หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1061 โชคชะตา!
ความใจดีมีคุณธรรมของเฉินหยางนี้ ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับนิสัยดั้งเดิมของตน อีกส่วนหนึ่งมาจากการสั่งสอนของตระกูลตั้งแต่วัยเยาว์ บิดาของเขาแม้พลังฝึกตนจะไม่สูงล้ำ ทว่าด้านวิชาความรู้และคุณธรรมนั้นเป็นที่ยอมรับจากวงศ์ตระกูลและสังคมทั่วไป
ส่วนมารดาของเขาเองก็เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนเช่นกัน นางรู้ทั้งอักษรและวิชาต่างๆ ในเวลาเดียวกันก็พร่ำสอนเฉินหยางให้รู้จักเก็บงำประกาย ทำให้เขาแตกต่างจากสหายในวัยเดียวกัน แม้จะรู้ว่าตนเองสถานภาพเหนือกว่าผู้อื่นแต่เขาก็ถ่อมตนและมีนิสัยอบอุ่น
สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกับรูปร่างที่ไม่ธรรมดาทำให้วัยเด็กของเฉินหยางล้วนมีแต่ความสุขสำราญ และทำให้ตัวเขานั้นมั่นคงในความใฝ่ฝันของตัวเองอย่างยิ่ง
ค้ำจุนคุณธรรมโลกหล้า ไล่สังหารเหล่ามารปีศาจ!
และภายหลังตัวเขาก็กระทำตนเช่นนี้จริงๆ หลังกราบเข้าสำนักศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นาน เขาที่พลังฝึกปรือทะลุระดับธุลีแล้ว ก็เริ่มออกหาประสบการณ์ที่โลกภายนอก ทุกครั้งที่ออกหาประสบการณ์นั้น ก็ได้พบความชั่วร้ายรวมไปถึงความวุ่นวายของโลกด้านนอก เฉินหยางใช้พลังฝึกตนและกระบี่ในมือ ทุ่มเทพลังก้าวข้ามโลกใบนี้ไป ตัวเขาอุทิศเพื่อพิทักษ์คุณธรรมทั่วหล้า
คนธรรมดาที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้นั้นมีมากมาย เหล่ามารปีศาจที่ตายเพราะเงื้อมมือเขานั้นก็มีจำนวนมากเช่นกัน ในขณะเดียวกัน เนื่องด้วยสถานภาพที่ไม่ธรรมดา จำนวนสหายจากสำนักเดียวกันหรือสหายในเส้นทางเต๋าที่ชมชอบนิสัยอบอุ่นและช่วยเหลือผู้อื่นของเขานั้นก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
คนบางประเภท ตั้งแต่เริ่มแรกก็ถูกกำหนดแล้วว่าไม่ธรรมดา สำหรับตัวเฉินหยางเองก็เช่นกัน
เขานั้น ตรงไปตรงมา รักความยุติธรรม อบอุ่น เป็นดั่งแสงสว่าง เขาถ่อมตน…คำพูดดีงามทั้งหลาย ถูกนำมาใช้อธิบายตัวตนของเขาได้
คนประเภทเฉินหยางนี้ยังถือครองพลังแห่งรากฐานที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย ในระดับหนึ่งก็อาจถือได้ว่าเขาคือผู้ชนะในชีวิตของมนุษย์แล้ว
ดังนั้นแล้วปีที่สิบให้หลัง จากการกราบเข้าสู่สำนักสาขาแห่งนี้ คนเกือบทั้งรุ่นและผู้อาวุโสเกือบทุกคนก็ให้การยอมรับตัวเขา เฉินหยางผู้มีระดับการฝึกตนขั้นธุลีสมบูรณ์ว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของคนรุ่นนี้
ตัวเขาในยามนั้น รอยยิ้มของเขายังคงแฝงด้วยความสมบูรณ์แบบ แฝงไปด้วยความวาดหวังแห่งอนาคต ใครเล่าจะรู้ ต่อให้พบกับเงามืดบนโลกนี้มากแค่ไหน รอยยิ้มของเขาก็ไม่เคยแปรเปลี่ยน
ตัวเขาในยามนั้นคือความหวังอันสูงส่งแห่งสำนัก คือความภาคภูมิใจของตระกูล คือตัวอย่างของคนในพรรค และคือจุดรวมแห่งแสงสว่างทั้งมวล
“ข้าไม่อาจทำถึงขั้นเปลี่ยนแปลงโลกก็จริง แต่สิ่งที่ข้าทำได้ ก็คือกระทำตนเองให้ดี มีเพียงแค่นี้ ชีวิตนี้ของข้าจึงจะไม่นับว่าผิดต่อเจ้า!” ประโยคนี้ในยามที่หมั้นกับศิษย์น้องหญิงที่ตนหลงรักมาตลอด เฉินหยางกล่าวประโยคนี้ออกมาให้ตนเองและนางฟัง
เขาในยามนั้น ในใจมีปณิธานสูงส่งนัก หวังจะทำให้ญาติเบิกบานใจ หวังจะทำให้ชีวิตของวงศ์ตระกูลดีขึ้น หวังจะทำให้คนที่ตนรักมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้น หวังจะทำให้สหายและตนเองเติบโต หวังจะลดจำนวนผู้มีน้ำตาอาบหน้า หวังให้ผู้คนมีความสุขมากขึ้นในชีวิต และหวังให้ตนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างช้าๆ…
หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร อาศัยเส้นทางเดินของเขานี้ บางทีเฉินหยางคงจะไปได้ไกลกว่านี้จริงๆ และไปได้ไกลกว่าเก่า ญาติของเขาย่อมเบิกบานใจ คนในตระกูลของเขาย่อมมีชีวิตที่ดีขึ้น รอยยิ้มของศิษย์น้องหญิงก็คงจะอยู่เช่นนั้นไปตลอดกาล กับสหายก็เป็นเช่นนี้ หรือบางทีคนที่น้ำตาอาบหน้าก็อาจจะมีน้อยลงจริงๆ หรือบางครั้งโชคดีเข้าก็อาจจะช่วยเติมเต็มชีวิตของคนได้มากกว่านี้จริงๆ ก็เป็นได้
แต่ว่ายามนั้น ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดสิ่งใด ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ เมื่อการตัดสินใจเลือกสิ่งหนึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงและพลิกโฉมทุกๆ สิ่งไป!
ทางเลือกที่ว่านี้มาถึงในยามที่เขาฝ่าระดับธุลีเข้าสู่ระดับดาราแล้ว
สำนักหลักแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญกับเขา จึงมอบโอกาสเข้าสู่สำนักหลักให้
ในฐานะที่เป็นนักพรตแห่งสำนักสาขาคนหนึ่ง หลังจากเฉินหยางได้รับข่าวนี้แล้วก็ตื่นเต้นดีใจมาก ตระกูลของเขาเองก็เช่นกัน สิ่งเดียวที่ทำให้เขาเสียใจก็คือ สำนักหลักแจ้งเขามาได้กระชั้นยิ่งทำให้งานแต่งงานระหว่างเขาและศิษย์น้องหญิง ไม่อาจดำเนินต่อไปได้
“รอข้ารายงานตัวกับสำนักหลักแล้ว ข้าจะยื่นขอวันลาช่วงหนึ่งกลับมาแต่งงานกับเจ้าให้เรียบร้อย” นี่คือคำสัญญาที่เฉินหยางมอบให้แก่ศิษย์น้องหญิงระหว่างจุมพิตหน้าผากของนางเพื่อบอกลา
ทว่า ความตั้งใจนี้…คำสัญญานี้ ไม่มีทางสำเร็จ
เพราะเฉินหยางไม่ทันได้คาดคิดเลยแม้สักนิดว่า สิ่งที่รอเขาอยู่ในสำนักหลักนั้น คือฝันร้ายที่จะตามหลอกหลอนเขาไปตลอดชั่วชีวิตสั้นๆ ให้หลัง
ในเวลาที่มาถึงสำนักหลัก เขาก็เหมือนกับมหาศิษย์แห่งเต๋าที่มาจากสำนักสาขาอื่นๆ อีก 99 ราย ถูกขานนาม และโดยไม่มีเหตุผลใดๆ พวกเขาก็โดนคุมขังอยู่ด้วยกัน!
สถานที่กักขังพวกเขาทั้งหนึ่งร้อยคนเอาไว้นี้ เรียกว่าคุกโลหิต!
ที่นี่คือคุกแห่งหนึ่ง คุกที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและหดหู่ วันแรกที่เข้ามานั้น พวกเขาก็ถูกผนึกพลังฝึกตนเอาไว้ มีเพียงเสียงเย็นชาต่ำช้าเสียงหนึ่งบอกพวกเขาว่า กฎของที่นี่ก็คือการฆ่า!
ระหว่างพวกเขานั้นต้องฆ่ากันเอง อีกทั้งทุกวันจำต้องมีคนตายหนึ่งคน หากทำได้ตามนั้นก็จะมอบอาหาร ศิลาวิญญาณทำให้พลังของคนผู้นั้นกลับคืนมา อีกทั้งฟื้นพลังฝึกปรือนั้นกลับมาได้เล็กน้อยด้วย
ส่วนคนที่ทำไม่ได้ย่อมต้องกลายเป็นศพ อีกทั้งญาติและสหายของพวกเขา ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเขาทุกคนนั้นจะต้องถูกสังหารเช่นเดียวกันทั้งสิ้น!
ส่วนผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดแต่ทำภารกิจไม่สำเร็จ พวกเขาก็จะได้เห็นภาพของญาติและสหายของตนตายต่อหน้าต่อตา
จนกว่าจะถึงยามสุดท้าย ในเวลาที่ประตูคุกโลหิตเปิดออกอีกครั้งก็คือยามที่เหลือคนเพียงคนเดียวเหลือรอด
หลังจากเสียงนี้ดังกังวาน สะเทือนอยู่ในหัวใจของพวกเขาทั้งร้อยคนแล้ว เฉินหยางรู้สึกว่านี่มันไร้สาระสิ้นดี แต่ไม่ว่าพวกเขาจะช่วยกันพูดเช่นไร หรือว่าหาทางออก คิดวิธีการอย่างไร ทุกอย่างก็ล้มเหลว…
กระทั่งหลังผ่านไปหนึ่งวัน นอกจากคนอื่นที่ทำภารกิจเสร็จสิ้นไปแล้ว ผู้ฝึกตนจำนวนมากรวมทั้งเฉินหยาง นั้นกลับไม่ได้ฆ่าผู้ใด รอจนระฆังยามเที่ยงคืนดังก้อง ฉากที่ทำให้เฉินหยางเป็นบ้านั้นก็ปรากฏแก่สายตาเขา.Aileen-novel.
นั่นคือวิชาเทพขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ปรากฏอยู่ในสมองของเหล่าคนที่ไม่ได้ทำภารกิจให้เสร็จในตอนนี้ ส่งผลให้พวกเขาได้เห็นภาพที่แตกต่างกันออกไป
สิ่งที่เฉินหยางได้เห็นก็คือ บิดา มารดาของตนนั้น…ผู้ที่มีรอยยิ้มมาตลอด ผู้ที่ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความอ่อนโยน ทั้งชีวิตไม่มีด่างพร้อยคู่นี้ ค่อยๆ ถูกคนเหยียบกระดูกจนแหลกทั้งร่าง พวกเขากรีดร้องสุดเสียงอีกทั้งยังถูกฉีกกระชากเลือดเนื้อบนร่างจนกายวิญญาณเองยังดับสูญ!
เฉินหยางไม่เชื่อ เขารู้สึกว่าภาพนี้ไม่ใช่ความจริง ตนเป็นศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ ตนไม่ได้กระทำเรื่องผิดต่อสำนัก ตนไม่เคยมีเจตนาร้าย ดังนั้นแล้วเรื่องเหล่านี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ เรื่องพวกนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับตน!
“นี่ต้องเป็นบททดสอบเข้าสำนักหลักแน่ นี่เป็นภาพมายา!”
เฉินหยางพึมพำ บอกกับตนเองมาตลอดว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เขาบอกกับตนเองไม่หยุด และบอกกับผู้อื่น หลังจากมั่นใจเช่นนี้แล้ว แม้ว่าจะมีบางส่วนเลือกที่จะเชื่อเขา แต่จำนวนมากกว่านั้นกลับเงียบขรึม ในเวลาเดียวกันเหล่าผู้คนก็เริ่มแตกแยกกันเอง แววตาของพวกเขาปรากฏความดุดันและการดิ้นรน ความเครียดเช่นนี้เมื่อบังเกิดขึ้นมาในใจก็พาลทำให้จิตใจเต้นระรัวและทำให้แตกแยก แต่ละคนต่างเริ่มเสาะหาที่ซ่อนตัว
ตัวเฉินหยางเองก็เป็นเช่นนี้เพราะว่าในวันที่สอง ผู้ที่เลือกลงมือสังหารผู้อื่นเริ่มมีมากขึ้น แต่พวกที่เลือกจะนิ่งเฉยนั้นกลับยังมีมากกว่า อย่างไรก็ดีในยามที่เวลาเที่ยงคืนมาถึง หลังจากที่ภาพเหตุการณ์วนมาอีกครั้ง มีคนบางคนส่งเสียงโหยหวนและกรีดร้องบ้าคลั่ง
“เพราะอะไร เพราะอะไร เพราะอะไร!!”
“ข้ามีใจภักดีต่อสำนักมาตลอด เห็นสำนักเป็นดังครอบครัว ทำไมทำกับข้าเช่นนี้!!”
คนรอบทิศแหกปากร้อง เฉินหยางร่างกายสั่นเทา สมองของเขาปรากฏภาพขึ้นมา นั่นคือท่านลุงของเขาถูกคนทำร้ายทารุณ ส่งเสียงกรีดร้องจนตายเช่นกัน!
“ไม่จริง…ไม่จริง…นี่เป็นภาพมายา…” เฉินหยางตัวสั่น เขาบอกกับตนเองไม่หยุด นี่คือการทดสอบของสำนัก ต้องใช่แน่ๆ
และด้วยความรวดเร็ว วันที่สาม ที่สี่ และวันที่ห้าก็ผ่านพ้นไป เฉินหยางสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง หลบกายอยู่ในที่ซ่อน ในเวลาสามวันนี้ เขามองเห็นญาติของตนตายอย่างทุกข์ทรมาน ในเวลาเดียวกันเขาก็พบว่าบรรดาคนที่เลือกจะสังหารล้วนเงียบขรึมขึ้น และในเวลาเดียวกันพวกเขาเองก็แตกแยกออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งก็เหมือนกับเฉินหยาง พวกนี้เป็นพวกที่ไม่เคยสังหารใครมาก่อน ส่วนอีกฝ่ายย่อมเป็นพวกที่เลือกจะสังหาร อีกทั้งในวันที่สองยังลงมือรวดเร็วรุนแรง
จำนวนของคนกลุ่มที่สองนี้ นับวันก็ยิ่งมีจำนวนมากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเพราะเชื่อในภาพนั้น หรือว่าเพราะต้องการอาหาร หรือเพราะบางคนต้องการศิลาวิญญาณมาเพื่อฟื้นฟูพลังฝึกตนก็ตามที เหตุผลมากมายทำให้ผู้ที่เลือกสังหารนั้นมีจำนวนมากขึ้น!
จนกระทั่งเข้าสู่วันที่เก้า เหล่าคนที่เชื่อตั้งแต่แรกเช่นเดียวกับเฉินหยางว่านี่คือภาพมายาของสำนัก บัดนี้ไม่เชื่ออีกต่อไป
“เฉินหยาง เจ้าคิดมาตลอดว่านี่คือภาพมายา คือการทดสอบของสำนัก เช่นนั้นก็ให้ข้าฆ่าเจ้าเสีย ปลดปล่อยเจ้าเถอะนะ ให้เจ้าได้ไปพบกับคำตอบด้วยตนเอง”
“หรือบางที หากตายจากที่นี่ไปแล้ว เจ้าจะได้ตาสว่างจากสำนักนี้เสียที หรืออย่างมากที่สุด ก็คือสอบไม่ผ่านที่นี่เท่านั้นแหละ” ผู้เยาว์รายหนึ่งค่อยๆ เอ่ยปาก ก้าวเข้ามาหาเขา ใกล้ขึ้นทุกที ทุกที…
……………………………………………………………………