หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - ตอนที่ 607
บทที่ 607 ที่นี่ไม่มีอะไร…
ป่ามี่หลัวนั้นไม่ใช่ชื่อจริงๆ ที่เรียกขานกันเช่นนั้นเป็นเพราะมีระบบดาวที่มีลักษณะเฉพาะตัว หากมองลงมาจากไกลๆ จะเห็นระบบดาวแห่งนี้เป็นรูปต้นไม้ขนาดมหึมา
ดาวแต่ละดวงก็ไม่ได้เป็นทรงกลม ระบบดาวแห่งนี้ทำให้ดาวแต่ละดวงพัฒนาจนมีรูปทรงคล้ายต้นไม้เล็กใหญ่ต่างกันไป นอกจากรูปลักษณ์จะเหมือนแล้ว ยังมีทั้งกิ่งและใบ หากลองใช้สัมผัสวิญญาณในการตรวจดูอย่างคร่าวๆ อาจหลงคิดไปว่ามีป่าอยู่กลางห้วงอวกาศก็เป็นได้
นี่คือที่มาของชื่อป่ามี่หลัว
มีสองเหตุผลที่ทำให้ที่แห่งนี้มีชื่อเสียงในจักรพิภพเต๋าของตระกูลไม่รู้สิ้น เหตุผลแรกคือมีอสูรหลายพันเผ่าอาศัยอยู่ในป่ามี่หลัว เกือบทุกเผ่าพันธุ์มีราชันอสูรอันกล้าแกร่ง มีอยู่ห้าสายพันธุ์ที่เก่งกาจกว่าทุกสายพันธุ์ ซึ่งก็คือเหล่าอสูรบรรพชน!
ด้วยเหตุนี้ ป่ามี่หลัวจึงมีชื่อเสียงในจักรพิภพเต๋าของตระกูลไม่รู้สิ้น ไม่มีใครกล้าบุกรุกอารยธรรมนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นเองก็เช่นกัน เหตุผลที่สองคือ…ป่ามี่หลัวเป็นหนึ่งในไม่กี่จักรพิภพที่ตระกูลไม่รู้สิ้นให้อำนาจปกครองตนเอง!
หวังเป่าเล่อที่กำลังเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวถูกเคลื่อนย้ายด้วยแสงจ้ามายังดาวเคราะห์รูปร่างเหมือนต้นไม้ดวงหนึ่งในป่ามี่หลัวที่มีแหล่งอาศัยของอสูรเขี้ยวดาราอยู่
อสูรเขี้ยวดาราเป็นหนึ่งในสายพันธุ์อสูรเรือนหมื่นของป่ามี่หลัว เป็นสายพันธุ์ที่ไม่ได้เก่งกาจขนาดติดห้าร้อยอันดับอสูร ความสามารถในการขยายพันธุ์และพละกำลังก็จัดอยู่ในระดับธรรมดาทั่วไป แต่พวกมันสามารถปรับแต่งดาวเคราะห์ได้ เป็นเหมือนช่างฝีมือที่สามารถปรับสภาพแวดล้อมของดาวเคราะห์ให้เหมาะกับสายพันธุ์ของตนเองได้
แต่การจะทำเช่นนั้น มีดาวเคราะห์อย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้เลือดเนื้อและวิญญาณของผู้ฝึกตนจำนวนมาก ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไร เพราะหลายๆ อารยธรรมก็เป็นเพียงแค่อาหารของพวกมัน
ด้วยความสามารถเฉพาะตัวนี้ทำให้อสูรเขี้ยวดาราเป็นที่ยอมรับในป่ามี่หลัวและได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพันธมิตรเผ่าพันธุ์อสูร ความสามารถเฉพาะตัวดังกล่าวช่วยให้มันอยู่รอดในจักรพิภพนี้
พวกมันช่วยกันปรับสภาพดาวเคราะห์ของตนเองให้มีอุณหภูมิสูงจัด ทั่วพื้นที่มีเปลวเพลิงปะทุคุกรุ่นส่งให้ดาวแห่งนี้เป็นเหมือนกับต้นไม้ที่ถูกไฟคลอก
หวังเป่าเล่อมาปรากฏตัวที่พื้นที่โล่งแห่งหนึ่งบนต้นไม้ไฟคลอกนี้ เขากรีดร้องลั่นทันทีที่ลงแตะพื้น อุณหภูมิรอบกายสูงจัด ผมเผ้าและขนคิ้วลุกเป็นไฟในทันใด ชายหนุ่มรีบปล่อยพลังปราณ ด้วยร่างกายอันแข็งแกร่งและความรู้ความเข้าใจในคาถาเกี่ยวกับอัคคีทำให้สามารถทนความร้อนได้อย่างทุลักทุเล
เขารู้ดีว่าน่าจะทนไปไม่ได้นาน หากไม่รีบกลับ ต้องโดนย่างเกรียมแน่
“สวรรค์ ข้าไปขัดใจใครเข้ากัน ทำไมพวกเขาต้องเปลี่ยนภารกิจไปมาแล้วจบที่ส่งข้ามายังที่แห่งนี้ แม่นางน้อย แม่นางน้อย ข้าไม่ได้ไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจเลยนะ!” หวังเป่าเล่อร้องลั่นด้วยความโกรธ เขารีบออกตามหาพื้นที่ที่ไม่ร้อนแผดเผา
“เงียบน่า!” แม่นางน้อยลั่นขึ้นด้วยเสียงไม่พอใจ ราวกับว่านางเองก็กำลังจะคลุ้มคลั่งไป
“ไม่ใช่ข้า ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเป็นใคร วิญญาณวุธในตำหนักวังบูชาอาจจะเป็นบ้าไปก็ได้ เจ้าคิดว่าข้าอยากมาที่แบบนี้หรือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าหาทางจัดการได้ ที่จริงเราเคลื่อนย้ายกลับ…” แม่นางน้อยแค่นเสียงไม่พอใจ ก่อนนางจะทันได้พูดจบ พลังรัศมีแกร่งกล้าจากสิบสองตัวตนก็ปรากฏขึ้นเหนือดาวเคราะห์ ไกลออกไปในอวกาศ!
เป็นพลังอันมากล้นขนาดทำให้ดาวสักดวงสั่นไหว พลังเข้าปกคลุมผืนฟ้า สั่นคลอนดาวเคราะห์ เปลวเพลิงปะทุขึ้นจากพื้นเปลี่ยนพื้นที่เป็นทะเลเพลิง ขณะที่เปลวเพลิงปะทุขึ้นฟ้า แม่นางน้อยก็เงียบเสียงไป หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม พลังรัศมีที่สัมผัสได้กล้าแกร่งเทียบเท่ากับหัตถ์ยักษ์ให้สำนักวังเต๋าไพศาล จริงๆ แล้วแข็งแกร่งกว่าหน่อยด้วยซ้ำ!
นี่มัน…สวรรค์โปรด นรกแห่งนี้คือที่ใดกัน หวังเป่าเล่อกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่อยู่ พอคิดว่ามีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์อยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ถึงสิบสองคนก็ขนหัวลุกขึ้นมา หนักไปกว่านั้นคือยังมีพลังรัศมีขั้นเชื่อมวิญญาณ ขั้นจิตวิญญาณอมตะ และระดับดาวพระเคราะห์อีกมากมายอยู่บนดาวแห่งนี้
มหาสมุทรเพลิงเบื้องล่างปะทุคุกรุ่น ชายหนุ่มเห็นเงาอสูรมากมายเริงระบำอยู่ระหว่างฟากฟ้าและผืนดิน ภาพเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อสั่นกลัว หายใจไม่ออก กำลังจะเอ่ยเรียกแม่นางน้อยให้เคลื่อนย้ายตนกลับไป ทันใดนั้น ฟากฟ้าก็ปรากฏสายอัสนีฟาดผ่า
มหาสมุทรด้านใต้ปะทุเพลิงเดือด ทั่วทั้งดาวเคราะห์สั่นไหว เหล่าอสูรกรีดร้องคึกคะนองขณะเปลวเพลิงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้าไกลออกไป!
เปลวเพลิงขนาดใหญ่หลายหมื่นเมตรกำลังเคลื่อนตัวลงมายังดาวเคราะห์ราวกับอุกกาบาต แม้จะยังอยู่ห่างออกไปไกล แต่หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นอสูรขนาดมหึมาภายในเพลิงนั่น!
อสูรตนนั้นรูปร่างเหมือนก้อนเนื้อขนาดใหญ่ มีสี่ตา รอบกายปกคลุมไปด้วยหนามแหลมดังกระบี่ ปากกว้างของมันดูน่าพรั่นพรึง คลื่นพลังที่พวยพุ่งออกมาเหนือชั้นกว่าพลังรัศมีสิบสองตนที่สัมผัสได้ก่อนหน้า ราวกับว่านี่คือการกลับมาของราชัน
หวังเป่าเล่อมองได้เพียงแวบเดียว เสียงสั่นกลัวของแม่นางน้อยก็ดังขึ้นในหัว
“ราชันอสูร! ก้มลงเร็วเจ้าอ้วน! ข้าจะร่ายคาถา ตำหนักวังบูชาเฮงซวยนี่ส่งพวกเรามายังนรกแบบนี้ได้อย่างไร กลับไปข้าจะถล่มทั้งตำหนักให้ราบคาบ!” ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้ม รีบทิ้งร่างลงพื้น ไม่สนใจว่าผืนดินเบื้องล่างจะร้อนแรงแผดเผาสักเพียงใด เขารีบคลานไปหลบหลังหินใหญ่ เสียงสั่นเครือของแม่นางดังก้องอยู่ในหัว
“ที่นี่ไม่มีอะไร ที่นี่ไม่มีอะไรทั้งนั้น…”
แม่นางน้อยอาจจะมีกลยุทธ์อะไรบางอย่างหรืออาจจะเป็นเพราะโชคช่วยล้วนๆ ก็ไม่ทราบ แต่ราชันอสูรเขี้ยวดารานั้นไม่สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อตอนที่ลงสู่ดาวเคราะห์ เหล่าอสูรเขี้ยวดาราส่งเสียงกู่ก้องขณะเปลวเพลิงปะทุขึ้นจากผืนดินไม่หยุด
ผ่านไปพักใหญ่ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนกำลังจะโดนย่างจนสุกแล้ว ปากแห้งแตก ดวงตากำลังจะมืดดับ เขาเอ่ยขึ้นอย่างน่าเวทนา
“แม่นางร้อย รีบเคลื่อนย้ายเราหนีไปที!”
“คิดว่าข้าไม่อยากทำเช่นนั้นหรือ ข้าลองมาหลายครั้งแล้ว! ที่แห่งนี้ต้องสาป ข้าทำการเคลื่อนย้ายไม่ได้!” แม่นางน้อยตะคอกกลับ ไม่สมกับภาพลักษณ์ของนางเลยแม้แต่น้อย
นางไม่มีพลังในการรักษาร่างไว้ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ หากปรากฏกายออกมาได้ คงจะเห็นนางกำลังทึ้งหัวด้วยความหงุดหงิดและเป็นกังวล
หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นตระหนก เขาถอนใจ ขณะกำลังสิ้นหวังก็หันไปเห็นบางสิ่งข้างหินที่หลบอยู่ เปลวเพลิงที่แผดเผาผืนพสุธาได้ทิ้งผลึกแก้วส่องสว่างไว้เบื้องหลัง
ชายหนุ่มกะพริบตา จากนั้นก็คลานไปขุดสิ่งนั้นขึ้นมา หลังจากตรวจดูอย่างละเอียด ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง หายใจถี่รัว เกือบจะตะโกนขึ้นด้วยความตื่นตะลึง
หรือว่าจะเป็นแร่อัคคีชั้นสูงสุด คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้าสู่ร่างหวังเป่าเล่อ บนโลกไม่มีบันทึกเกี่ยวกับวัสดุชิ้นนี้ เขารู้จักวัสดุนี้เป็นครั้งแรกในรายชื่อวัสดุจำเป็นสำหรับซ่อมเรือสำปั้นสีดำ จากนั้นก็พบในบันทึกที่เจอในสำนักวังเต๋าไพศาลอีกครั้ง แร่ที่ว่าเป็นวัสดุหลอมสุดล้ำค่าที่หายากมาก หากใช้หลอมอาวุธเวทธรรมดาก็จะเสริมพลังให้ได้มหาศาล
อีกทั้งยังเป็นวัสดุจำเป็นในการหลอมอาวุธเทพและเป็นวัสดุสำคัญในการซ่อมวัตถุแห่งความมืด!
หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจหลังจากตรวจสอบจนมั่นใจ ดวงตาของเขาเป็นประกาย เลิกสนใจเรื่องการเคลื่อนย้ายของแม่นางน้อย รีบหันมองรอบๆ ก่อนจะเห็นผลึกอัคคีชั้นสูงสุดอีกก้อน ชายหนุ่มทนความเจ็บปวด รีบคลานไปเก็บ ก่อนจะมองรอบบริเวณอีกครั้ง
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังตามเก็บแร่อัคคีชั้นสูงสุด แม่นางน้อยก็พยายามร่ายคาถาเคลื่อนย้ายไม่หยุดหย่อน บนยอดเขาไกลออกไปในดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน ชายหนุ่มผู้เมามายจากสำนักวังเต๋าไพศาลก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เขานอนจิบไวน์อยู่บนหินก้อนใหญ่พร้อมกับกระบี่ไม้ที่วางอยู่ข้างกาย ชายหนุ่มยกยิ้มขณะจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อ ภายในดวงตาแฝงไปด้วยความโหยหา
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็หัวเราะขึ้น
“เจ้าชอบศิลาอัคคีชั้นสูงสุดขนาดนั้นเลยเชียว” เขาเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะยกมือขึ้นโบกใส่ผืนดิน พลันดวงดาวก็สั่นไหว สายแร่ศิลาอัคคีชั้นสูงสุดพังทลายลง ก่อนจะโดนพลังที่มองไม่เห็นนำทางดำดินไปหาหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว!