หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting - บทที่ 1159 รับคน!
ฉับพลันที่หวังเป่าเล่อลืมตาก็ราวกับมีสายฟ้าพาดผ่านดวงตาของเขา อีกทั้งพลังแห่งกฎเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นไร้รูปร่างยังล้อมรอบร่างเอาไว้ ก่อนจะกลายเป็นตราอักขระโบราณผนึกลงบนกายเนื้อ
นี่คือการยอมรับที่เต๋าสวรรค์มอบให้ระดับจักรพิภพ เป็นหนึ่งในกฎของการไหลเวียนเต๋าสวรรค์ แต่ในร่างกายของหวังเป่าเล่อไม่ได้มีแต่พลังปราณเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น มันยังมีเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดด้วย ดังนั้นในพริบตาต่อมาจึงมีกฎที่บรรจุเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดจุติขึ้นมาอีกรอบ และผนึกลงบนร่างเขา
การเสริมพลังทั้งสองประเภทนี้ทำให้กายเนื้อของหวังเป่าเล่อคำราม พลังงานอันแข็งแกร่งปะทุอยู่ในร่างกายไม่หยุดก่อตัวเป็นปราณโลหิตแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ ความว่างเปล่ารอบด้านพลันเกิดรอยร้าวราวกับว่าการมีอยู่ของเขามีอิทธิพลต่อการหมุนเวียนของทั้งจักรวาล
นี่คือจุดที่น่าสะพรึงกลัวของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ!
โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกตนจักรพิภพส่วนใหญ่มักจะทะลวงขั้นมาด้วยฐานการฝึกฝนก่อน แล้วตามด้วยวิญญาณเทพ ส่วนกายเนื้อยากที่จะทะลวงขั้นมหาวัฏจักรได้ ดังนั้นแม้จะส่งอิทธิพลต่อการหมุนเวียนจักรวาล แต่ฐานการฝึกฝนก็สามารถสยบอิทธิพลเหล่านั้น
แต่หวังเป่าเล่อกลับตรงกันข้าม ฐานการฝึกฝนของเขาอยู่ในระดับดารานิรันดร์ชั้นปลายเท่านั้น ถึงแม้วิญญาณเทพจะเป็นชั้นมหาวัฏจักร แต่ก็มากกว่าชั้นปลายแค่ไม่กี่ก้าว ยังห่างไกลจากระดับจักรพิภพ มีเพียงกายเนื้อที่ก้าวเข้ามาก่อน นั่นทำให้เกิดจุดที่ไม่ลงรอยขึ้น
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือร่างกายหวังเป่าเล่อมีกฎเต๋าสวรรค์ถึงสองอย่างจึงเกิดการขัดแย้ง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงทนรับการขัดแย้งนี้ได้ยาก และระเบิดตัวตายอย่างแน่นอน
ทว่าฝักกระบี่เจ้าชะตาของหวังเป่าเล่อนั้นมีพลังสยบและทำให้เป็นกลางอยู่ มันไหลเวียนในทันที เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นและสยบพลังแห่งเต๋าสวรรค์ทั้งสองลงไปทำให้พวกมันผสานเข้าด้วยกันและอยู่ร่วมกันอย่างช่วยไม่ได้
อันตรายที่ซ่อนอยู่จึงได้รับการแก้ไขอย่างยากลำบาก แต่ว่า…อิทธิพลของจักรวาลและรอยร้าวที่ปรากฏบนความว่างเปล่าโดยรอบนั้นไม่สามารถกำจัดออกไปได้ในระยะเวลาอันสั้น เว้นแต่ว่าฐานการฝึกฝนของหวังเป่าเล่อจะเลื่อนระดับขึ้นหรือมีผู้ที่แข็งแกร่งมาปกปิดมันไว้
และในไม่ช้าผู้ที่แข็งแกร่งคนนั้น…ก็ปรากฏกาย
กล่าวให้ถูกคือในทันทีที่กายเนื้อของหวังเป่าเล่อก้าวเข้าสู้ระดับจักรพิภพ จนเกิดอิทธิฤทธิ์ไปทั่วความว่างเปล่าโดยรอบ ก็ได้มีใครบางคนมาถึงแล้ว นั่นก็คือ…ปรมาจารย์แห่งไฟ!
ปรมาจารย์แห่งไฟใช้ใบไม้ที่มอบให้หวังเป่าเล่อเป็นที่มั่น ถึงแม้จะไม่ได้มาด้วยร่างจริง แต่ดวงจิตเทพก็มาจุติในทันที ห่อหุ้มบริเวณรอบกายหวังเป่าเล่อไว้เพื่อปกปิดเขา ขณะเดียวกันก็หักล้างสิ่งผิดปกติที่เกิดจากการทะลวงขั้นของเขา
ถึงแม้ที่นี่จะมีผู้ฝึกตระกูลหมื่นสำนักอยู่มากมาย แต่ส่วนใหญ่อยู่ห่างไกลออกไป อีกทั้งรัศมีของเฉินชิงจื่อยังยิ่งใหญ่เกินไปจึงไม่มีใครสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อที่อยู่ทางนี้ แม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ทั้งสองก็เช่นเดียวกัน
เพราะถึงอย่างไร…เฉินชิงจื่อคือผู้ที่มีแสงสว่างมากสุดในที่แห่งนี้ เช่นนี้แล้วความช่วยเหลือจากปรมาจารย์แห่งไฟทำให้การทะลวงขั้นของหวังเป่าเล่อน่าทึ่งเพียงไหนก็ไม่มีใครสนใจ
ในพริบตานั้น ความว่างเปล่ารอบกายหวังเป่าเล่อพลันบิดเบี้ยว ร่างของเขาหายวับ ไร้ร่องรอย…เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็ไม่ได้อยู่ในเตาหลอมอีกแล้ว กลับอยู่ข้างกายปรมาจารย์แห่งไฟแทน เซี่ยไห่หยางเองก็อยู่ที่นี่ด้วย เขามองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหันไปทางเฉินชิงจื่อ ดวงตายังทิ้งร่องรอยของความตกใจไว้
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยสงสัยว่าหวังเป่าเล่อสามารถพูดคุยต่อหน้าเฉินชิงจื่อได้ แต่เขาก็ไม่เคยคาดคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะไม่ใช่แค่พูดคุยกัน แต่ใกล้ชิดกันมากกว่านั้น
หากตอนนี้เขายังไม่รู้ฐานะของหวังเป่าเล่อในสำนักแห่งความมืดอีก เขาก็คงไม่ใช่เซี่ยไห่หยางแล้ว
ด้านหวังเป่าเล่อนั้น หลังจากถูกย้ายที่กะทันหันก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เข้าใจได้ในทันทีจึงนั่งขัดสมาธิลงอย่างสงบ ขณะเดียวกันผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักบางคนได้ใช้เคล็ดวิชาคล้ายกันเข้ามาในวงแหวนปราณ และพาตัวศิษย์สำนักของตนที่ยังไม่ตายออกไปอย่างลับๆ แต่ละคนถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว ที่นี่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป อยู่ต่อไปก็ไร้ผลดี ซ้ำยังได้รับผลกระทบง่ายอีกด้วย
“เหล่าหนิว ยังไม่พาพวกข้าออกไปอีก!” เมื่อเห็นศิษย์ผู้ปราดเปรื่องของตนสงบนิ่งมากหลังจากถูกตนพาออกมา ปรมาจารย์แห่งไฟจึงเผยยิ้มบาง ตบแขนใหญ่ของเทพวัวทันที ให้เทพวัวที่อยู่ใต้ร่างรีบถอยหลังวิ่งออกไป
หวังเป่าเล่อถลึงตา เขาอยากจะบอกอาจารย์ของตนว่าไม่ต้องตบหรือกล่าวกับเทพวัว เพราะเทพวัวก็คือตัวท่านเองไม่ใช่หรือ…
“บางทีอาจารย์อาจจะลืมตัวกระมัง” หวังเป่าเล่อกระแอม ขณะที่เทพวัวควบออกไปแล้ว เขาหันไปมองสนามรบที่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างสะท้านฟ้าสะเทือนดินของศิษย์พี่เฉินชิงจื่ออยู่ตรงนั้น
“ไม่ต้องมองหรอก คราวนี้ศิษย์พี่ที่ไม่เหมือนมนุษย์ของเจ้าเล่นสนุกเกินไปแล้ว เปลี่ยนตัวเองเป็นเต๋าสวรรค์ ต่อจากนี้…ระหว่างตระกูลไม่รู้สิ้นกับสำนักแห่งความมืดต้องเกิดสงครามยืดเยื้อเป็นแน่!”
“ถึงเจ้าจะเป็นสำนักแห่งความมืด แต่ก็เป็นศิษย์ของข้า เพราะฉะนั้น…แม้จะไม่อาจเลี่ยงการปะทะได้ แต่สิ่งที่อาจารย์ทำได้ก็มีเพียงหาทางหนีให้เจ้า” ขณะที่ปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ย หวังเป่าเล่อก็เงียบไป ก่อนจะอ้าปาก
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าอยู่มานานขนาดนี้ ได้เห็นความครึกครื้นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน อีกอย่าง…ข้าหวังว่าศิษย์พี่เฉินชิงจื่อของเจ้าจะสามารถพาสำนักแห่งความมืดชนะได้ เช่นนั้นก็จะถือเป็นการระบายความแค้นให้อาจารย์” ปรมาจารย์แห่งไฟส่ายหัวยิ้มๆ แต่พริบตาต่อมาก็ต้องขมวดคิ้ว
“แต่ก็ยังมีความยุ่งยากอยู่ ถึงแม้ข้าจะรู้สึกว่าไม่มีใครสนใจเจ้า แต่หากคิดให้ดีสักหน่อย เรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ เจ้า…ต้องถูกพบเห็น เพียงแต่ตอนนี้เฉินชิงจื่อกำลังดึงดูดสายตาของทุกคนจึงไม่มีใครสนใจเจ้า”
“หลังกลับไปถึงดาราจักรไฟ เป่าเล่อ เจ้ารีบถือสันโดษเสีย อยู่ในดาราจักรไฟแบบนี้ ข้าจะดูว่าตระกูลไม่รู้สิ้นจะกล้ามาสร้างปัญหาให้เจ้าไหม!”
“อาจารย์…” หวังเป่าเล่อลุกขึ้นคำนับปรมาจารย์แห่งไฟ ความรู้สึกผิดผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ เขาไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเกี่ยวกับการเลือกของศิษย์พี่ และครั้งนี้เขาก็ได้รับชะตามากพอแล้ว หากแต่มันกลับถูกเปิดเผยซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อถูกเปิดเผยแล้ว หวังเป่าเล่อก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม และเขาก็กำลังรอ…รอเฉินชิงจื่อ!
หวังเป่าเล่อคาดเดาว่าศิษย์พี่จะต้องมาและยุติเรื่องที่เขาถูกเปิดเผยแน่ แต่ความเชื่อมั่นที่เขามีมาตลอดในตอนนี้กลับสั่นคลอนอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพราะ…การผนึกกายกับเต๋าสวรรค์หรือจะกล่าวว่าศิษย์พี่ที่แปลงร่างเป็นเต๋าสวรรค์นั้นทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความรู้สึกแปลกหน้าอย่างบอกไม่ถูก
ความรู้สึกประหลาดนี้ทำให้หัวใจหวังเป่าเล่อเกิดความซับซ้อน
แต่ความซับซ้อนนั้นก็ไม่ได้คงอยู่นานนัก ขณะที่เทพวัวควบไปครึ่งเดือนหลังออกมาจากสนาบรบ ระหว่างทางกลับไปยังดาราจักรไฟ วันนี้จู่ๆ ปรมาจารย์แห่งไฟที่นั่งหลับตาทำสมาธิก็ลืมตาขึ้น ดวงตาเขาฉายแสงเจิดจ้าทันที เทพวัวใต้ร่างก็หยุดฝีเท้าชะงักกึก ร่างของมันเกิดเสียงคำรามและแผ่ทะเลเพลิงปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ
“เฉินชิงจื่อ”
ในเวลาเดียวกันหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ เขาเงยหน้ามองไปยังจักรวาลที่อยู่ห่างไกล สัมผัสได้ว่าพลังแห่งกฎในส่วนที่เป็นเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดในร่างกำลังผันผวน ก่อนความว่างเปล่าที่เขาจ้องมองอยู่จะค่อยๆ ปรากฏเงาร่างคุ้นเคยก้าวออกมา และเดินเข้ามาที่ขอบทะเลเพลิงทีละก้าว
ผมยาว ชุดสีคราม น้ำเต้าสุรา กระบี่ไม้
นั่นคือ…เฉินชิงจื่อที่มีตราประทับปลาสีดำตรงหว่างคิ้ว!
“ขอบคุณสหายเพลิงกัลป์ที่ดูแลบุตรแห่งความมืดของข้า” เฉินชิงจื่อยิ้มก่อนจะคำนับปรมาจารย์แห่งไฟ
เพลิงกัลป์ทำหน้าบิดเบี้ยว ไม่ได้กล่าวตอบ เพียงแค่พ่นลมหายใจออกมา
เฉินชิงจื่อเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ริมฝีปากผุดยิ้ม เมื่อหันไปมองหวังเป่าเล่อ ดวงตาก็อ่อนโยนลง แล้วเอ่ยเสียงเบา
“เป่าเล่อ เจ้าอยากตามข้ากลับไปสำนักแห่งความมืด และเดินไปบนเส้นทางที่เรายังทำไม่สำเร็จหรือไม่”
………………………..