หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1098 กลับสู่อดีตชาติ!
ใดๆ ในโลกย่อมมีเหตุและผล
สิ่งใดที่ได้รับมา ย่อมมีค่าตอบแทน แม้ค่าตอบแทนจะมากน้อยแตกต่างกันไป แต่สุดท้ายย่อมเป็นเช่นนี้ เหตุผลนี้หวังเป่าเล่อเข้าใจดี
ก็เหมือนกับคราวนี้ที่เขาอยู่ในงานวันฉลองอายุของประมุขกฎสวรรค์ ตั้งแต่เริ่มทดสอบ จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ สิ่งที่เขาได้รับมากมายมหาศาลนัก ระดับปฏิบัติจากดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง จนถึงชั้นมหาวัฏจักร
การสร้างสรรค์ที่เรียกได้ว่าเหนือธรรมชาติเช่นนี้ ย่อมต้องมีค่าตอบแทน และหวังเป่าเล่อพยายามพุ่งออกจากโลก เพื่อมองความเป็นจริงจากภายนอก เรื่องนี้ต้องมีเหตุและผลอันใหญ่หลวงที่คงอยู่
ดังนั้นในท้ายที่สุด แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จไปเพียงกึ่งเดียว ที่เห็นความเป็นจริงส่วนที่อยู่นอกโลก แต่ก็เห็น…ตะขาบสีโลหิตที่คว่ำหน้าอยู่บนโลงศพแก้วผลึก
บางทีอาจเป็นการจ้องมองในครั้งนั้น ที่ก่อให้เกิดเหตุและผลระหว่างพวกมัน จึงเกิดจุดจบของเผ่าเทพอัคคีในชาติก่อน มือที่ปรากฏขึ้น และคำพูดประโยคนั้น
บางทีทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร อดีตชาติของเขา…ล้วนเป็นเพราะการปรากฏตัวและการขัดจังหวะของตะขาบสีโลหิต มีตัวแปรบางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้
แต่โดยรวมแล้ว ประโยชน์ที่เขาได้รับนั้นมหาศาล ดังนั้นค่าตอบแทนที่ตามมาย่อมสูงถึงระดับที่น่าตกใจ ความประมาทเพียงเล็กน้อยก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะร่วงหล่น
และหากเป็นเพียงแค่ร่วงหล่นก็ยังพอว่า แต่เห็นได้ชัดว่า…อีกฝ่ายต้องการครอบครองร่างตน
ดังนั้นงานวันฉลองอายุนี้จึงสิ้นสุดหลังจากที่หวังเป่าเล่อเห็นเบาะแสแห่งอนาคตจบแล้ว ครั้นผู้ฝึกตนจำนวนมากค่อยๆ จากไป ทว่าหวังเป่าเล่อ…ยังคงอยู่ที่นี่
เขายังอยู่รักษาตัวบนดาวชะตา
การต่อสู้ครอบครองร่างในเบาะแสแห่งอนาคต แม้หวังเป่าเล่อจะคลี่คลายวิกฤตตได้ แต่ค่าตอบแทนที่จ่ายไปก็น่าตกใจ นั่นคือ…บาดแผลจากห้าชาติ!
ชาติเผ่าเทพอัคคี ชาติผีดิบ ชาติทหารอาฆาต ชาติแห่งความชิงชังของมหาศิษย์แห่งเต๋า และชาติกวางขาวน้อย…เงาแห่งห้าชาตินี้ ล้วนมีอาการบาดเจ็บสาหัส หากไม่ได้รับการเยียวยา แล้วออกจากดาวชะตาไปทั้งอย่างนั้น จะไม่เป็นผลดีต่อหวังเป่าเล่อ
ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาต้องอยู่ต่อ นั่นก็คือ… อาจารย์ของเขาปรมาจารย์แห่งไฟ ได้แลกมาซึ่งโอกาส ด้วยการนำแก้วผลึกติดตัวเข้าสู่การระลึกชาติ เพื่อให้ขอบเขตโอกาสในการรอดชีวิตสูงขึ้น
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ต้องการสิ่งนี้แล้ว แต่เขาก็ยังจำสิ่งที่ตนเอ่ยกับตะขาบสีโลหิตก่อนที่จะหายไปได้เป็นอย่างดี!
“ที่มาของข้า…” หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งบนดาวชะตา หลังจากสูดหายใจแห่งฟ้าดิน เขาจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น มีประกายล้ำลึกอยู่ในแววตา
เขาได้ไตร่ตรองปัญหานี้มาก่อนหน้าแล้ว ตนปรากฏอยู่ในมือซุนเต๋อซากวิญญาณแห่งกู่ตั้งแต่เมื่อใด น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะระลึกเช่นไร ก็ล้วนไร้คำตอบ
หลังจากนั้น ใบหน้าของตะขาบสีโลหิต ก็กล่าวคำที่คล้ายคลึงกัน สงสัยที่มาของเขา นี่ทำให้หวังเป่าเล่อครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะอยู่ต่อ ทางหนึ่งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ และอีกทางหนึ่งก็เพื่อวางแผน…หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว จะขอให้ประมุขกฎสวรรค์เปิดให้เขาได้ระลึกชาติอีกครั้งเพียงลำพัง
สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่สิบชาติที่แล้ว เขาต้องการจะดูว่าเขามีอยู่จริงในเจ็ดสิบเก้าชาติครั้งก่อน ในการเริ่มต้นใหม่ แปดสิบเก้าครั้งของจักรวาลนี้หรือไม่ รวมทั้ง…ดูความเป็นมาแต่แรกของตนด้วย!
นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมีเพียงรู้ความเป็นมาของตนเอง ต่อไปหากพบกับวิกฤตครอบครองร่างที่มาจากตะขาบสีโลหิตก็จะสามารถรับมือได้ตรงประเด็น
หวังเป่าเล่อยอมรับว่า ด้วยสายตาของตะขาบสีโลหิต ได้ก่อวิกฤตรุนแรงบนร่างกายของเขา วิกฤตนี้ทำให้เขาวิตกกังวลอยู่บ้าง สิ่งที่เขากังวลคือระดับการฝึกตนของเขายังไม่เพียงพอ สิ่งที่เขากังวลคือต้องการที่จะแก้ไขทั้งหมดนี้
“เมื่อรู้ความเป็นมาของตนเอง ก็จะพบหนทาง พุ่งเป้าไปตามทิศทางนี้ เพื่อยกระดับตนเองอย่างต่อเนื่อง มีเพียงไปถึงระดับสูงสุดของการฝึกตนให้เร็วที่สุด จึงจะสามารถต่อต้านอันตรายจากการครอบครองร่างของตะขาบสีโลหิตนั้นได้!”
หวังเป่าเล่อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหลับตาลง เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตนต่อไป
เซี่ยไห่หยางรวมทั้งผู้พิทักษ์ที่มาจากดาราจักรไฟเหล่านั้น ยังไม่ได้จากไปเช่นเดียวกัน เพียงแต่พวกเขาไม่อาจอยู่บนดาวชะตา ได้แต่รอหวังเป่าเล่อในเรือรบนอกดาวชะตาเท่านั้น
สำหรับหลี่หว่านเอ๋อร์ เดิมทีนางวางแผนจะรอหวังเป่าเล่อ แต่ในที่สุดนางก็เลือกที่จะจากไป ด้านสวี่อินหลิง หลังจากลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก็จากไปเช่นเดียวกัน ไอรีนโนเวล
ทว่า เฉินหานยังคงอยู่ เขาติดตามเซี่ยไห่หยางอย่างขันแข็ง จึงรอหวังเป่าเล่ออยู่ในเรือรบ
ก็เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งสามเดือนต่อมา ด้วยปราณวิญญาณของตนภายในดาวชะตา รวมทั้งความช่วยเหลือของประมุขกฎสวรรค์ อาการบาดเจ็บของหวังเป่าเล่อก็ฟื้นตัวในที่สุด!
เมื่อฟื้นตัว ระดับการฝึกตนของเขาก็ยิ่งพัฒนาขึ้น จากนั้น…หวังเป่าเล่อก็มาที่ปากปล่องภูเขาไฟที่ประมุขกฎสวรรค์อยู่ เขานั่งลงบนเกาะที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าประมุขกฎสวรรค์
ผู้รับใช้เฒ่ายืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ดวงตาแฝงความงงงัน มองไปทางหวังเป่าเล่อเป็นครั้งคราว
แต่ไม่ว่าจะเป็นหวังเป่าเล่อหรือประมุขกฎสวรรค์ ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ทั้งสองประสานสายตากัน
“อาการบาดเจ็บหายดีแล้ว ครานี้คงมาบอกลาใช่หรือไม่” ประมุขกฎสวรรค์เอ่ยเสียงเบา
“เป็นการบอกลา พร้อมกันนี้ก็มีคำร้องขอด้วย” แววตาหวังเป่าเล่อสดใส มองไปทางประมุขกฎสวรรค์
ราวกับกำลังเดาออกว่าหวังเป่าเล่อต้องการขออะไร ประมุขกฎสวรรค์จึงเงียบไป
หวังเป่าเล่อไม่ได้กล่าวต่อ และไม่ได้เร่งเร้า เขาเงียบไปเช่นเดียวกัน
เวลานี้ผู้รับใช้เฒ่าก็มีความอยากรู้อยู่บ้าง พยายามใคร่ครวญไปมา ก็คิดไม่ออกว่าคำร้องขอของหวังเป่าเล่อคือสิ่งใด ตอนนี้รู้สึกเพียงสองคนตรงหน้า ดูเหมือนว่าคำสนทนาของทั้งคู่ยากที่จะคาดเดาได้
ผ่านไปครู่ใหญ่ ประมุขกฎสวรรค์ก็ทอดถอนใจ สบตาหวังเป่าเล่อ กล่าวอย่างจริงจัง
“ชาตินี้ต่างจากชาติก่อนๆ แท้จริงแล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องจากไป อยู่ที่นี่ปลอดภัยที่สุด”
“ข้าตัดสินใจแล้ว ขอให้ท่านประมุขยินยอมกับคำร้องขอของข้าด้วย” หวังเป่าเล่อลุกขึ้น ยกกำปั้นของเขาไปทางประมุขกฎสวรรค์ คำนับอย่างจริงใจ
ในดวงตาประมุขกฎสวรรค์สับสน มองไปทางหวังเป่าเล่อ ในความเลือนราง ดูเหมือนเขาจะเห็นกวางขาวน้อยตัวหนึ่ง เดินออกมาจากลานบ้านอย่างระแวดระวัง หลังจากเห็นตนเอง ก็มองด้วยความสงสัย
“ข้าไม่รับรองว่าเจ้าจะได้เห็นอดีตชาติทั้งหมด ได้แต่เพียงรวบรวมแสงแห่งการดึงทั้งหมดของสมุดแห่งโชคชะตา และส่งจิตสำนึกของเจ้ากลับไป สามารถเห็นได้เท่าไร สามารถเห็นสิ่งใด แล้วจะเกิดอันตรายหรือไม่ ข้าไม่รับรอง”
“ยังมีสิ่งที่ข้าต้องเตือนเจ้า อันตรายที่คงอยู่ในอดีตชาติ เป็นปริศนาของการตระหนักรู้อย่างหนึ่ง หรือกล่าวได้ว่า…หากเจ้าไม่เห็น บางทีอันตรายบางอย่างก็จะไม่ปรากฏขึ้นตลอดกาล มิฉะนั้น…เจ้าน่าจะเข้าใจ”
ครั้นได้ยินคำพูดนั้นหวังเป่าเล่อก็นิ่งเงียบ เขาย่อมเข้าใจ เพราะเขาก็ได้คิดไว้ก่อนแล้ว หากตนไม่พุ่งออกจากชาตินั้นโดยกำลัง และเห็นตะขาบสีโลหิต เช่นนั้นอีกฝ่ายก็จะไม่ปรากฏตัว
คำตอบคือสิ่งใด หวังเป่าเล่อไม่อาจรู้ได้
แต่เขารู้ว่า เขาเข้าใจถึงการมีอยู่ของความเสียใจมาก่อน และก็ไม่ต้องการให้ความไม่รู้และความสับสนมีอยู่
“ได้โปรดช่วยข้าด้วย!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก และคำนับอีกครั้ง
ประมุขกฎสวรรค์หลับตาลง ครู่ต่อมาก็ลืมตาขึ้นทันที แล้วยกมือขวาขึ้นครู่หนึ่ง ทันใดนั้นแก้วผลึกที่เขามอบให้หวังเป่าเล่อก่อนหน้านั้น ก็บินออกไป ลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง แก้วผลึกเปล่งแสงออกมา ชั่วพริบตาเดียว แสงนี้ก็ระเบิดขึ้น แล้วแผ่กระจายเป็นระลอกคลื่นออกไปรอบด้าน
ยิ่งกว่านั้นในการแพร่กระจายนี้ มือขวาของท่านประมุขกฎสวรรค์ผนึกมุทรา สมุดแห่งโชคชะตาด้านหลังเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง แสงที่อบอุ่นส่องประกายบนหน้าสมุด จากหลังไปหน้า…และเริ่มพลิกกลับ!
ทุกครั้งที่มีการพลิกหน้า ร่างของประมุขกฎสวรรค์จะสั่นไหว ด้านหวังเป่าเล่อวิญญาณเทพก็สั่นไหวไปตามหน้าสมุดที่ค่อยๆ พลิกย้อนเช่นกัน จนกระทั่งย้อนไปยังหน้าที่สิบเอ็ดหน้ากระดาษถูกเปิดออก เมื่อพลิกไป ร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นขึ้นทันที สติของเขาเริ่มดำดิ่งลง
มันจมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งชั่วขณะหนึ่งก็หายไป
เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนจะเหลือเพียงร่าง วิญญาณเทพของเขาไร้ร่องรอยเสาะหา ประมุขกฎสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้าก็หลับตาลงเช่นกัน บนร่างส่องประกายเจิดจ้า ฟ้าดินรอบด้านและทั่วทั้งดาวชะตา คล้ายกำลังสั่นสะเทือน
ภายในใจผู้รับใช้เฒ่ายิ่งสั่นสะท้าน เขาเพิ่งจะเคยเห็นเหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรก เวลานี้เฝ้ามองหวังเป่าเล่อ แล้วก็หันไปมองประมุขกฎสวรรค์ สุดท้ายสายตา..ก็ตกไปบนสมุดแห่งโชคชะตาที่อยู่ด้านหลังประมุขกฎสวรรค์
มองดูสมุดเล่มนี้ ค่อยๆ พลิกย้อนหน้า!
หน้าเจ็ดสิบเก้า หน้าเจ็ดสิบแปด หน้าเจ็ดสิบเจ็ด…
ทุกครั้งที่พลิกหน้ากระดาษ ประมุขกฎสวรรค์ ก็จะกล่าวขึ้น
“เจ็ดสิบเก้า”
“เจ็ดสิบแปด”
“เจ็ดสิบเจ็ด”
……………………