หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1100 เจ้ากล้าปราบเซียนหรือ
ซุนเต๋อในชาติที่สาม ทำให้ข้ารู้สึกสนใจมาก แม้เขาจะเล่านิทานเรื่องการแย่งตำแหน่งเซียนของหลัวและกู่ กลายเป็นตัวละครยอดนิยมในเมืองเล็กๆ แต่กลับบังเอิญถูกผู้ฝึกตนที่ผ่านทางมาชื่นชอบ และเข้าสู่สำนักตั้งแต่นั้น เริ่มต้นชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ แต่มีความหมาย
ในชีวิตแห่งการฝึกตนนี้ ข้าเฝ้ามองเขาที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติ ดูเหมือนมีระลอกคลื่นแฝงอยู่ในจิตวิญญาณ ผุดขึ้นอยู่ตลอดทาง กระตุ้นโลกนี้ไม่หยุด ทำให้ซุนเต๋อที่อยู่ท่ามกลางการผุดขึ้นนี้ลำบากลำบนยิ่งนัก
ความสำคัญอยู่ที่…สำนักของเขา จากที่ข้าเห็น ข้าเห็นซุนเต๋อในชาตินี้ เข้าคำนับทั้งหมด 97 สำนัก และแต่ละสำนัก…หลังจากที่เขาเข้าไปได้ไม่นาน ก็จะถูกทำลายโดยศัตรูผู้แข็งแกร่ง ระยะเวลานานที่สุดคือสามเดือน และสั้นที่สุดคือเพียงวันเดียว
จนในที่สุด ซุนเต๋อซึ่งมีระดับการฝึกตนไม่สูงมาก ก็กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในโลกการฝึกตน กระทั่งถูกปีศาจลักพาตัวไปหลายครั้ง หลังจากที่เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์และเพิ่มการควบคุม ก็ถูกส่งไปสำนักฝ่ายศัตรูอย่างรวดเร็ว..และกลายเป็นสุดยอดสมบัติไว้ใช้งาน!
ในระหว่างขั้นตอนนี้ ปรากฏว่ามีหลายครั้งที่เกิดความผิดพลาด สำนักที่ลักพาเขาไปควบคุมชะตากรรมสวรรค์ของเขาไม่ได้ เช่นนั้นสำนักจึงถูกทำลาย
แต่โดยรวมแล้ว ชื่อเสียงของซุนเต๋อ โด่งดังในโลกการฝึกตนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในเรื่องที่ชะตากรรมสวรรค์ของเขา นำพาโชคร้ายมาให้กับสำนัก ทันทีที่เขาเข้าสำนัก ที่แห่งนั้นก็จะเผชิญกับภัยพิบัติ ซุนเต๋อจึงกลายเป็นผู้ที่ทุกคนต่างกล่าวขวัญถึง สำนักน้อยใหญ่ต่างเฝ้าระแวดระวังกันทั้งคืน
ใช่ว่าไม่มีผู้คิดที่จะทำลายเขา แต่… สิ่งที่น่าหวาดหวั่นก็คือผู้ที่ลงมือทุกคน ล้วนตกตายด้วยอุบัติเหตุประหลาด ก่อนลงมือ
เรื่องที่กล่าวขานกันมากที่สุดครั้งหนึ่ง คือผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้หนึ่งที่เตรียมการมาแล้วเป็นเวลานาน ถึงขั้นแสดงอาวุธเวทหลายอย่างที่สามารถต้านทานเคราะห์ร้าย ยังไม่ทันได้ลงมือ จู่ๆ ก็ถูกดาวตกนับพันดวงที่ทิ้งลงมาจากฟ้า โจมตีลงมาโดยตรงจนบาดเจ็บสาหัส
ส่วนผู้อื่นที่ต้องการทำร้ายเขา ล้วนมีวิธีการตายพิสดาร อย่างเช่น บางคนถูกฟ้าผ่าตาย บางคนเพิ่งจะพุ่งเข้ามา กลับล้มศีรษะกระแทกลงไปตาย
เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าในฐานะผู้ฝึกตน แค่สะดุดล้มนั่นก็ช่างปะไร แต่ถึงกับกระแทกจนตาย…เรื่องนี้ ซุนเต๋อเองก็ยังตระหนก
ข้าเองก็ตกใจเช่นกัน
ครั้นเป็นเช่นนี้ เวลาล่วงผ่าน ซุนเต๋อจึงค่อยๆ จบชีวิตอันแสนวิเศษของเขา และเมื่อเขาตายอย่างธรรมชาติด้วยความชรา ข้าก็แว่วเสียงโห่ร้องยินดีจากคนทั่วหล้า แม้ว่าเสียงโห่ร้องยินดีนั้นจะเป็นชั่วขณะเดียว ก่อนโลกจะสลายเป็นเถ้าลอยไปตามลมหายใจสุดท้ายของซุนเต๋อ กลายเป็นความว่างเปล่า
แต่ข้าพอใจนัก คอยเฝ้ามองอย่างมีรสชาติ แม้ข้าจะรับรู้ว่าการระลึกครั้งต่อไป ข้าคงลืมทุกสิ่ง แต่ข้าก็ยังตั้งตารอคอย
ในการรอคอยนั้น ข้าได้ยินเสียงชราก้องอยู่ข้างหู
“สอง”
คราวนี้ เสียงนี้อ่อนล้าลงมาก ราวกับต้องใช้ความพยายามยิ่ง จึงจะกล่าวคำนี้ออกมาได้ แต่ข้าไม่มีเวลาไตร่ตรองมากนัก จิตสำนึกของข้าถูกลากเข้าไปในความว่างเปล่าอันมืดมิดอีกครั้ง
“ข้าเป็นใคร…ข้าอยู่ที่ใด…” ข้าพึมพำ เอ่ยถามความว่างเปล่า ไร้คำตอบกลับ แต่ข้ามีความอดทน เพราะอีกไม่นาน… ข้าก็จะเห็นแสงสว่าง เห็นโลกเบื้องหน้าและเห็นซุนเต๋อ
นี่เป็นชาติที่สองของซุนเด๋อ
ชาตินี้ของเขา ใช้คำว่าสดใสมาบรรยายดูเหมือนจะยังไม่พอ หลังจากที่ข้าเฝ้ามองมาทั้งชีวิตของเขาแล้ว ก็สรุปได้ที่คำเดียว
“ปาฎิหาริย์!”
มีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้น ที่จะอธิบายชีวิตของซุนเต๋อในชาตินี้ได้ หากไม่ใช่ปาฏิหาริย์แล้วเหตุใดซุนเต๋อมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง จู่ๆ ก็เกิดมีฐานการฝึกตนที่สะเทือนฟ้าดินขึ้นภายในร่าง ทันทีที่เล่าเรื่องหลัวและกู่แย่งตำแหน่งเซียนจบ
ระดับความน่าสะพรึงกลัวของฐานการฝึกตนนี้ เป็นเพียงความคิดที่ทำให้ได้เห็น ไม่ว่าชีวิตจะอยู่ชนชั้นใด ต่างก็หวาดผวาจนดับสูญในทันที!
หากไม่ใช่ปาฏิหาริย์ เหตุใดอยู่ๆ ฐานการฝึกตนของเขาจึงปรากฏขึ้น หลังจากออกจากเมืองเล็กๆ แทบจะทุกวันที่เขาสามารถรับอาวุธเวทที่อยู่ต่อหน้าเขาได้ในทันที เพียงแค่คิดเท่านั้น ก็ดูเหมือนว่าหลายสิ่งจะเกิดขึ้นได้
ข้าเห็นด้วยตาตนเองว่า เมื่อเขาต้องการมีเนื้อคู่แห่งเต๋า วันเดียวกันนั้นก็มีผู้ฝึกตนสาวนับแสนปรากฏขึ้นอย่างลึกลับ และหลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำ…
ข้าเห็นด้วยตาตนเองว่า เมื่อเขาต้องการมีสหาย ในวันเดียวกันนั้นก็ปรากฏผู้ฝึกตนนับล้าน เหาะมาจากดวงดาวต่างๆ ครั้นเห็นเขาแล้วก็เกิดความกระตือรือร้น ลากไปคำนับร่วมสาบาน
ข้ายังได้เห็น เมื่อเขาพึมพำถามตนเองว่าเหตุใดจึงไม่มีศัตรู ตอนนั้นเองทั่วใต้หล้า ทั้งจักรวาล และทุกสรรพสิ่งก็เป็นศัตรูกับเขาจนถึงที่สุด ทันทีที่เห็นหน้าก็บ้าคลั่งไม่ขออยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน
ชีวิตที่ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้ ขอเพียงกล้าคิดก็สามารถเป็นจริงได้ ทำให้ข้าอิจฉาเสียเหลือเกิน
เป็นผลให้ข้าอดไม่ได้ที่จะแอบถ่ายทอดจิตสำนึก และนำทางความคิดของซุนเด๋อ จนกระทั่งในวันหนึ่ง อยู่ๆ เขาก็มีความคิดว่าอยากมีทายาท
ดังนั้น… ทั้งโลก ทั้งจักรวาล และสรรพสัตว์ในยามนี้ ต่างปรากฏกลิ่นไอและเลือดเนื้อที่เป็นของเขาภายในร่างกาย…ความน่ากลัวของเหตุการณ์นี้ เหนือจินตนาการ ซุนเต๋อจ้องมองต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขาเป็นเวลาเนิ่นนาน
ต้นไม้ต้นนี้ก็มีสายเลือดของเขาผันผวนอยู่ภายใน ไม่ว่าจะในความหมายใด ต้นไม้นี้ก็คือทายาทของเขา
ดูเหมือนเขาจะตกใจกับเหตุการณ์นี้ ซุนเต๋อก้มศีรษะลงและเริ่มมองมาที่ข้า และข้า… ก็ต้องเผยตัว
ร่างกายของข้าย่อมไม่ได้มีกลิ่นไอของสายเลือด ดังนั้นข้าจึงกลายเป็นจุดสนใจของเขา วันเวลาต่อจากนั้น ซุนเต๋อผู้ทำลายล้างทั้งจักรวาล ได้เริ่มต้นศึกษาข้า
ไม่ว่าจะเป็นเวทปราบปราม หรือสายฟ้าฟาด หรือว่าจะเป็นการฟาดฟันด้วยมีดดาบ การผนึกรวมทั้งการหลอมไหม้ ยังรวบรวมพลังของจักรวาลทั้งมวลเพื่อสังหาร ด้วยวิธีการต่างๆ ถูกเขาสำแดงออกมาอย่างต่อเนื่อง
มันทำให้ข้าไม่พอใจอย่างยิ่ง!
เห็นได้ชัดว่าซุนเต๋อไม่ประสบผล ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีใดหรือทำอะไร ทุกอย่างก็ยังคงไร้ผล และในกระบวนการนี้ ข้าเห็นภายในร่างของซุนเต๋อ ดูเหมือนว่าจะมีซากวิญญาณที่อ่อนแอกำลังหลับใหล วิญญาณนี้หลับใหลอยู่ตลอดเวลา และขณะที่กำลังจะสลาย มันต้องการโอกาสบางอย่าง เพื่อที่จะตื่นขึ้น ทว่าโอกาสนี้ ช่างยากเย็น
ภายในซากวิญญาณ ข้าเห็นเส้นใยสองเส้นสีดำและสีแดง เมื่อเทียบกับสีแดงแล้ว แม้สีดำจะกระจายไปในความว่างเปล่า และไม่รู้จะเชื่อมโยงกันที่ใด แต่กลับอ่อนแออย่างมาก หากข้าต้องการจะตัดขาด แค่ความคิดก็เพียงพอ
มันเป็นเหมือนคำสาปมากกว่า และข้าก็ไม่รู้ว่าตนรู้ได้อย่างไร
แต่สิ่งที่เตือนข้า ก็คือเส้นใยสีแดงนั่น มันไม่ใช่คำสาปอย่างแน่นอน และเส้นใยนี้ก็ไม่ได้รวมเข้ากับวิญญาณอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ร่างของมัน ก็ดูเหมือนไม่สมบูรณ์แบบ และก็ไม่เหมือนผนึกกับดักที่มาจากด้านนอก เหมือนซากวิญญาณนี้พยายามเก็บเกี่ยว พยายามบังคับหลอมรวมเข้าภายในร่าง
บุคลิกสูงส่ง สูงส่ง!
นี่คือสิ่งใดกัน
ข้าไม่รู้ แต่ราวกับว่ารู้สึกคุ้นตา ข้าคิดว่าน่าจะเคยเห็นมาก่อน?
แต่ข้าเข้าใจกระจ่าง ในตอนที่ข้าเห็นเส้นใยนี้ ข้าไม่มีความสุขเอาเสียเลย เพราะบนเส้นใย ข้าสัมผัสได้ถึงความโลภ และมันอาจจะก่อเกิดพลังที่คุกคามข้าดังนั้นข้าจึงรู้สึกไม่มีความสุข และหลังจากไตร่ตรองแล้ว จึงกล่าวกับซุนเต๋อ
“เส้นใยนี้ จะถูกกำราบตลอดกาล!”
เกือบจะทันทีที่ข้ากล่าวมันออกไป เส้นใยสีแดงในซากวิญญาณภายในร่างซุนเต๋อก็สั่นไหวทันที มันบิดเป็นเกลียวอย่างรุนแรง มองไปคล้ายตะขาบตัวหนึ่ง จากนั้นจึงกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้ากล้าปราบเซียนหรือ!”
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเส้นใยสีโลหิตนี้ เวลานั้นทั่วใต้หล้าก็พังทลาย หลังจากแหลกสลาย กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน ก็ม้วนกลับในทันที ก่อตัวเป็นวังวน ดูดกลืนทุกสิ่ง และจิตสำนึกของข้าก็คืนสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงชราแหบแห้งที่อ่อนระโหยโรยแรงส่งออกมาด้วยพลังทั้งหมด คล้ายกับได้มาถึงขีดสุดแล้ว
“หนึ่ง!”
………………………………………