ การประชุมที่มีความเป็นมืออาชีพและมีมาตรฐานองค์ความรู้สูงมักจะดึงดูดผู้คนในแวดวงมาได้
เมื่อได้ฟังความคิดเห็นจากอาคามอสแล้ว ไป๋เยี่ยก็ครุ่นคิดดู แล้วเราควรจะจัดประชุมหัวข้ออะไรดี
กระดูกและข้อยังคงเป็นสาขาที่ค่อนข้างกว้าง มีหลากหลายหมวดหมู่แยกย่อยไปอีก ซึ่งแต่ละหมวดหมู่และแนวคิดต่างก็มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
การนำเสนอเทคโนโลยีรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูกและข้อแบบดั้งเดิมดูจะไม่เป็นที่น่าดึงดูดสำหรับผู้เชี่ยวชาญสักเท่าไหร่
โมลโดเสริม “ถ้าอาจารย์อยากจัดการประชุมจริง ผมคิดว่าผมช่วยได้”
“ผมมีตำแหน่งในสมาคมศัลยกรรมกระดูกนานาชาตินะ ถ้าผมโปรโมตงานนี้ ก็น่าจะมีคนมาเข้าร่วมเยอะเลยแหละ”
แววตาของไป๋เยี่ยเป็นประกาย ใช่แล้ว ชื่อเสียงของเรายังไม่มากพอ แต่ถ้าเป็นโมลโดล่ะก็ จะต้องมีชื่อเสียงดังพอแน่นอน!
โมลโดเห็นว่าไป๋เยี่ยไม่คัดค้านก็พูดต่อ “อันที่จริง ผมคิดว่าการประชุมครั้งนี้เราไม่จำเป็นต้องจัดให้เป็นการประชุมเพื่อสรุปหลักเกณฑ์การแพทย์สาขาศัลยกรรมกระดูกหรอกครับ เพราะว่าคนจากยุโรปและสหรัฐฯ ก็มีแนวคิดและแนวทางของตัวเองอยู่แล้ว พวกเขาอาจจะสนใจก็จริง แต่ยังมีประเด็นหนึ่งที่ผมกล้ารับประกันเลยว่ามันจะทำให้คนมาเข้าร่วมงานนี้เยอะแน่นอน”
ไป๋เยี่ยมองโมลโดด้วยสายตาสับสน “อะไรเหรอครับ”
โมลโดยิ้มเล็กน้อย “คุณจำเหตุผลที่ผมกับอาคามอสไปเมียนมาได้หรือเปล่า”
เหตุผลที่โมลโดและอาคามอสไปที่เมียนมา
วิธีการรักษาเคสกระดูกหักพิเศษทางการแพทย์ฉุกเฉินงั้นเหรอ
ใช่แล้ว!
ศัลยกรรมกระดูกฉุกเฉิน!
นี่คือทักษะระดับปรมาจารย์ที่ไป๋เยี่ยสร้างขึ้นเอง แม้ว่าการพัฒนาองค์ความรู้เวชศาสตร์ฉุกเฉินในปัจจุบันจะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีอีกหลายด้านที่ยังไม่ครอบคลุม
ดังนั้นทักษะศัลยกรรมกระดูกฉุกเฉินจึงเป็นสิ่งที่ไป๋เยี่ยเชี่ยวชาญแน่นอน และอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากก็คือมันน่าสะดุดตามากจริงๆ!
เพราะว่านี่เป็นเรื่องที่แปลกใหม่และน่าจับตามอง ไหนจะมีอาคามอสและโมลโดซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ฉุกเฉินและการศัลยกรรมกระดูกร่วมด้วย
มันจะต้องดึงดูดผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์จำนวนนับไม่ถ้วนได้อย่างแน่นอน
ขอเพียงแค่พวกเขามาที่นี่ ไป๋เยี่ยก็ค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเขจะต้องอยู่ต่ออย่างแน่นอน
หากว่ากันตามตรง ตอนนี้ไป๋เยี่ยเปรียบเสมือนพระเจ้าของบรรดานักวิจัยด้านกระดูกและข้อ เขาถือเป็นคนที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีการศัลยกรรมกระดูกที่ทันสมัยที่สุดในโลกแล้ว
ถึงแม้จะฟังดูเกินจริงไปหน่อย แต่มันก็เป็นเรื่องจริง
อาคามอสได้ฟังคำพูดของโมลโดก็เบิกตากว้าง เป็นความคิดที่ดีจริงๆ
ตอนที่ทั้งสามคนอยู่ที่เมียนมาก็ศึกษาเรื่องการศัลยกรรมกระดูกฉุกเฉินเช่นกัน ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาเชิญชวนบรรดาผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์มากมายมาได้
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์เหล่านี้ติดตามไป๋เยี่ยไปยังประเทศเมียนมา แน่นอนว่าพวกเขารู้ดีถึงความเก่งกาจของไป๋เยี่ย ต่างคนต่างเอาแต่ตามไป๋เยี่ยไม่ห่าง อาคามอสพลันนึกไปถึงสายตาของโยฮันตอนที่ต้องแยกย้ายกันไปก็เกือบหลุดขำออกมา
อาคามอสกล่าวอย่างเห็นด้วย “ใช่แล้วอาจารย์ ตอนแรกที่พวกผมไปเมียนมา ในทีมก็มีผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ในแวดวงนี้หลายคนเลย ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เก่งแบบโมลโด แต่ผมและทีมก็เป็นสถาบัยวิจัยนะครับ เราไม่ได้มีแค่บุคลากรระดับแนวหน้า แต่ยังมีบุคลากรหลากหลายระดับอีกด้วย”
ทั้งสามคนพูดคุยและระดมความคิดกันถึงประเด็นต่างๆ ที่ต้องให้ความสำคัญในการจัดประชุม ไป๋เยี่ยรู้สึกว่าตนนั้นช่างโชคดีเหลือเกินที่มีลูกศิษย์สุดน่าทึ่งทั้งสองคนนี้
ทั้งสองคนแตกต่างจากไป๋เยี่ย เพราะพวกเขาเริ่มจากการไต่ระดับขึ้นไปทีละขั้น พวกเขารอบรู้สิ่งต่าง ๆ ในสาขาที่กำลังศึกษาเป็นอย่างดี อีกทั้งพวกเขายังมีเส้นสายและทรัพยากรมากมายด้วย
หลังจากเกิดความคิดที่จะจัดประชุมขึ้น ไป๋เยี่ยก็ขอให้ทั้งสองคนไปวางแผนมาก่อน ส่วนเขาจะไปวางแผนเรื่องสถาบันวิจัยต่อ
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่อย่างใด การขออนุมัติให้มีการก่อตั้งสถาบันวิจัยและโรงพยาบาลเป็นเรื่องยากมาก
เราจะคุยกับใครได้บ้าง
ไป๋เยี่ยคิดไปคิดมาอย่างไม่มีจุดหมาย เขาจึงไปหาอาจารย์ของเขา หลิวป๋อหลี่
วันนี้หลิวป๋อหลี่มีเวรที่วอร์ดผู้ป่วยนอก ไป๋เยี่ยจึงตามเขาไปเขียนใบสั่งยา อย่างไรเหล่าหลิวก็อายุมากแล้ว ไป๋เยี่ยจึงไม่อยากให้เขาเหนื่อยเกินไป อีกทั้งกว่าจะตรวจแต่ละเคสเสร็จก็ใช้เวลานาน ดังนั้นช่วงเช้าจึงมีผู้ป่วยแค่สามสิบคิวเท่านั้น
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่เดินทางมาจากที่อื่น บางคนถึงกับต้องค้างคืนบนรถไฟ จึงเป็นเรื่องยากที่เหล่าหลิวจะปฏิเสธ เขาจึงต้องเพิ่มคิวไปอีก ถึงแม้จะจำกัดแค่สามสิบคิว แต่ทุกๆ ครั้งกลับมีคิวยาวเหยียดถึงเจ็ดแปดสิบคิว
กว่าจะเสร็จเวรช่วงบ่ายก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว มีคนมากมายมาเข้าเวรพร้อมกับเหล่าหลิว ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นบรรดาหัวหน้าแผนก
หลังจากออกเวรแล้ว ทุกคนก็มานั่งทานอาหารด้วยกัน ส่วนไป๋เยี่ยก็เอาแต่เดินตามเหล่าหลิวต้อยๆ
หลิวป๋อหลี่ชะงักไปครู่หนึ่ง “มีอะไรเหรอ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “มีครับ ผมมีเรื่องอยากขอคำแนะนำจากอาจารย์”
หลิวป๋อหลี่พยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “มาคุยกันที่ห้องทำงานของผม”
ทั้งสองคนตรงไปที่ห้องทำงานของหลิวป๋อหลี่ทันที ไป๋เยี่ยจำได้ว่าตอนที่เขามาที่นี่ครั้งแรก เหล่าหลิวเคยบอกให้เลขาของเขาซื้ออาหารเช้ามาฝากด้วย
หลังจากนั่งลงแล้ว เหล่าหลิวก็จิบน้ำก่อนจะมองไป๋เยี่ยยิ้มๆ “เห็นสีหน้าคุณเป็นแบบนี้แล้วไม่รู้จะพูดอะไรเลย เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”
ไป๋เยี่ยยิ้มแห้ง “อาจารย์ครับ ผมอยากสร้างสถาบันวิจัยกระดูก”
หลิวป๋อหลี่แทบจะพ่นน้ำออกมา
เขาคิดว่าไป๋เยี่ยประสบปัญหาเรื่องการเรียน ไม่ก็มีเรื่องอะไรที่โรงพยาบาล แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าคำพูดของไป๋เยี่ยจะทำให้เขาต้องอ้าปากค้าง
สร้างสถาบันวิจัยกระดูก?
นี่เขาคิดว่ามันเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่คิดจะเปิดเมื่อไหร่ก็ได้งั้นเหรอ
สถาบันวิจัยมีหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินโครงการวิจัยและยังต้องมีศักยภาพในการบ่มเพาะนักศึกษาปริญญาโท ซึ่งต้องมีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงและนักวิจัยตั้งแต่ระดับทั่วไปไปจนถึงระดับกลางหลายตำแหน่งด้วย
ไหนจะต้องส่งใบขออนุญาตให้ทางการอีก
หากเป็นสถาบันระดับชาติก็จำเป็นต้องมีการหารือกับสำนักงานจัดตั้ง หน่วยงานด้านบุคลากรและหน่วยงานอื่นๆ ด้วย เพราะว่าสถาบันวิจัยถือเป็นหน่วยงานสาธารณะ การอนุมัติหน่วยงานระดับชาติจึงค่อนข้างเข้มงวด
ดังนั้น หลังจากที่หลิวป๋อหลี่ได้ฟังความคิดของไป๋เยี่ยแล้ว ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาในหัวคือ ‘เป็นไปไม่ได้’ และ ‘แปลกคนชะมัด’
เพราะแม้ว่าเขาต้องการเปิดสถาบันวิจัย แต่เขาก็ต้องผ่านขั้นตอนมากมายและจะต้องใช้เวลาหนึ่งหรือสองปี ซึ่งถือว่าช้าเกินไป
หลิวป๋อหลี่ขมวดคิ้วเป็นปมก่อนจะพูดถึงประเด็นข้างต้นให้ไป๋เยี่ยฟังพร้อมกับถอนหายใจ “ผมเข้าใจว่าคุณมีความทะเยอทะยาน แต่หลายๆ อย่างมันต้องใช้เวลา จะรีบร้อนไม่ได้ อย่าพูดว่าคุณจะไปยื่นใบอนุญาตเองเลย ยังไงผมก็ต้องไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อาจจะไม่ได้รับการอนุมัติก็ได้”
ไป๋เยี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “อาจารย์ครับ ผมอยากสร้างสถาบันวิจัยเอกชนครับ“
หลิวป๋อหลี่ถึงกับตะลึง เขาไม่คิดว่าไป๋เยี่ยคิดจะทำมันด้วยตนเอง
กล้าหาญจริงๆ!
อีกอย่าง…เขาต้องรวยด้วย!
ไป๋เยี่ยพูดต่อ “สิ่งที่ผมจะทำคือสถาบันวิจัยกระดูกที่บูรณาการการปฏิบัติงานในวอร์ดเข้าไปด้วยครับ อาจารย์คิดว่าผมควรจะเริ่มต้นยังไงดี”
หลิวป๋อหลี่นิ่งงันไป หลังจากที่พินิจพิจารณาดูแล้วเขาก็พูดขึ้น “ผมไม่มีความรู้ในด้านนี้เท่าไหร่ งั้นผมจะแนะนำคนหนึ่งให้คุณแล้วกัน เขาเชี่ยวชาญสาขานี้มาก ถ้าไปหาเขาก็บอกเขาไปว่าคุณเป็นลูกศิษย์ของผมแล้วกัน ไว้ผมจะโทรหาเขาให้”
พูดจบ หลิวป๋อหลี่ก็จดชื่อและเบอร์โทรศัพท์ลงบนกระดาษ
หลิวป๋อหลี่พูดต่อ “เขาเป็นนักวิชาการและเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทย์ยูเนียน เขาเชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อมาก ผมจะนัดหมายเขาให้คุณเอง ผมสนิทกับเขาอยู่พอสมควร คุณก็ลองไปคุยกับเขาดูนะ บางทีเขาอาจจะช่วยคุณได้มากเลยล่ะ”
ทันทีที่ไป๋เยี่ยเห็นชื่อ เขาก็อึ้งงันไปทันที!
เราลืมเขาไปได้ไง!
เขาคือผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทย์ยูเนียน แถมยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้ออีก ที่แท้เราก็มองข้ามคนเก่งแบบเขามาโดยตลอด!
ไป๋เยี่ยคิดพลางรู้สึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อย
หลิวป๋อหลี่เห็นสีหน้าของไป๋เยี่ยก็คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าไปหาคนที่เขาพูดถึง “ไม่ต้องห่วง ผมจะโทรหาเขาแทนคุณเอง ถึงเขาจะฟังดูเป็นคนเก่ง แต่เขาก็เข้ากับคนอื่นได้ดีนะ ไม่ต้องกลัว”