หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1010 การแสดงเดี่ยว!
ก่อนหน้านี้แม่นางน้อยแทนตนเองว่าข้า นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้ยินนางเรียกตัวเองว่าแม่เฒ่า…คำเรียกนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกแย่ยิ่งกว่า
เขาพอจะจินตนาการได้ว่าการที่สตรีผู้เห็นความสำคัญของตนเองเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่สนใจแม้แต่ภาพลักษณ์ของตนเองเช่นนี้ เพียงแค่นี้ก็มากพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นและความสุขซึ่งแตะถึงขีดสุดแล้ว ทั้งยังขยับไม้ขยับมือเต้น จนลืมเรื่องภาพลักษณ์ไปเสียสนิท
นอกจากนี้ทางฝั่งนั้นก็กำลังจะฉลองกันแล้วด้วย…
ประกอบกับคำพูดประโยคนั้นของอีกฝ่ายที่กล่าวว่า ‘ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้’ หวังเป่าเล่อจึงเริ่มหายใจติดขัด และรีบเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“แม่นางน้อยผู้งดงาม ใจดี อ่อนโยน มีคุณธรรม ทั้งยังมีความซื่อตรง คือว่า…พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?” หวังเป่าเล่อมองแม่นางน้อยที่กระโดดโหยงเหยงออกมาจากหน้ากากด้วยความตื่นเต้น นางระงับอารมณ์ภายในใจของตนเอง ทั้งยังกล่าวด้วยใบหน้าจริงใจ
“อยากรู้งั้นรึ?” เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ และได้เห็นใบหน้าของหวังเป่าเล่อที่แม้ว่าจะแสดงความจริงใจออกมา แต่ก็ยังมีความกังวลที่ไม่อาจปกปิดได้ แม่นางน้อยจึงรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ในความเป็นจริงหลังจากที่นางติดตามหวังเป่าเล่อ นอกจากความภูมิใจที่เกิดขึ้นในช่วงแรกเริ่ม ในภายหลังต่างก็ต้องรับการโจมตีของอีกฝ่ายทุกครั้ง
หากการโจมตีเป็นเพราะความตั้งใจก็คงไม่เป็นไร นางยังสามารถกู้หน้าได้ แต่นี่กลับเป็นการโจมตีที่มองไม่เห็นทุกครั้ง สิ่งนี้ทำให้นางแทบจะเป็นบ้าอยู่หลายคราว ในที่สุดนางก็ได้เห็นอีกฝ่ายตกหลุมด้วยตาตัวเอง นอกจากความตื่นเต้นแล้ว นางยังรู้สึกราวกับได้เห็นของดี ครั้นเห็นหวังเป่าเล่อรีบพยักหน้าตอบกลับมา แม่นางน้อยจึงกะพริบตาปริบๆ
“ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!”
หวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนี้พลันเลิกคิ้วขึ้น เขามีความคิดอยากจะหลอกอีกฝ่ายให้ตายใจแล้วจึงจัดการเสียเหลือเกิน แต่จากความเข้าใจที่เขามีต่อแม่นางน้อยผู้นี้ วิธีหลอกให้ตายใจแล้วจัดการ หากคิดจะใช้มันจำเป็นต้องมีเทคนิคอีกเล็กน้อยด้วย เขาจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเงียบๆ และรำพึงในใจว่าเห็นทีคงต้องใช้กลอุบายหนุ่มรูปงามแล้วสิ
เมื่อคิดเช่นนี้ อารมณ์ความรู้สึกจึงค่อยๆ ลอยขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาจ้องมองแม่นางน้อยด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ขณะเอ่ยกระซิบว่า
“แม่นางน้อย เจ้ารู้หรือไม่ ภายในจักรพิภพที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว การหลอกลวง และไร้ความปราณี แต่ข้าก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะที่แสนน่ารักบริสุทธิ์ ปราศจากซึ่งความกังวลใดๆ สำหรับข้านับว่าเป็นความโชคดียิ่งนัก”
“ดังนั้น แม่นางน้อยช่วยบอกข้าได้หรือไม่ เป่าเล่อมีเพียงคำขอเดียว เจ้าช่วยยิ้มให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย เพื่อให้ชีวิตต่อจากนี้เต็มเปี่ยมด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นวันนี้…” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงนัยยะ เขาค่อยๆ ขยับเข้าใกล้แม่นางน้อย คำพูดแต่ละประโยคที่เปล่งออกมา ราวกับมีพลังประหลาดแฝงอยู่ ครั้นแม่นางน้อยได้ยิน นางจึงเกิดอาการประหม่าอย่างห้ามไม่อยู่
ความประหม่าเช่นนี้ ทำให้แม่นางน้อยรู้สึกอึดอัด ขณะใช้ดวงตาจ้องมอง
“เจ้าอ้วนน้อย เจ้าคิดว่าข้าจะใจอ่อนได้ง่ายๆ เพียงเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคนี้งั้นรึ ไม่มีทาง!”
หวังเล่อเป่ายิ้มด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน เขาก้าวเท้าเดินมาหยุดตรงหน้าแม่นางน้อย ตอนที่อีกฝ่ายหลบตา เขาจึงจับเส้นผมที่เป็นภาพมายาของแม่นางน้อยเบา ๆ และพึมพำว่า
“แม่นางน้อย เจ้ารู้ไหม บนโลกใบนี้ในสายตาของข้า เดิมทีไม่ได้มีดวงดาราดวงใดเลย แต่ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงเจ้า ก็จะปรากฎดวงดาราออกมาหนึ่งดวง จึงทำให้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว…”
เมื่อคำพูดนี้ถูกเปล่งออกมา ร่างของแม่นางน้อยพลันสั่นวูบหนึ่ง นางถอยหลังออกไปด้วยความประหม่าเกินกว่าจะหาสิ่งใดเทียบเทียม ทว่าบนใบหน้าของนางกลับแสดงออกถึงความขยะแขยง นางรีบโบกมือพัลวัน
“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าอ้วนน้อย ข้าไม่เคยพบเคยเจอ คนที่มีความอยากรู้อยากเห็นมากเท่าเจ้ามาก่อน” แม่นางน้อยไอกระแอมหนึ่งเสียง หลังจากจัดการกับอาการประหม่าของตนเองได้แล้ว นางจึงกวาดตามองหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อแอบรำพึงภายในใจว่าสิ่งนี้ไม่ใช่หรอกเหรอที่นางอยากเห็น ทำให้เขาต้องใช้กลอุบายหนุ่มรูปงามที่มักจะราบรื่นเสมอ ทว่าใบหน้าของเขากลับเผยรอยยิ้มข่มขื่นออกมาให้เห็น ขณะยกมือขึ้นคารวะแม่นางน้อย
“แม่นางน้อยโปรดคลายความสงสัยด้วย”
หลังจากหายจากความประหม่าภายในใจ และได้เห็นท่าทางของหวังเป่าเล่อที่ดูจริงใจ แม่นางน้อยจึงนั่งลงข้าง ๆ จากนั้นโบกมือหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นน้ำเย็นหล่อวิญญาณก็ปรากฏขึ้นซึ่งมาจากที่ใดไม่อาจทราบได้ เมื่อได้กลืนน้ำลงคอ นางจึงกะพริบตาปริบๆ ทั้งยังแสดงท่าทีรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่นอย่างไม่ปิดซ่อน หลังจากกวาดตามองหวังเป่าเล่อ นางจึงวางน้ำเย็นหล่อวิญญาณลง ก่อนไอกระแอมหนึ่งเสียง
“เฮ้อ เมื่อยไหล่จัง…” เมื่อพูดเช่นนี้ หวังเป่าเล่อที่กำลังตกตะลึงอยู่กับฉากที่แม่นางน้อยหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณออกมา ก็เกิดอาการใบหน้ากระตุก ร่างกายหายไปภายในพริบตาเดียว จากนั้นจึงปรากฏขึ้นอีกครั้งด้านหลังของแม่นางน้อย และเริ่มบีบนวดอย่างแผ่วเบา
ครั้นได้รับการบริการจากหวังเป่าเล่อ และได้ดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณ แม่นางน้อยจึงบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดด้วยความรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าอ้วนน้อย หลังจากที่เจ้าเดินทางมาถึงดาราจักรไฟแห่งนี้ เจ้ารู้สึกใช่ไหมว่าที่นี่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ทั้งยังทำให้สับสนเป็นอย่างมาก”
“เจ้าเองก็เห็นศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงของเจ้าเหล่านั้นแล้ว แม้ว่าภายในจะดูปกติ แต่ส่วนใหญ่ก็ทำให้เจ้ารู้สึกได้ถึงบุคลิกที่ดูผิดแผกราวกับสมองมีปัญหา ใช่หรือเปล่าล่ะ?”
“แม้แต่วัวแก่ตัวนั้น เจ้าเองก็แอบรู้สึกถึงความแปลกประหลาดเช่นกัน ที่ข้าพูดถูกต้องใช่ไหม?” แม่นางน้อยพูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมครู่หนึ่ง เขาจึงถอนหายใจพร้อมกับพยักหน้า
“ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้นะเจ้าอ้วนน้อย ชื่อเสียงปรมาจารย์แห่งไฟภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมีไม่น้อยเลย เรื่องของเขาถูกเล่าขานไว้มากมาย มีคนเคยกล่าวว่าบ้านเกิดของเขาถูกกำจัดโดยตระกูลไม่รู้สิ้น ลูกศิษย์ก็ถูกสังหารทั้งหมด แต่ก็ยังมีคนเล่าว่าลูกศิษย์ของเขายังไม่ตาย เพียงแต่หลับใหลเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส และมีคนพูดอีกว่าในภายหลังปรมาจารย์แห่งไฟได้รับลูกศิษย์มาส่วนหนึ่ง”
“นอกจากนี้ยังมีคนพูดว่าลูกศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟตายไปแล้วจริงๆ เพียงแต่เขาได้ใช้เคล็ดวิชาเพื่อดึงเศษวิญญาณกลับมา ดาราจักรไฟที่ถูกจัดตั้งไว้ แท้จริงแล้วคือวงแหวนปราณวิญญาณหลับใหลขนาดมหึมา สถานที่ที่เตรียมไว้สำหรับลูกศิษย์ของเขาโดยเฉพาะ ทำให้พวกเขาอาศัยที่นี่และดำเนินชีวิตต่อไปได้”
คำพูดเหล่านี้ดังเข้ามาในหูของหวังเป่าเล่อ มือที่กำลังบีบไหล่ศิษย์พี่หญิงจึงชะงักไป
“มีคำพูดหลากหลาย ความคิดเห็นก็แตกต่างกันออกไป แต่เรื่องใดคือเรื่องจริง นอกจากผู้ที่บ่มเพาะได้ถึงระดับเดียวกับศิษย์พี่เฉินชิงจื่อของเจ้าแล้ว ก็ไม่มีใครมองออก แม้แต่บุคลิกแปลกประหลาดของปรมาจารย์แห่งไฟก็ยังถูกปกปิดไว้ คนที่สามารถมองเห็นได้ ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครแพร่งพรายออกไป”
“แต่…ข้าคงเป็นผู้ที่อยู่นอกเหนือจากผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้น และเป็นผู้เดียวที่ล่วงรู้ความจริง!” แม่นางน้อยพูดถึงตรงนี้ ความซับซ้อนและอารมณ์พลันฉายขึ้นบนใบหน้า นางวางน้ำเย็นหล่อวิญญาณลง และปฏิเสธที่จะให้หวังเป่าเล่อบีบนวดไหล่ของนางต่อ นางทำท่าทางราวกับนึกถึงอะไรบางอย่าง ความทรงจำปรากฏขึ้นนัยน์ตา ขณะพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เป่าเล่อ แท้จริงแล้วปรมาจารย์แห่งไฟน่าสงสารมาก…ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของเขา ตอนที่ท่านพ่อของข้าพึมพำกับตัวเองระหว่างเดินทางผ่านจักรพิภพนี้”
“อันที่จริงเรื่องเล่าทั้งหมดที่พูดกันภายนอก ต่างก็ไม่มีเรื่องใดเป็นความจริง ศิษย์พี่ชายและพี่หญิงของเจ้าที่อยู่ภายในดาราจักรไฟเหล่านั้น ไม่ได้หลับใหลเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ได้ถูกเก็บเศษวิญญาณไว้ และไม่ใช่ภาพลวงตา…คำตอบที่แท้จริงก็คือทุกคนที่อยู่ที่นี่ ล้วนเป็นร่างอวตารของปรมาจารย์แห่งไฟ!!!”
“นอกจากลูกศิษย์คนที่สองของเขา ลูกศิษย์ทั้งหมดคือร่างอวตาร แม้แต่วัวแก่ที่ไปรับเจ้าตัวนั้น ก็เป็นร่างอวตารเช่นเดียวกัน”
“พ่อของข้าเคยพูดว่า ปรมาจารย์แห่งไฟเป็นคนโดดเดี่ยว เขาจึงสะสมร่างอวตารจำนวนนับไม่ถ้วนไว้บนโลก เพื่อให้อยู่เป็นเพื่อนตัวเอง…”
หวังเป่าเล่อได้ยินถึงตรงนี้ เขาก็เกิดอาการใจสั่นสะท้าน ความแปลกประหลาดและความสับสนที่อยู่ภายในใจพลันกระจายออก มันได้กลายเป็นระลอกคลื่นในใจ และส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณ
ความเป็นจริงไม่สามารถทำให้จิตใจของเขานิ่งสงบได้ คิดไม่ถึงเลยว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา และไม่ใช่เศษวิญญาณที่เหลืออยู่ แต่เป็นฉาก…การแสดงเดี่ยว
“ไม่เพียงแค่ศิษย์พี่ชายและพี่หญิงของเจ้าเท่านั้นที่เป็นร่างอวตารของปรมาจารย์แห่งไฟ ภายในดาราจักรไฟแห่งนี้ ทั้งหญ้าและไม้ ต่างก็ไม่มีชีวิต โดยทั่วไปแล้ว…มันคือร่างอวตารของเขาทั้งหมด ต้นไม้และเต่าทองไฟที่อยู่ด้านนอก หากข้าเดาไม่ผิด ก็น่าจะเป็นหนึ่งในร่างอวตารของอาจารย์ที่เจ้าเคารพเช่นกัน”
แม่นางน้อยพูดมาจนถึงตรงนี้ ราวกับอารมณ์ที่จมดิ่งในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จะได้รับการฟื้นฟูกลับมา นัยน์ตาของนางจึงปรากฎความปราดเปรื่องและเจ้าเล่ห์อีกครั้ง ขณะมองมาที่หวังเป่าเล่อ
“ดังนั้น เจ้าอ้วนน้อยเจ้าจบเห่แล้วล่ะ เจ้าน่ะฉลาดเกินไปจึงเสียรู้เข้าแล้ว จึงจงใจเอ่ยปากพูดออกไป หากมีคนแอบฟังอยู่ข้างๆ ก็ยิ่งทำให้เห็นความซื่อตรงของเจ้าชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าอยู่ที่วังเต๋าไพศาลก็เคยได้ยินเจ้าคณะพูดเช่นกัน เขาบอกว่าแม้ว่าปรมาจารย์แห่งไฟจะมีการบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง แต่ก็เป็นคนจิตใจคับแคบ ต่อให้ครึ่งประโยคหลังเจ้าจะพูดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่แค่มีครึ่งประโยคแรกมันก็เพียงพอแล้วล่ะ”
หวังเป่าเล่อเกิดความงุนงง ก้นบึ้งหัวใจของเขายังคงจมดิ่งอยู่กับเรื่องที่แม่นางน้อยพูดถึงความเศร้าโศกของปรมาจารย์แห่งไฟ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็กำลังครุ่นคิดว่าตนเองฉลาดเกินไปจนเสียรู้ใช่หรือไม่
หนึ่งใจถูกแบ่งใช้งานถึงสองเรื่อง สิ่งนี้ทำให้เขาค่อนข้างปวดหัว ในขณะที่เงยหน้าขึ้นก็ใช้มือคลึงหว่างคิ้ว ตอนที่กำลังครุ่นคิดว่าจะจัดการอย่างไร เพียงไม่นานคิ้วของเขาพลันเลิกขึ้น
“ไม่ใช่สิ ศิษย์พี่เจ็ดถูกทุบตีอย่างน่าเวทนา นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องโกหก หรือว่าอาจารย์อยู่ที่นั่นไม่มีอะไรทำจึงทุบตีตัวเองแก้เบื่อ? ทั้งยังทุบตีเดือนละครั้งด้วย?”
………………………………………………